Late Night Bookstore ร้านหนังสือยามดึก - ตอนที่ 30
30 – ไฟไหม้
“ ผมจำได้ว่าดูวิดีโอของคุณยังมีคนอยู่ในร้านขายของ คนคนนั้นดื่มโจ๊กอย่างยากลำบากเหมือนมีปัญหาบางอย่าง” โจวเจ๋อถาม
“ เขาเป็นพนักงานที่ฉันจ้างมา เขาค่อนข้างขี้เกียจแม้ว่าจะอายุยังน้อยแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร ”
“ โอ้เขาเบื่ออาหารหรือเปล่า” โจวเจ๋อถาม
“ใช่” เมื่อพูดถึงชายคนนั้นชายชราก็มีสีหน้าอ้ำอึ้งเล็กน้อย
“ ทำไมถึงถามถึงเขา”
“ ก็แค่ถามดูเฉยๆ”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไปข้างนอกร้านด้วยกัน โจวเจ๋อยื่นบุหรี่ให้ชายชรามวนหนึ่งและเอื้อมมือไปตบไหล่ของเขาพร้อมกับพูดว่า
“ ผมไปแล้วนะดูแลตัวเองให้ดี”
ชายชราเตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นกลิ่นของเส้นผมที่ถูกไฟไหม้ก็โชยออกมา ชายชรารีบกุมไปยังกระเป๋ากางเกงพร้อมกับกรีดร้อง
“ เผาฉันให้ตายไปเลยไอ้แม่เ***!”
“ มีอะไรหรือเปล่า?” โจวเจ๋อขมวดคิ้วเห็นได้ชัดว่าเขาได้กลิ่นด้วย
“ ไม่เป็นไรฉันกำลังรีบแล้วพบกันใหม่นะน้องชาย!”
เมื่อชายชราพูดจบเขาก็หันหลังและวิ่งหนีทันที
โจวเจ๋อมองไปที่มือของเขาซึ่งมีเล็บยาวออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาส่ายหน้าอย่างงุนงงก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับไปที่ร้านหนังสือ
ชายชราเดินมาที่ข้างถนนก่อนจะดึงแผ่นยันต์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กระดาษยันต์สีเหลืองถูกเปลวไฟสีแดงเผาไหม้อย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะสูญสลายไป
นี่คือยันต์โบราณที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา
ใบหน้าของชายชราซีดเผือดความทรงจำเก่าๆย้อนกลับคืนมาหาเขา
“ ไม่คิดว่าจะเจอเพื่อนเก่าของอาจารย์อยู่ในตงเฉิง”
ในตอนแรกนักพรตชรารู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับท่าทางของโจวเจ๋อ
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่โจวเจ๋อมองเห็นชายหนุ่มซึ่งกำลังทานโจ๊กอยู่หลังเคาน์เตอร์ในวีดีโอที่นักพรตชรากำลังไลฟ์ขายของ
นี่ไม่ใช่แค่โรคเบื่ออาหารเท่านั้นแต่พวกเขาคือ ‘คน’ ประเภทหนึ่ง เป็นคนประเภทเดียวกัน
ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คนเป็นและคนตายเท่านั้น จากเรื่องนี้สามารถยืนยันได้ว่าไม่ได้มีแต่โจวเจ๋อเท่านั้นที่สามารถหลบหนีจากมือของหญิงไร้ใบหน้าคนนั้นได้
อย่างน้อยที่สุดชายชราที่มีเล็บสีดำซึ่งได้รับการรักษาโดยโจวเจ๋อก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้นก็น่าจะเป็นคนหนึ่ง
โลกนี้ไม่สงบอย่างที่คิดจริงๆ
………………
เป็นเวลาเกือบ 01:00 น แล้วในตอนที่โจวเจ๋อกลับมาถึงร้าน เขาทำความสะอาดเศษแก้วบนพื้นห้องน้ำจากนั้นก็ต้มน้ำใส่หม้ออีก 2-3 ใบเพื่อทำเป็นน้ำอุ่นสำหรับใช้อาบ
พรุ่งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมาติดตั้งไว้ที่ร้านหนังสือ สำหรับคนที่รักความสะอาดแบบเขามันเป็นเรื่องยากลำบากมากที่ต้องอาบน้ำแบบไม่มีน้ำอุ่น
เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 และตั้งอุณหภูมิเสร็จสิ้น โจวเจ๋อก็นอนลงไปในตู้แช่ความเหนื่อยล้าและความวุ่นวายทั้งหมดในวันนี้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การนอนครั้งนี้หลับสนิทและมั่นคงมาก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดทั้งคืน
เมื่อโจวเจ๋อรู้สึกตัวในเช้าวันรุ่งขึ้นโจวเจ๋อก็ออกมาจากตู้แช่แข็งหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเขาก็เปิดประตูร้านและเหลือบมองไปยังร้านที่อยู่ข้างๆกัน
ร้านของซูชิงหลางยังคงไม่เปิดในวันนี้
หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่เขาทำกับหมอหลิน เธอคงจะไม่มาพบเขาอีกแล้ว
โจวเจ๋อส่ายหัวอย่างรุนแรงไม่รู้ว่าเขาคิดถึงเรื่องนี้ไปทำไม?
ต้องเป็นเพราะซูเล่อลอบบงการอยู่แน่ๆ ใช่มันต้องเป็นอย่างนั้น
หลังจากนั้นโจวเจ๋อก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน เขาจึงเปิดแอฟสั่งอาหารเพื่อให้พวกเขามาส่งที่ร้าน
รอประมาณยี่สิบนาทีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบสีเหลืองก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามาจอดที่หน้าร้านของเขา
“ ขอบคุณมากครับมันไม่ง่ายเลยจริงๆที่คุณต้องออกจากบ้านมาส่งของในช่วงเทศกาลปีใหม่” โจวเจ๋อกล่าวอย่างสุภาพ
“ ก็เพราะคนแบบคุณนี่แหละถึงทำให้ผมต้องฝ่าลมหนาวออกมาแบบนี้” ชายหนุ่มคนนั้นตอบตรงๆ
“ …………” โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อรู้สึกคันที่เท้าชอบกลเหมือนกับว่าต้องการเตะใครบางคนในตอนนี้ อีกฝ่ายยังเด็กมากและดูเหมือนจะอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ
“ ที่นี่เป็นคาเฟ่สำหรับอ่านหนังสือเหรอ” เด็กหนุ่มมองไปรอบๆร้าน
“ ถ้านั่งอ่านที่นี่คิดราคายังไง?”
“ตามสะดวกเลย” โจวเจ๋อไม่ได้สนใจเขาแต่รีบเปิดกล่องอาหารออกมา
“ ไม่เกรงใจละนะ”
เด็กส่งของคนนั้นนั่งลงบนม้านั่งพลาสติกและหยิบหนังสือชื่อ “ Broken Sky” มานั่งอ่านด้วยความสนใจ
โจวเจ๋อซดน้ำส้มสายชูเข้าไปคำใหญ่เข้าไปตามด้วยการยัดอาหารทั้งหมดลงท้องด้วยความเร็วสูง
ในช่วงนี้เขาไม่สามารถพึ่งพาร้านอาหารของซูชิงหลางได้ทำให้โจวเจ๋อสามารถค้นพบว่าน้ำส้มสายชูดูเหมือนจะสามารถทดแทนน้ำบ๊วยของซุชิงหลางไปพลางๆก่อน
ทันทีที่กลืนอาหารลงไปในท้องครึ่งหนึ่งอาการคลื่นไส้เวียนหัวก็โจมตีเขาในทันที
โจวเจ๋อบีบคอของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อบังคับไม่ให้คายอาหารออกมา ในที่สุดหลังจากกดดันตัวเองอย่างหนักอาการคลื่นไส้เหล่านั้นก็หายไป โจวเจ๋อเช็ดปากเบาๆจากนั้นก็เริ่มไออย่างหนัก
“ พี่ชายกินช้าๆ ท่าทางของคุณเหมือนผีหิวโซที่คุณยายผมเล่าให้ฟังเลย”
โจวเจ๋อจ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุดันก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ
“ ซูชิงหลางมัวทำบ้าอะไรอยู่ทำไมถึงไม่เปิดร้านสักที!”
โจวเจ๋อตัดสินใจว่าถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดประตูในตอนบ่ายเขาทำได้แค่ไปเคาะประตูแล้วมองหาน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่เหลือหรือน้ำมะระมิฉะนั้นเขาจะรับประทานอาหารไม่ได้เพราะน้ำส้มสายชูจะทำให้เขาท้องเสีย
เจ้าหนูคนส่งของไม่ได้รับงานอีกเลยเขานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นกว่าชั่วโมงแล้ว
“ เฮ้ย ที่ร้านนี้มีอะไรไหม้” จู่ๆชายหนุ่มส่งของก็ทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับเดินหาในร้าน หลังจากไม่พบอะไรเขาก็เดินออกไปที่นอกร้าน
โจวเจ๋อไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกฝ่ายจะจ่ายเงินหรือไม่จ่ายก็ไม่มีความสำคัญอะไร
เพราะว่าตามปกติแล้วร้านหนังสือนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่จะหาเงินได้ง่ายๆอยู่แล้ว
แต่แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาในร้านพร้อมกับตะโกนว่า
“ ไฟไหม้แล้ว!”
โจวเจ๋อตื่นตัวและเดินออกจากร้านทันที เขาเงยหน้าขึ้นและสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม ที่ชั้นสี่ของอาคารห้างสรรพสินค้ามีควันหนาลอยออกมาจากอาคาร
นั่นคือที่ตั้งของโรงหนัง!
ศูนย์กลางธุรกิจยังคงมีร้านที่ได้รับความนิยมอยู่บ้างนั่นคือโรงภาพยนตร์ และเนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่จึงมีผู้คนเข้ามาดูหนังกับครอบครัวค่อนข้างมาก
“ ไปช่วยชีวิตคนก่อนเถอะ” ชายหนุ่มส่งของวิ่งออกไปในทันที
โจวเจ๋อยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสิบวินาทีและไฟก็ลุกลามใหญ่มาก แต่เขาไม่อยากทิ้งร้านหนังสือของเขาออกไปในช่วงชุลมุนแบบนี้
แต่สัญชาตญาณของเขามันกำลังกดดันให้เขาออกไปช่วยชีวิตคน
ถ้าเป็นอดีตเขาจะไม่ลังเลเลยเขาจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่วิ่งออกไปช่วยคนอื่นโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเอง แต่ตั้งแต่ที่เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเขาก็รู้สึกทะนุถนอมชีวิตของเขามาก
อย่างไรก็ตามหลังจากต่อสู้กับอุดมการณ์ในใจของตัวเองอยู่นานโจวเจ๋อก็รีบวิ่งออกไป
ท้ายที่สุดแล้วมโนธรรมในใจของเขาก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ!