Late Night Bookstore ร้านหนังสือยามดึก - ตอนที่ 90
90 – เรื่องสยองในโรงหนัง
ผีปากกาเป็นเกมผีชนิดหนึ่งที่มีสีลึกลับมาก ว่ากันว่าการเล่นเกมประเภทนี้จะพบกับความโชคร้ายได้ง่ายและนำไปสู่ความตาย
คนเหล่านี้มีสีหน้าตื่นเต้นที่ได้เล่นเกมลึกลับนี้ ทุกคนเอื้อมมือไปจับปากกายาวด้วยกัน ชายในเสื้อคลุมสีเหลืองดูเหมือนจะเป็นผู้นำได้กล่าวขึ้นเบาๆเมื่อเห็นทุกคนพร้อมแล้ว
“คุณอยู่ที่ไหน คุณอยู่ที่ไหน”
ปากกาไม่ขยับ ทุกสิ่งทุกอย่างในร้านหนังสือเงียบ
ชายเสื้อสีเหลืองพูดต่อ
“ผีปากกาคืนนี้พวกเราจะได้เจอผีไหม”
สิบวินาทีหลังจากที่เสียงหายไปปากกายาวที่ทุกคนถืออยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ทุกคนกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น
อันที่จริงหลายคนจับปากกาด้วยกัน ตราบใดที่ปลายปากกามีความกลมเพียงพอ ก็สามารถเลื่อนได้ง่าย นี่เป็นเพียงทฤษฎีหลอกเด็กเท่านั้นสำหรับคนทั่วไปที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ
“ชู่ว!”
ปลายปากกาสั่นอย่างกะทันหัน และชี้มาในทิศทางที่โจวเจ๋อกำลังนั่งอยู่
ซูชิงหลางรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ดูเหมือนคนพวกนี้จะโชคดีจริงๆ
โจวเจ๋อยังคงนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์อย่างมั่นคง และเหลือบมองไปยังสถานการณ์ที่กำลังดำเนินในร้านเป็นครั้งคราว
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของปลายปากกา สายตาของคนส่วนใหญ่จึงมุ่งไปทางโจวเจ๋อ
“ใช่!”
ชายที่สวมเสื้อสีเหลืองชี้ไปที่บริเวณที่ปลายปากกาอยู่
บอลกระดาษที่พวกเขาวางไว้มีเพียง 2 พื้นที่ซึ่งเขียนคำว่า “ใช่” และ “ไม่ใช่” และส่วนปลายของปากกาอยู่ในพื้นที่ “ใช่”
“เอาล่ะ เก็บของแล้วเราจะเตรียมตัวกันเดี๋ยวนี้ จำไว้ว่าครึ่งชั่วโมงต่อมาโทรศัพท์มือถือของทุกคนต้องชาร์จจนเต็มแล้วโทรศัพท์ของทุกคนต้องสามารถถ่ายบันทึกวีดีโอได้มากกว่า 20 นาที”
“ครับ”
“ฉันเห็นด้วย”
“ดี”
คนที่เหลือก็เก็บของและออกจากร้านหนังสือ ชายที่สวมเสื้อสีเหลืองเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อพูดคุยกับโจวเจ๋อ
“ขอโทษที่มารบกวนนะครับเถ้าแก่ เรามาจากสมาคมคนรักเรื่องสยองขวัญ พวกเราต้องการสำรวจสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติไม่ทราบว่าคุณสนใจจะไปกับเราไหม?”
โจวเจ๋อส่ายหัว
“ตอนที่เราเข้ามาในร้านหญิงสาวที่เฝ้าร้านอยู่บอกว่าพวกเราสามารถเล่นผีปากกาที่นี่ได้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณอนุญาตให้เราเล่นหรือเปล่า นี่เป็นเงินแทนคำขอโทษครับ”
ชายคนนั้นยื่นเงินหกร้อยหยวนให้โจวเจ๋อ โจวเจ๋อเก็บเงินและถามว่า
“พวกคุณจะไปไหนต่อ?”
“พวกเราตั้งใจจะไปโรงหนังที่อยู่ใกล้ๆนี้ ได้ยินมาว่ามันถูกใครบางคนลอบวางเพลิงดังนั้นเราจึงคิดจะไปเสี่ยงดวงที่นั่น”
“พวกคุณไม่อยากลองเที่ยวนรกสักรอบเหรอ ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะไปสักรอบเหมือนกัน พวกเราที่รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ก็เพราะว่าพวกเราไล่ตามในสิ่งที่เรารักเหมือนกัน
คุณต้องเข้าใจว่าในโลกยุคปัจจุบันนี้การจะหาคนที่สนใจอะไรที่เหมือนกับพวกเรานั้นเริ่มหายากไปทุกที ดังนั้นคุณเฉินที่อยู่ในสมาคมของเราตั้งใจว่าจะสารภาพรักกับคุณหลิวในโรงหนังคืนนี้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องมาเป็นเพื่อนเขา “
“สารภาพรัก?”
“ใช่ อันที่จริงพวกเราที่เหลือมีหน้าที่จัดฉากและเตรียมการทุกอย่าง มีเพียงคุณหลิวเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเธอจะถูกสารภาพรักคืนนี้ สมาคมของเราก่อตั้งมาห้าปีแล้วและทุกคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีดังนั้นพวกเราทุกคนจึงเต็มใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“คุณเป็นคนญี่ปุ่นหรือ” โจวเจ๋อถามโดยมองไปยังชายที่สวมเสื้อสีเหลือง
“ใช่ ผมโตมาในประเทศญี่ปุ่น เป็นคนจีนที่อยู่ต่างประเทศมานาน ผมเพิ่งกลับบ้านเมื่อห้าปีที่แล้ว ที่ญี่ปุ่นนั้นมีสังคมและความสนใจที่เป็นงานอดิเรกมากมาย ดังนั้นเมื่อกลับมาที่นี่ผมจึงติดต่อกับเพื่อนๆและก่อตั้งสมาคมขึ้น”
ชายคนนั้นตบหน้าผากของตัวเองเบาๆและยื่นนามบัตรให้โจวเจ๋ออย่างนึกขึ้นได้
“ชื่อภาษาจีนของผมคือกุ่ยอี้หลางถ้ามีคำแนะนำเพิ่มเติมอะไรก็สามารถโทรหาผมได้นะครับ”
โจวเจ๋อรับนามบัตรแผ่นมาเก็บไว้ที่ลิ้นชัก
“ขอตัวจัดกิจกรรมก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับไมตรีจิต”
กุ่ยอี้หลางเดินออกจากร้านหนังสือไป ซูชิงหลางที่ยืนอยู่ข้างร้านหนังสือกุมท้องก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันหายใจไม่ออก คราวนี้พวกเขาตายแน่ๆ”
ซูชิงหลางยิ้มและพบว่าโจวเจ๋อยังคงมีสีหน้าเย็นชา เขาจึงยื่นมือไปต่อยหน้าอกของโจวเจ๋อเบาๆแล้วพูดว่า
“ไม่ตลกเหรอ?”
โจวเจ๋อรีบกุมหน้าอกของตัวเองและมีสีหน้าบิดเบี้ยว
“เป็นอะไร”
ซูชิงหลางแค่ทุบหน้าอกของเขาเบาๆเท่านั้นทำไมโจวเจ๋อถึงมีสีหน้าบิดเบี้ยวชนิดดูไม่ได้เลย
“ไม่มีอะไร” โจวเจ๋อผลักซูชิงหลางออกไปยืนห่างๆแล้วพูดว่า
“ผมก็แค่หัวเราะเท่านั้น”
“พูดจริงเหรอ?” ซูชิงหลางมีสีหน้าสงสัยและถามว่า “คุณหิวไหม? เดี๋ยวจะผัดข้าวผัดไข่มาให้จานนึง “
“ผมกินมาแล้ว”
“คุณกินข้าวนอกบ้านเหรอ” ซูชิงหลางถามด้วยความสงสัย “คุณกินได้จริงๆเหรอ?”
“มันอร่อยนะ”
“มันคืออะไร? ถ้าคุณกินได้ ฉันจะซื้อให้คุณในวันพรุ่งนี้ “
โจวเจ๋อส่ายหัว คนคนหนึ่งมีหัวใจเพียงแค่ดวงเดียวโจวเจ๋อย่อมไม่สามารถกินหัวใจของตัวเองอีกครั้ง
“เร็วๆนี้อยากกินอะไร” ถามซูชิงหลาง
“กะหล่ำปลี.” โจวเจ๋อมองไปที่ซูชิงหลางและพูดอย่างจริงจังว่า “ต้องเป็นกะหล่ำปลีเท่านั้น”
“ก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปดูที่ตลาดให้”
ทันใดนั้นไฟในร้านหนังสือก็ดับลง
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!!!!!!!! ฉันกำลังจะได้กินไก่(ดูเหมือนว่าจะเป็นเกม PUBG)อยู่แล้วมันมาดับอะไรตอนนี้!”
ไป๋อิ่งวิ่งออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วยืนกรีดร้องอยู่ที่หน้าร้านหนังสือ
โจวเจ๋อมองดูไป๋อิ่งด้วยสีหน้าระอาเล็กน้อย ยัยเด็กนี่วันๆไม่คิดจะทำอะไรจริงๆ
เมื่อไฟฟ้าดับ โจวเจ๋อและซูชิงหลางก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน
ซูชิงหลางโทรหาการไฟฟ้าทันที
“แย่จริงๆพวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะมาซ่อมให้ ฉันคิดว่าที่ประเทศเรามันพัฒนาช้าก็เพราะพวกข้าราชการห่วยๆแบบนี้แหละ คนทั้งเขตที่รู้สึกว่าโชคดีคงมีแต่พวกที่กำลังสำรวจโรงหนังผีสิงเท่านั้นมั้ง”
ซูชิงหลางชี้ไปที่หน้าต่างของตึกสูงเหนือหัวของพวกเขา “ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าการสารภาพรักในโรงหนังผีสิงมันดูโรแมนติกตรงไหน”
“คิดว่ามันคงจะโรแมนติกอยู่นะ ในสภาพแวดล้อมที่น่าขนลุกผู้คนมักจะแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่คุณไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็เพราะจุดยืนของคุณต่างกับพวกเขาต่างหาก”
“วันนี้ทำไมคุณพูดอะไรแปลกๆอยู่เรื่อย” ซูชิงหลางมองไปที่โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อส่ายหัว
“คุณคิดไปเอง”
เมื่อซูชิงหลางเห็นว่าโจวเจ๋อไม่คิดจะตอบเขาจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า
จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็มองเห็นใครบางคนสวมชุดขาวยืนอยู่ที่หน้าต่างกระจกบนชั้นห้า
เนื่องจากไฟดับทำให้ไม่มีแสงสว่างรอบๆ แต่วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงดังนั้นพวกเขาจึงมองเห็นคนที่ยืนอยู่ขอบหน้าต่างอย่างชัดเจน
“คิดว่าคนคนนั้นคือคนที่แกล้งเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศหรือเปล่า?” ซูชิงหลางพ่นบุหรี่ออกมา “มันสนุกจริงๆ…”
แต่ซูชิงหลางไม่สามารถพูดต่อได้ เพราะตอนนี้ร่างสีขาวนั้นกำลังตกลงมาจากตึกอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างรุนแรงในจุดที่ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก
“ป๊า!”
เสียงอู้อี้ดังออกมา หญิงสาวคนหนึ่งนอนแน่นิ่งกับพื้นเลือดของเธอสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
โจวเจ๋อรู้สึกเย็นวาบบนใบหน้า คราบเลือดฉีดมาโดนแก้มของเขา
ซูชิงหลางรู้สึกตกใจและรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทันที
แต่โจวเจ๋อไม่ได้สนใจ เขายื่นมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาทำความสะอาดใบหน้าของตัวเอง
ตกมาจากที่สูงขนาดนั้นยังไงก็ไม่รอด แล้วจะเข้าไปวุ่นวายทำไม ดวงตาของโจวเจ๋อแสดงให้ถึงอาการดิ้นรนที่ขัดกับจิตสำนึก
แต่ถึงกระนั้นมือของเขาก็ยังหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาและบรรจงเช็ดร่างกายของตัวเองอย่างระมัดระวัง
“เฮ้ คุณทำอะไรอยู่รีบมาช่วยคนเร็ว !” ซูชิงหลางเงยหน้าขึ้นและตะโกนใส่โจวเจ๋อ
“เป็นบ้าอะไร เลิกเช็ดหน้าแล้วมานี่ได้แล้ว!”
โจวเจ๋อตกตะลึงครู่หนึ่ง ใช่แล้วการกระทำของเขาตอนนี้มันเป็นพฤติกรรมของคนที่ไม่มีหัวใจชัดๆ