Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1621
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1621
คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับปรมาจารย์ขง?
จางเซวียนมองเห็นวัตถุประสงค์และความตั้งใจของหลัวกั้นเจินกับเหล่าผู้อาวุโส ทำให้การปฏิเสธเป็นเรื่องยาก
นอกเหนือจากการได้แก้แค้นจางเซวียน ยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหลัวเทียนหยาด้วย หลัวเทียนหยารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวแล้วก็จริง แต่โลกยังคงไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและมีความเก่งกาจแค่ไหน
จะมีใครอื่นที่เหมาะจะเป็นหินรองฝ่าเท้าเพื่อสร้างชื่อเสียงให้หลัวเทียนหยามากกว่าทายาทน้อยผู้โด่งดังของตระกูลจาง ซึ่งทุกวันนี้ชื่อของเขาก็ติดปากผู้คนมากมาย?
ในช่วงเวลาที่กำลังคับอกคับใจอยู่นั้น จางเซวียนชำเลืองมองหลัวลั่วชิงทางหางตา เห็นเธอยิ้ม สดใส เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นรอยยิ้มชื่นบานแบบนี้มาก่อนบนสีหน้าที่เฉยเมยเป็นปกติของเธอ
ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกประสาทกินมากขึ้นกว่าเดิม
คุณเป็นคนรักของผมหรือเปล่า? คุณควรจะคอยช่วยเหลือผมตอนที่ผมตกที่นั่งลำบากไม่ใช่หรือ? คุณนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรหลังจากที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว?
ขณะที่จางเซวียนไม่รู้ว่าควรจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อสายตาคาดหวังหลายคู่ที่อยู่รอบตัวเขา ก็ได้ยินโทรจิตจากหลัวลั่วชิง “อันที่จริง ฉันคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าคุณตอบรับคำขอของพวกเขา”
“ตอบรับคำขอของพวกเขา?” สีหน้าของจางเซวียนไม่สู้ดี “คุณอยากให้ผมทำร้ายตัวเองหรือ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย อันดับแรก คุณก็พาพวกเขาไปตระกูลจาง หาโอกาสเหมาะๆเพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณ และจัดการให้ทั้งสองตระกูลได้จับเข่าคุยกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ ไม่อย่างนั้น ด้วยความแค้นเคืองที่ตระกูลหลัวมีต่อตระกูลจาง ยิ่งคุณชดใช้ให้พวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีอาวุธทรงพลังที่จะใช้เล่นงานตระกูลจางได้มากขึ้นเท่านั้น ในกรณีเลวร้ายที่สุด ตระกูลหลัวอาจรู้สึกว่าพวกเขาพร้อมที่จะเปิดสงครามด้วยพละกำลังที่เพิ่งค้นพบใหม่ การที่สองตระกูลจะไกล่เกลี่ยกันได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณจะวางเฉยก็ไม่ได้เหมือนกันนะ” หลัวลั่วชิงอธิบาย
“เอ่อ…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ที่หลัวลั่วชิงพูดก็มีเหตุผล
ตระกูลหลัวมีความอาฆาตแค้นอย่างล้ำลึกกับตระกูลจาง ซึ่งแม้การที่เขาอยากชดใช้ความเสียหายให้กับตระกูลหลัวจะเป็นไปด้วยความปรารถนาดี แต่การกระทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างกับการกระพือความปรารถนาที่จะแก้แค้นให้ลุกโชนขึ้นอีก ซึ่งไม่เพียงแต่จะแก้ไขความขัดแย้งไม่ได้ ยังจะทำให้มันเลวร้ายกว่าเดิมด้วย!
ในเมื่อตระกูลหลัวของเราแข็งแกร่งพอแล้ว จะไกล่เกลี่ยกับตระกูลจางไปเพื่ออะไร? ความคิดอันเลวร้ายนี้ย่อมฝังรากลึกลงไปในใจของสมาชิกตระกูลหลัว
ถ้าจางเซวียนปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ ไม่ช้าไม่นาน การต่อสู้ระหว่างสองตระกูลจะต้องเกิดขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ดำเนินต่อไป เขาควรจะรีบแก้ไขมันโดยด่วน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่อาจวุ่นวายกับการสลับสับเปลี่ยนร่างระหว่างหลัวเทียนหยากับจางเซวียนได้ เขาคงจะเหนื่อยตายเสียก่อน!
“ผมก็คิดว่าคงไม่มีหนทางอื่น…” หลังจากไตร่ตรองแล้ว ถึงจางเซวียนจะยังลำบากใจ แต่ลงท้ายเขาก็พยักหน้า “เอาเถอะ ผมตอบรับคำขอของพวกคุณ ออกเดินทางไปตระกูลจางกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“วู้ฮู้! ออกเดินทางไปตระกูลจางกันเถอะ!”
“เตะก้นเจ้าจางเซวียนนั่น!”
…..
เหล่าผู้อาวุโสพากันโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา
“….” จางเซวียน
สมาชิกตระกูลหลัวต่างเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางอยู่แล้ว เมื่อได้การตอบรับจากจางเซวียน พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเลและเรียกอสูรระดับเซียนบินได้ของตัวเองมา
อสูรระดับเซียนบินได้หลายสิบตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นภาพอันสง่างาม
เป้าหมายของตระกูลหลัวคือเพื่อเรียกคืนชื่อเสียงของพวกเขา ดังนั้น แม้จางเซวียนจะสามารถพาพวกเขาทะลุมิติไปได้โดยเฉพาะหลังจากที่เขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว แต่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะบินไปโดยใช้อสูรระดับเซียนบินได้เพื่อดึงดูดความสนใจของชาวโลก
…..
จางเซวียนยืนอยู่บนหลังของอสูรระดับเซียนบินได้ตัวหนึ่ง เขาชำเลืองมองหลัวลั่วชิงซึ่งกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เขาตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจ
คุณคิดว่าผมอยากตกอยู่ในสภาพนี้หรือ?
ชาติก่อนผมทำอะไรผิดไว้ ชาตินี้สวรรค์ถึงลงโทษผมแบบนี้?
ช่างมันเถอะ เราจะไม่คิดเรื่องนี้แล้ว! ให้ความสำคัญกับการพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ดีกว่า!
ถึงจะท้อใจแค่ไหน แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงหลับตาและใช้สมาธิพิจารณาภูมิปัญญาที่เขาได้ถ่ายโอนไว้ หวังว่าจะพบแรงบันดาลใจที่นำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
2 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่จางเซวียนรู้สึกว่าเขาพบเส้นทางที่เหมาะสมแล้ว และกำลังจะดำเนินการฝ่าด่านวรยุทธ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา
“คุณคิดจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ตอนนี้หรือ?”
เขาหันไป และเห็นหลัวลั่วชิงกำลังมองอยู่
“นั่นคือความตั้งใจของผม” จางเซวียนพยักหน้ารับ
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปกปิดเรื่องนี้จากสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า
ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงลำบากใจที่จะอธิบายว่าตัวเองยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องพยายามปกปิดวรยุทธไว้ แต่เขาไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องทำแบบนั้นต่อหน้าหลัวลั่วชิง
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง หลัวลั่วชิงไม่เคยประหลาดใจกับการยกระดับวรยุทธอย่างพรวดพราดของเขา และไม่เคยตั้งคำถามด้วย ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าเธอจะคาดเดาเหตุการณ์แบบนี้ไว้แล้ว
“อย่าเพิ่งรีบร้อน การฝ่าด่านวรยุทธของนักรบระดับเซียนนั้นมีหลายระดับ อย่างเช่นเซียนฟ้าประทาน ซึ่งสำหรับวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นแบบเดียวกัน คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักหากคุณจะรีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำ” หลัวลั่วชิงพูด
“การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มีหลายระดับหรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านี้ เขาได้พบแท่นสถาปนาเซียนของจริง และได้ใช้พลังจากที่นั่นเพื่อผลักดันการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นเซียนฟ้าประทาน และก็เพราะการฝ่าด่านวรยุทธแบบไม่ธรรมดาในครั้งนั้นที่ทำให้พลังปราณของเขามีทั้งปริมาณและความเข้มข้นเหนือชั้นกว่าผู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน
หรือว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย?
“ไม่มีอะไรแบบที่เรียกว่านักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ฟ้าประทานหรอก” หลัวลั่วชิงตอบ มองเห็นความสงสัยของจางเซวียน “แต่กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะส่งผลให้เกิดความแตกต่างมากมายในประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบแต่ละคน”
“เอ่อ…”
จางเซวียนไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคนรักของเขาเป็นใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจก็คือคนรักของเขาคนนี้มีความรอบรู้เรื่องวรยุทธเหนือชั้นกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนฟ้าประทาน
และในเมื่อเธอพูดออกมาแล้ว เขาก็ควรใส่ใจ
“ขั้นแรกของนักวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คือการพักฟื้นภายใน เป็นวรยุทธที่จะทำให้นักรบสามารถกระจายการรับรู้จิตวิญญาณของพวกเขาเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย และยกระดับกายเนื้อขึ้นจากขั้นพื้นฐาน เหมือนกับการเจริญเติบโต” หลัวลั่วชิงอธิบาย “การฝ่าด่านวรยุทธแบบทั่วไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในนั้น นักรบจะต้องบ่มเพาะการรับรู้จิตวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในรูปแบบที่ทรงพลังและใสกระจ่างกว่าเดิม การฝ่าด่านวรยุทธแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ เป็นวิธีการที่ถือว่าอ่อนด้อย รู้จักกันในชื่อกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำ”
ในเมื่อมีขั้นต่ำ ก็ย่อมมีขั้นสูง
“ว่ากันว่า นี่เป็นวิธีเดียวที่เหล่านักรบรู้กันว่าจะทำให้พวกเขายกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งมีเพียงคนเดียวในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ออกแบบกรรมวิธีที่เหนือชั้นกว่าในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จด้วย” หลัวลั่วชิงพูดต่อ
“คุณหมายถึง…ปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ในประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ บุคคลที่โด่งดังที่สุดก็คือปรมาจารย์ขง หากใครสักคนจะสามารถออกแบบกรรมวิธีที่เหนือชั้นกว่าในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้…ก็ย่อมเป็นเขา
“ใช่แล้ว ปรมาจารย์ขง” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ตอนที่เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด เขาได้นำเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างกายเพื่อบ่มเพาะการรับรู้จิตวิญญาณด้วยความร้อนแผดเผาของมัน ทำให้การรับรู้จิตวิญญาณมีความทนทานและแข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไปมากหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว ทั้งปริมาณพลังปราณและความแข็งแกร่งที่เขามีนั้น ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณโดยทั่วไปก็เทียบชั้นไม่ได้ และนั่นคือการปูรากฐานให้เขากลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”
“เปลวเพลิงสวรรค์?” จางเซวียนตัวแข็งเมื่อได้ยินคำนั้น
ก่อนหน้านี้ เจตจำนงของปรมาจารย์ขงได้บอกเขาว่ากุญแจที่นำไปสู่การแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดคือการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวและนำเอาเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างของตัวเองเพื่อแผดเผามัน…
สำหรับผู้ที่จะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 7 ดาว จะต้องมีวรยุทธตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 2 ถึงขั้น 4, ปรมาจารย์ระดับกึ่ง 8 ดาวจะมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 ส่วนปรมาจารย์ระดับ 8 ดาวนั้นจะมีวรยุทธตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 6 ถึงขั้น 8
ดังนั้น ผู้ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 โดยทั่วไปก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ระดับกึ่ง 9 ดาว
มีกรณีพิเศษอยู่บ้างที่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดบางคนได้รับตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก่อนล่วงหน้า แต่โดยทั่วไป เงื่อนไขของการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็คือต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
หรือนั่นจะหมายความว่า…ที่ปรมาจารย์ขงพูดถึงการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวนั้นไม่ได้หมายถึงตราสัญลักษณ์จากสภาปรมาจารย์ แต่หมายถึงระดับวรยุทธ? เขาจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้เสียก่อน และจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงด้วย…แบบนั้นหรือเปล่า?
“ก็เหมือนกับการทดสอบสายฟ้า เปลวเพลิงสวรรค์คือการลงทัณฑ์รูปแบบหนึ่งที่สวรรค์ส่งมาให้กับเหล่านักรบ ตอนที่คุณเอาชีวิตรอดจากการทดสอบสถาปนาเซียนมาได้และกลายเป็นเซียนฟ้าประทาน คุณรู้สึกไหมว่าทั้งจิตวิญญาณและกายเนื้อของคุณแข็งแกร่งกว่าเดิม ทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างง่ายดาย?” หลัวลั่วชิงถาม
จางเซวียนพยักหน้า
โดยทั่วไป ตั้งแต่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 การละทิ้งช่องว่าง นักรบก็จะต้องเผชิญกับการทดสอบสายฟ้าเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของตัวเองแล้ว แต่เพราะได้ผ่านการทดสอบสถาปนาเซียน จิตวิญญาณและกายเนื้อของจางเซวียนจึงยกระดับขึ้นไปจนเหนือชั้นกว่าระดับวรยุทธจริงของตัวเอง ทำให้เขามีความแข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไป
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าเปลวเพลิงสวรรค์จะทำให้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น และทำให้เขามีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าเมื่อเทียบกับนักรบคนอื่นๆ
“ผมได้อ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีเล่มไหนพูดถึงความแตกต่างระหว่างกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นต่ำกับขั้นสูงเลย ถ้าปรมาจารย์ขงเป็นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คิดค้นและรับรู้สิ่งนี้ แล้ว…ลั่วชิง คุณเรียนรู้มันได้อย่างไร?”
จางเซวียนเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เขามองหน้าเธอและตั้งคำถาม “คุณ…มีความสัมพันธ์อย่างไรกับปรมาจารย์ขง?”