Late Night Bookstore ร้านหนังสือยามดึก - ตอนที่ 165
165 – หมู่บ้านที่สาม
” เจ้านายมีแขกครับ”
เหล่าเต๋ตะโกน
เสียงของเขาเหมือนกับผู้ดูแลหอนางโลมโบราณที่จะตะโกนเรียกสาวๆออกมาต้อนรับแขก!
ซูชิงหลางยืนขึ้นและเตรียมอาหารเย็นกับเครื่องดื่ม โจวเจ๋อส่งสัญญาณให้เด็กหญิงตามเขาเข้ามาข้างใน
เด็กหญิงรู้สึกสับสนและกลัวเล็กน้อย เธอมองไปที่โจวเจ๋อและเหล่าเต๋ แต่เธอก็เดินไปที่ห้องรับรองส่วนตัวของโจวเจ๋อตามสัญชาตญาณ
โจวเจ๋อนั่งลงและโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลงเช่นกัน
เด็กหญิงนั่งลง และซูชิงหลางก็นําอาหารเย็นรวมถึงหมั่นโถว 2-3 ลูกมาด้วย
ในขณะที่เขากําลังจะรินเหล้าโจวเจ๋อก็โบกมือให้ไปเอาน้ําหวานมา
ถึงเธอจะเป็นผีแต่เธอก็ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
นี่เป็นเด็กน้อยที่มีอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธอมีความแตกต่างจากหญิงชราที่เข้ามาในร้านเมื่อครั้งที่แล้ว
เมื่อมองเห็นอาหารบนโต๊ะเด็กหญิงก็เริ่มกินอาหารอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเธอ “หิวมาก”และความหิวโหยแบบนี้ก็เหมือนกับความหิวโหยตามสัญชาตญาณของเธอในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ นั่นเอง
โจวเจ๋อนั่งเงียบๆมองดูเด็กหญิงกิน
เมื่อเด็กหญิงกินเสร็จแล้ว ใบหน้าของเธอก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและพูดว่า
“อิ่มจัง อิ่มจัง”
คําพูดของเด็กหญิงมีสําเนียงตงเฉิงที่ค่อนข้างโบราณ
ตามปกติแล้วเด็กน้อยที่เกิดมาในยุคใหม่ไม่มีทางที่เธอจะพูดภาษาถิ่นด้วยสําเนียงแบบนี้ประเทศจีนยุคใหม่สนับสนุนให้เด็กพูดภาษาจีนกลางกันมานานแล้ว
“ถ้าอิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ”
โจวเจ๋อพร้อมที่จะเปิดประตูนรก
เด็กหญิงตัวเล็กๆมองโจวเจ๋อด้วยสายตาหวาดกลัว แต่เธอไม่ได้ร้องไห้หรือมีท่าทีต่อต้านดังนั้นเธอจึงรออย่างเงียบ ๆ
” รอก่อน”
ในขณะที่ดูเด็กหญิงตัวเล็กๆกําลังนั่งรออยู่นั้น จู่ๆซูชิงหลางก็พูดขึ้นทันทีว่า
” เธอต้องการเนื้อไหม”
เด็กหญิงตัวเล็กๆตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเธอก็สว่างขึ้นและพยักหน้า
” รอแป็บนึ่ง”
นี่สําหรับสาวน้อยด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้เธอก็มองว่าซูชิงหลางเป็นคนดีชนิดที่โจวเจ๋อไม่มีวันเทียบได้แล้ว
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงซูชิงหลางก็นําหมูตุ้นกลับมาหนึ่งจาน และเด็กหญิงตัวน้อยก็ทานเนื้อพวกนั้นอย่างมีความสุข
อันที่จริงการที่ผีกินอาหารนั้นไม่ได้เป็นเรื่องสูญเสียอะไรเลย แม้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จะกําลังกินอาหารอย่างมูมมามแต่ในสายตาของคนปกติอาหารบนโต๊ะยังคงอยู่ตรงนั้นไม่มีส่วนไหนสึกหรอ
“อร่อยไหม” ซูชิงหลางถามด้วยรอยยิ้ม
” อร่อย อร่อย” สาวน้อยกล่าว
“วันนี้เปลี่ยนมาเล่นบทแม่เหรอ”
โจวเจ๋อรู้สึกว่าบุคลิกของซูชิงหลางค่อนข้างตลก
ซูชิงหลางส่ายหัวและมีความเศร้าเล็กน้อยระหว่างคิ้วของเขา ตั้งแต่เขากลับมาเมื่อวานนี้เขายังไม่สามารถฟื้นตัวจากความเศร้าโศกที่พบเจอในระหว่างกลับบ้าน
เมื่อเด็กหญิงกินเสร็จแล้วเธอก็ลูบท้องของตัวเองแล้วหัวเราะเบาๆก่อนจะมองไปที่โจวเจ๋อ
เธอเป็นเด็กดี เมื่อเธอกินอิ่มแล้วเธอก็รู้ตัวดีว่าสมควรที่จะไป
โจวเจ๋อยืนขึ้น เขาเปิดประตูนรกแล้วหันมาถามเด็กหญิงด้วยความเอ็นดูว่า
” พร้อมหรือยัง”
โจวเจ๋อไม่ได้ถามเรื่องราวของเธอ ต่อให้เขาไม่ได้ถามเขาก็รู้ว่าชีวิตของเธอต้องน่าสังเวชอย่างมากและโจวเจ๋อไม่ชอบให้เรื่องราวพวกนี้มากระทบกับอารมณ์ของเขา
คนตายส่วนใหญ่มีเรื่องเศร้าของตัวเอง
เด็กหญิงตัวเล็กๆกระพริบตามองที่โจวเจ๋อและถามว่า
” หนูขอถามหน่อยได้ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“หนูอยากไปเรียกทุกคนในหมู่บ้านมาที่นี่ให้พวกเขาได้กินเหมือนหนู ให้พวกเขาได้อิ่มหนําสักมื้อในชีวิต”
มือของโจวเจ๋อสั่นเมื่อเขาได้ยินคําว่า ” ทุกคนในหมู่บ้าน”
นี่หมายความว่ายังมีผีแบบเธออีกมากมาย อย่างน้อยก็สิบคนขึ้นไป บางที่อาจจะทําให้เขาเพียงพอที่จะได้ค่าประสบการณ์ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ได้
โจวเจ๋อปิดประตูนรกทั้งที่เพิ่งเปิดโดยไม่รู้ตัว
บอสโจวมีใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย เขาเดินมาหาเด็กหญิงแล้วก้มหน้าลงถามว่า
“บ้านของหนูอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ หมู่บ้านที่สาม” สาวน้อยตอบกลับ
“หมู่บ้านที่สามอยู่ที่ไหน อําเภอไหน อยู่ในเมิ่งไห่หรือฉงฉวน?”
แม้ว่าโจวเจ๋อจะยืมศพคืนวิญญาณกลับมาแต่ทั้งสองชีวิตของเขาล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ในตรงเฉิงดังนั้นตลอดชีวิตนี้เขาจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของหมู่บ้านที่สามเลย
โจวเจ๋อมองไปที่ซูชิงหลางซึ่งสั่นศีรษะและส่งสัญญาณว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
” หนูไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
เด็กหญิงไม่รู้ว่าหมู่บ้านที่สามนั้นอยู่ที่ไหน และแม้แต่ชื่อของอําเภอและมณฑลที่โจวเจ๋อพูดเธอก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น…”
โจวเจ๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถามไปตู้(Google ของจีน)
“หนูพาเราไปที่นั่นได้ไหม”
เด็กหญิงส่ายหัวอย่างมึนงง
“หนูเดินออกจากหมู่บ้านมานานแล้ว ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
โจวเจ๋อเริ่มสงสัยว่าเด็กหญิงมาจากที่อื่นหรือไม่ แต่มาคิดดูก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเด็กหญิงคนนี้พูดภาษาถิ่นของตงเฉิงอย่างแน่นอน
“หาเจอไหม” โจวเจ๋อถาม
ซูชิงหลางส่ายหัว “มันไม่มีเรื่องราวของหมู่บ้านนี้ในอินเทอร์เน็ต”
“ถ้าหมู่บ้านนี้มีจริงๆแล้วจะไม่เจอได้ยังไง?” โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน นี่คือโพสต์เกี่ยวกับหมู่บ้านที่สาม”
ซูชิงหลางยื่นโทรศัพท์ให้โจวเจ๋อดู
ชื่อของโพสต์นี้คือ
มีสถานที่ที่เรียกว่า ”หมู่บ้านที่สาม” ในทั้งเมืองนี้หรือไม่
“แล้วคําตอบต่อไปล่ะ” โจวถาม
“ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้”
ซูชิงหลางพลิกหน้าต่อไปจากนั้นก็หยุดนิ่งมองลงไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโจวเจ๋อ
“มีอะไรเหรอ”
“มีคอมเม้นนึ่งเดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง “เมื่อฉันเป็นเด็กคุณยายบอกฉันว่าเธอมาจากหมู่บ้านที่สามแต่เมื่อตอนที่คุณยายอายุ 10 ขวบ แล้วออกจากหมู่บ้านกับพ่อแม่ไปเยี่ยมญาติ หลังจากที่กลับไปหมู่บ้านที่สามอีกครั้ง หมู่บ้านนั้นก็หายไปแล้ว”
“หายไปแล้ว?” โจวเจ๋อตกตะลึง
“ยังมีอีกคอมเม้นหนึ่ง” ซูชิงหลางกล่าว
“เคยมีหมู่บ้านนี้จริงๆ แต่รู้สึกว่ามันจะหายสาบสูญไปเมื่อปี 1938 ”