Legend of the mythological genes - ตอนที่ 427 อาวุธสังหาร
ตอนที่ 427 อาวุธสังหาร
เฟิงหลินยืนอยู่บนกําแพงใหญ่มองดูด้วยความประหลาดใจ
ในขณะที่เขาช่อนตัวจากโลกเพื่อฝึกฝน เขาคิดว่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และวิญญาณคงเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน เขาไม่คาดคิดว่าสถานการณ์การต่อสู้จะรวดเร็วขนาดนี้ ไร้ซึ่งการพักรบ
เสียงระเบิดดังสนั่นของกระสวยอวกาศและปืนใหญ่ดังขึ้นในอากาศ ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงเพลิงซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของการต่อสู้ที่กําลังดําเนินอยู่นอกกําแพงใหญ่
สงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ในจักรวาลไม่สนใจกลางคืนและกลางวัน การนองเลือดก็เกิดขึ้นทุกๆวินาที มันให้ความรู้สึกเหมือนการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ในขั้นตอนนี้การต่อสู้ไม่ได้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและกลยุทธ์การต่อสู้ที่คาดการณ์ได้อีกต่อไปมันเป็นเพียงการฆ่าฟัน
ในอีกด้านหนึ่ง มีฝ่ายที่ข้ามแม่น้ําดวงดาวอันกว้างใหญ่ กลืนกินพลังงานของเผ่าพันธุ์ที่มันสังหารไประหว่างทาง
ในทางกลับกัน มีฝ่ายที่ใช้เวลาหลายพันปีในการสร้างกําแพงใหญ่เพื่อปราบปรามพลังของกาแลคซีและปกป้องชุมชน
ทั้งสองเผ่าพันธุ์พร้อมที่จะแลกทุกอย่างและมอบชีวิตของพวกเขาไว้ในการต่อสู้ ครั้งนี้มันคือการต่อสู้ด้วยความตายและทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาพวกเขาไม่สามารถรอที่จะทําลายกันและกันได้อย่างสิ้นเชิง
หลังจากชนะการต่อสู้ทําให้กองทัพสุดยอดกําแพงมีกําลังใจในการทํางาน แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันพวกเขาเริ่มโจมตีอย่างแข็งขัน
โล่พลังงานนั้นแข็งแกร่งพอ ๆ กับกําแพงใหญ่ และรักษาพื้นที่ให้พ้นจากการเข้าถึงของวิญญาณ
ภายใต้โล่นั้นเป็นนักรบชั้นยอดคอยยืนคุ้มกันอยู่ในอวกาศเหมือนกองทัพขนาดใหญ่ด้วยชุดเกราะสีเงิน พวกเขายืนเป็นหนึ่งเดียวกันสร้างแนวหน้าที่ไม่มีใครจะต้านเข้ามาได้
กระแสวิญญาณยังคงลําเลียงกองทัพจักรกลของพวกมันผ่านรูหนอน กองทัพจักรกลที่ถูกครอบงําโดยวิญญาณทะลวงผ่านโล่พลังงานอย่างรุนแรง ระเบิดการโจมตีใส่สุดยอดกําแพง
นักรบหุ้มเกราะเงินนั้นไม่เหมือนกับนักรบดวงดาวทั่วไป แต่ละคนเป็นนักรบชั้นยอดที่กล้าหาญและไร้ซึ่งความปรานี
พวกเขาดุร้ายและน่ากลัว แม้ว่าจะต่อสู้กับสัตว์จักรกลวิญญาณก็ตาม
นอกจากนั้นพวกเขายังมีความเชี่ยวชาญในวิชาการต่อสู้ทางพันธุกรรมต่างๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาแต่ละครั้งไม่มีช่องโหว่
สัตว์จักรกลที่คุกคามนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกสังหารอย่างไร้ความปรานีต่อหน้าพวกเขา
ร่องรอยของซากจักรกลคือสิ่งที่เหลืออยู่ หลังจากที่นักรบหุ้มเกราะเงินจัดการกับพวกมัน
บูม บูม บูม!
มันสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอวกาศ ขณะที่ปลาหมึกวิญญาณหลายร้อยตัวที่มีขนาดเท่าเกาะบินผ่านสนามรบ
ในขณะที่สงครามทวีความรุนแรงขึ้น วิญญาณและสัตว์จักรกลจํานวนมากขึ้นรวมถึงหัวหน้าฝูงก็รวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมในสงคราม
ความแข็งแกร่งของการโจมตีของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า
ภายใต้การนําของสัตว์จักรกลวิญญาณ วิญญาณอื่น ๆ ล้อมรอบและระดมการโจมตีไปที่กําแพงใหญ่
แม้ว่ามหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพง อาจจะใหญ่โต แต่ก็ยังคงได้รับความเสียหายอย่างมากมายใต้การโจมตีที่วุ่นวายเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การโจมตีเหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับนักรบเกราะเงิน
แม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนตัวเล็กจ้อยต่อหน้าสัตว์จักรกล แต่ร่างกายเหล็กของพวกเขา แข็งแกร่งและทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นเดียวกับเครื่องจักร พวกเขาโจมตีอย่างไร้ที่ติ ไม่ทิ้งช่องโหวใดๆไว้ในการโจมตีเลยเรายังสามารถเห็นแก่นแท้ของวิชาการต่อสู้ทางพันธุกรรมของมนุษย์ในตัวพวกเขาและนั่นไม่ใช่สิ่งที่เครื่องจักรจะสามารถทําได้
มันเหมือนกับการรวมพลังของนักรบหลายคนไว้ในหนึ่งเดียวเหมือนเครื่องจักรสังหาร พวกเขาสังหารสัตว์จักรกลที่ขวางทาง ทิ้งไว้เพียงเศษโลหะ
ด้วยดาบและอาวุธของพวกเขา พวกเขากําหนดเป้าหมายไปยังจุดที่อ่อนแอที่ สุดของสัตว์จักรกลและในการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว พวกเขาก็สามารถ เฉือนพวกมันออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่สัตว์จักรกลขนาดมหึมาเหล่านั้นก็ไม่สามารถเทียบได้กับเงาที่ว่องไวเหล่านี้ พวกมันถูกตัดครึ่งและซากของพวกมันก็ถูกนํากลับไปที่กระสวยอวกาศทันทีเพื่อการวิจัย
สัตว์จักรกลที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเหล่านี้สร้างจากโลหะผสมของจักรวาล แต่กลับเปราะบางอย่างเหลือเชื่อภายใต้คมดาบของนักรบเกราะเงิน ดูเหมือนพวกมันจะไม่มีโอกาสต่อสู้เลย
นักรบเกราะเงินเป็นเหมือนเทพนักรบที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ สําหรับมนุษย์ที่ได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่ต่อสู้ของพวกเขา
เฟิงหลินรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้
นักรบเกราะเงินเหล่านี้แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมด้วยพลังงานนมหาศาลที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป พวกเขาไร้เทียมทานอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เฟิงหลินไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังทางพันธุกรรมในตํานานจากพวกเขา อะไรคือแหล่งพลังงานและความแข็งแกร่งของพวกเขา?
(พวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?)
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องลึกลับ
เฟิงหลินอดไม่ได้ที่จะถาม” ศิษย์พี่จ้าวเกิดอะไรขึ้น?นักรบเกราะเงินพวกนี้คืออะไร?”
เขาพูดในลักษณะที่หยุดชะงักและระวังคําพูดเพื่อที่จะไม่เรียกพวกเขาว่า “สิ่งของ”
ในตอนนี้ จ้าวเยวี่ยเอ๋อร์ดูสงบอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าดวงตาของเธอก็ยังเปล่งประกายความหลงใหล เฟิงหลินนายเพิ่งมาเรียนที่มหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพงและยังมีอีกหลายอย่างที่นายยังไม่รู้ สิ่งที่นายเห็นคือรากฐานที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพงและยังเป็นอาวุธลับของเรา พวกเขาคือเทพสงครามสีเงิน! ชุดเกราะถูกหล่อด้วยโลหะผสมของจักรวาลและไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ เกราะวัชระนั้นไม่สามารถทําลายได้ และอาวุธวัชระก็สามารถตัดผ่านอะไรก็ได้ แม้ว่าสัตว์จักรกลจะมีเหล็กกล้าเป็นข้อต่อและกระดูก แต่ก็มีความเปราะบางเหมือนเต้าหูเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพสงครามสีเงิน
การได้เห็นจ้าวเยวี่ยเอ๋อร์ยกย่องนักรบเกราะเงินไว้บนแท่นทําให้เฟิงหลินสับสนมากขึ้นในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี้มาตลอดทําไมพวกเขาถึงไม่ปรากฏตัวตอนที่สงครามเริ่ม?ทําไมต้องเสียสละนักรบไปมากขนาดนั้น?” เฟิงหลินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจ้าวเยวี่ยเอ๋อร์ก็มองไปที่เฟิงหลิน และตอบอย่างเรียบง่าย“ เป็นเพราะระบบของเทพสงครามสีเงินต้องแก้ไข”
“ แก้ไข?” เฟิงหลินอุทานด้วยความตกใจ “ หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์?พวกเขาเป็นหุ่นยนต์งั้นหรอ?”
* ไม่! พวกเขาเป็นหุ่นยนต์แค่ครึ่งเดียว” จ้าวเยวี่ยเอ๋อร์ตอบพร้อมกับส่ายหัวขณะ
เฟิงหลินยังคงตกตะลึง เขาคาดหวังรายละเอียดเพิ่มเติม
จ้าวเยวี่ยเอ๋อร์ไม่สนใจจะปิดบัง” เทพสงครามสีเงินอาจมีร่างจักรกล แต่พวกเขาก็มีจิตวิญญาณของมนุษย์เช่นกัน พวกเขาเป็นบรรพชนของมหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพง และไร้เทียมทานมาตลอดหลายพันปี สงครามกับเผ่าพันธุ์วิญญาณนั้นไม่ได้สูญเปล่า ระหว่างนั้นเราได้เรียนรู้ที่จะจําลองเทคโนโลยีวิญญาณในระดับหนึ่ง นั่นคือเหตุผลว่าทําไมหลังจากที่บรรพชนเหล่านี้เสียชีวิตและได้บริจาคสมอง เจตจํานงแห่งการต่อสู้ของพวกเขาจึงถูกฉีดเข้าสมองหุ่นยนต์เหล่านี้พเอสร้างอาวุธลับใน่าเสียดาย เราสามารถกู้คืนความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาได้เพียง 3% ถึง 4% เท่านั้นแถมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีวิญญาณของเรายังไม่สมบูรณ์ เราไม่สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขาได้ทั้งหมดและต้องเลียนแบบพลังงานพันธุกรรมในตํานานผ่า นอุปกรณ์กลไกพิเศษถึงอย่างนั้นกระแสพลังงานที่ไร้ขอบเขตและร่างกายกลไกที่เปลี่ยนได้ง่ายก็เพียงพอที่จะทําให้พวกเขาเป็นอาวุธไม้ตายของมหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพง!”
(เข้าใจแล้ว!)
ด้วยการเปิดเผยครั้งใหม่ เฟิงหลินจ้องมองไปที่เงาสีเงินและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเคารพนับถือต่อผู้ที่ตั้งใจจะต่อสู้กับเผ่าพันธุ์วิญญาณจนถึงที่สุด แม้หลังจากที่พวกเขาตายไปแล้วก็ตาม
ณ จุดนี้จ้าวเยวี่ยเอ๋อร์พูดเสริมว่า “ จากการตรวจสอบล่าสุด การรุกรานของเผ่าพันธุ์วิญญาณเมื่อเร็ว ๆ นี้ถือได้ว่าเป็นกองทัพที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการโจมตีขนาดใหญ่ตอนที่ นายเปิดเผยแรงจูงใจเกี่ยวกับคนทรยศ มหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพงจึงมีโอกาสที่จะปลุกเทพสงครามสีเงินออกจากการจําศีล ก่อนที่เราจะชนะในสงครามครั้งนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ตามเทพสงครามสีเงินเหล่านี้คืออาวุธที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยสุดยอดกําแพง และมีจํานวนน้อยมาก หากเราพลาด พวกเขาอาจถูกแยกออกจากจักรวาลอันกว้างใหญ่และพ่ายแพ้ เทพสงครามสีเงินที่แพ้ในการต่อสู้ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของมหาวิทยาลัย นั่นคือโอกาสของเรา เราต้องสะสมตะกั่วแดงจํานวนมากเพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เฟิงหลินโปรดช่วยฉันด้วย!”
“ ผมเข้าใจแล้ว!” เฟิงหลินตอบรับด้วยรอยยิ้มและตอบว่า “ ด้วยมิตรภาพของเรา การช่วยเหลือคุณไม่ใช่ปัญหาแน่นอน แต่ผมต้องการให้คุณสัญญาอะไรกับผมอย่างนึ่ง”
“ อะไร?” ดวงตาของจ้าวเยวี่ยเอ๋อร์สว่างขึ้นเมื่อเธอตระหนักว่ายังมีช่องว่างสําหรับการเจรจาต่อรอง
รอยยิ้มยั่วเย้าที่มุมริมฝีปากของเฟิงหลิน เขาพูดด้วยเสียงต่ํา “ เอาละเมื่อถึงเวลาของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ผมอยากร่วมทีมต่อสู้ของศิษย์พี่จ้าวด้วย”
“ อะไรนะ?นายต้องการเข้าร่วมการต่อสู้?” จ้าวเยวี่ยเอ๋อร์อุทานด้วยความประหลาดใจ
บางสิ่งนั้นไม่พูดจะดีกว่า
แม้เธอจะรู้ว่าเฟิงหลินนั้นแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่สามารถชดเชยการขาดประสบการณ์ของเขาได้
การเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ไพ่ตายของพวกเขาอย่างเปิดเผย แม้แต่ นายพลสุดยอดกําแพงก็อาจมาเข้าร่วมในการต่อสู้
มันไม่ใช่การต่อสู้สําหรับผู้ที่มีระดับต่ํากว่าผู้ใช้ยืน!
ทําไมเฟิงหลินถึงกล้าเสี่ยงขนาดนั้น
เฟิงหลินยิ้ม เขารู้ว่าอีกไม่นานเขาจะไปถึงระดับผู้ใช้ยืน!
นั่นคือที่มาของความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยไพ่ตายทั้งหมดของเขา
ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขา ทําให้เธอมั่นใจ“ ศิษย์พี่จ้าวไม่ต้องกังวล! ผมรู้ขีดจํากัดของผมดี!”
เมื่อมองไปที่เทพสงครามสีเงินที่กําลังทําลายสัตว์จักรกลในสนามรบระหว่างดวงดาวอย่างโหดเหี้ยม เขาพูดเสริมอย่างไม่ไยดีว่า“ ชะตากรรมของมนุษย์ระหว่างดวงดาวอยู่ในเงื้อมมือของเรา! เราต้องไม่ปล่อยให้มนุษย์อยู่อย่างหวาดระแวงเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกหลาน! นั่นจะเป็นความอัปยศของพวกเราในฐานะมนุษย์!”