Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1634
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1634
ตระกูลหลัวมาถึง
หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่ออกจากตระกูลจางก็หยุดพัก
“ท่านอาจารย์ ผมรู้สึกเสียเกียรติและศักดิ์ศรีมากที่พวกเราต้องยอมแพ้แบบนั้น!” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องออกมา
“ถึงจางจิ่วเซี่ยวจะพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว” ชายหนุ่มอีกคนพูดเสียงลอดไรฟัน “แต่หากเราใช้พละกำลังเต็มที่ตั้งแต่ต้น ก็น่าจะเอาชนะเขาได้ อีกอย่าง หัวหน้าตระกูลจางอาจมีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ก็จริง แต่ถ้าคำพูดของเซียนดาบชิงเป็นความจริงล่ะก็ นี่ย่อมเป็นครั้งแรกที่หัวหน้าตระกูลจางได้เข้าใกล้มรดกตกทอดของตระกูล ต่อให้เขาจะปราดเปรื่องแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจะเหนือชั้นกว่าพวกเราได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียวหรอก!”
ในเมื่อพวกเขาปฏิบัติภารกิจที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มอบหมายให้ไม่สำเร็จ ก็แน่นอนว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเมื่อกลับไป
เห็นบรรดาลูกศิษย์ของเขาไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ ถานไท่เจินชิงส่ายหน้า “พวกคุณพูดว่าความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของหัวหน้าตระกูลจางยังอ่อนด้อยกว่าพวกคุณหรือ?”
“ถูกต้อง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ก่อนหน้านี้น่ะ ผมยังเห็นด้วยกับคุณนะ แต่ตอนนี้…ดูกระจกเงาแห่งกาลเวลานี่สิ!”
ถานไท่เจินชิงสะบัดข้อมือโดยไม่อธิบายอะไร กระจกเงาบานสีทองมาอยู่ในฝ่ามือของเขา
“เกิดอะไรขึ้นกับกระจกเงาหรือ?”
ทุกคนรีบเข้ามารุมล้อมถานไท่เจินชิง แค่มองแวบเดียว พวกเขาก็หรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
มีรอยร้าวเป็นทางยาวปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของกระจก ดูเหมือนบาดแผลขนาดใหญ่
“ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ใครทำลายกระจกเงาแห่งกาลเวลา?” ถานไท่เจี้ยนขุยถามด้วยความตกใจ
กระจกเงาแห่งกาลเวลาเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสร้างความเสียหายให้มันได้ยาก แล้วทำไมจู่ๆถึงเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่บนผิวหน้าของมันแบบนี้?
“มันเกิดขึ้นเพราะการชําเลืองมองเพียงแวบเดียวของหัวหน้าตระกูลจาง!” ถานไท่เจินชิงพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกล้ำลึก
“เป็นเพราะการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว?”
ทุกคนต่างขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
กระจกเงาแห่งกาลเวลามีความทนทานถึงขนาดที่ต่อให้พวกเขาใช้พละกำลังเต็มพิกัดกับมัน ก็ไม่อาจเกิดร่องรอยได้แม้แต่น้อย หัวหน้าตระกูลจางเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด แต่การชําเลืองมองของเขาทำให้เกิดรอยร้าวเป็นทางยาวขนาดนี้บนกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้?
“กระจกเงาแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษคนหนึ่งของเราทิ้งไว้ให้เป็นบททดสอบกับคนรุ่นหลัง มันมีค่ายกลทุกชนิดฝังอยู่ภายในเพื่อท้าทายผู้ที่ปล่อยให้จิตใต้สำนึกซึมซาบเข้าไปในกระจก หัวหน้าตระกูลจางดูเหมือนจะชำเลืองมองเพียงแวบเดียว แต่อันที่จริง จิตใต้สำนึกของเขาได้ซึมซาบเข้าไปในกระจกเงาแห่งกาลเวลาและทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้นแล้ว!” ถานไท่เจินชิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด
“จิตใต้สำนึกของเขาซึมซาบเข้าสู่กระจกเงาแห่งกาลเวลาและทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ในนั้น?” ฝูงชนหรี่ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ
ยิ่งคนคนหนึ่งมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งเวลาล้ำลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเอาตัวรอดจากกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่หัวหน้าตระกูลจางไม่เพียงแค่เอาตัวรอดออกมาจากกระจกเงาแห่งกาลเวลาได้ ยังทำลายค่ายกลทั้งหมดที่อยู่ในนั้นด้วย…ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาจะต้องล้ำลึกขนาดไหนถึงทำเรื่องแบบนี้ได้?
“เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะสำเร็จแก่นสารของเวลาแล้ว” ถานไท่เจินชิงไขข้อสงสัยที่อยู่ในใจทุกคน
ในตอนนั้น ผู้ฟังต่างเงียบกริบ
แก่นสารของเวลาและแก่นสารของมิตินั้นแตกต่างกันกับแก่นสารเพลงดาบและอื่นๆ แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ยังประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจแก่นสารทั้งสองแบบนี้ได้ยาก แต่ชายหนุ่มที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 กลับทำได้
“ดูเหมือนหัวหน้าตระกูลจางคนนี้จะปราดเปรื่องพอๆกันกับหลัวเทียนหยาแห่งตระกูลหลัว ไม่ง่ายเลยที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราจะบรรลุเป้าหมาย” หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือก
ไม่แปลกใจแล้วที่ถานไท่เจินชิงรีบกลับออกมา เพราะหากเป็นการดวลในระดับวรยุทธเดียวกัน ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาได้ ต่อให้ตัวเขาจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานที่ลดระดับวรยุทธลงมาก็ตาม
การจากมาถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะต้องอับอายขายหน้า
…..
“เราชนะ?”
“เราเอาชนะผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้จริงๆ!”
ตรงกันข้ามกับความหม่นหมองของถานไท่เจินชิงกับพรรคพวกจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ความแช่มชื่นยินดีปรีดาอบอวลท่วมท้นไปทั่วทั้งตระกูลจาง
ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเสนอคำท้าดวล ต่างก็พากันคิดว่าต้องถูกย่ำยีศักดิ์ศรีแน่แล้ว แต่ใครจะคิดว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะขับไล่คนเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดายขนาดนี้?
นี่เป็นสิ่งที่เหล่าสมาชิกตระกูลจางไม่เคยนึกฝันมาก่อน
แต่สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้นจริงต่อหน้าต่อตาแล้ว!
“ผมชนะแล้วหรือ?”
แม้แต่จางจิ่วเซี่ยวก็แทบไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น
ดวลกับทายาทของนักปราชญ์และเอาชนะได้…ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่มีวันคิดเลยว่าตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้สำเร็จ!
ในสมองของเขาไม่มีความรู้สึกใดนอกจากความสำนึกในบุญคุณอย่างล้ำลึกต่อท่านอาจารย์ เป็นเพราะท่านอาจารย์ที่ช่วยให้เขาได้มาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
“ผมอยากให้คุณฝึกฝนวรยุทธจากหนังสือทั้งสองเล่มที่ผมเพิ่งถ่ายทอดในอีก 2-3 วันนับจากนี้ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำความเข้าใจแก่นสารของเวลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ และผมก็อยากให้คุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้ไปพร้อมๆกันด้วย ด้วยสิ่งนี้ คุณจะฝ่าด่านวรยุทธได้ในอีกไม่ช้าและยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกมาก!” จางเซวียนมองจางจิ่วเซี่ยวอย่างเคร่งขรึม
“คุณคือลูกศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดของผมในเวลานี้ เพราะฉะนั้นจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อยกระดับวรยุทธ ผมหวังว่าในอนาคตคุณจะกลายเป็นผู้อารักขามวลมนุษยชาติเหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ของคุณ!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์! ผมจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง” จางจิ่วเซี่ยวประสานมือ
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
จากนั้นเขาก็หันไปมองเซียนดาบชิงเหมิง
จางเซวียนสูดหายใจลึกและพูดออกมา “ท่านพ่อ, ท่านแม่!”
เรื่องจริงก็คือเขายอมรับทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของเขาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาพบว่ามันยากเย็นอย่างไม่น่าเชื่อในการที่จะเรียกทั้งสองคนว่าท่านพ่อกับท่านแม่
แต่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นไปแบบนี้ ดูเหมือนในอนาคตเขาจะต้องร่วมมือกับเซียนดาบชิงเหมิงเพื่อปกป้องมวลมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และทั้งคู่ก็มีอิทธิพลในตระกูลจางมากกว่าเขา คงจะไม่เข้าท่านักหากปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างครึ่งๆกลางๆอย่างที่เป็นมาตลอด
ดังนั้น จางเซวียนจึงรวบรวมความกล้าและพูดออกไป
เซียนดาบชิงเหมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง ทั้งคู่กำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นขณะร้องออกมา “เซวียนเอ๋อ!”
พวกเขารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานนับตั้งแต่ทั้งสามได้กลับมาพบกัน แต่ก็รู้ดีว่าได้ทำผิดกับลูกชายไว้ จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อเขา ทั้งคู่ได้แต่หวังว่าจะมีสักวันที่ลูกชายจะยอมรับพวกเขาด้วยความเต็มใจ
นึกไม่ถึงเลยว่าความปรารถนาจะเป็นจริงอย่างรวดเร็วแบบนี้!
“แม้เทคนิควรยุทธที่ท่านพ่อกับท่านแม่ฝึกฝนจะถือเป็นเทคนิคชั้นยอด แต่ความตึงเครียดและความกดดันที่ได้รับตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาทำให้เกิดสิ่งอุดตันในทางเดินพลังปราณของท่านพ่อท่านแม่ พลังปราณไม่อาจไหลเวียนได้อย่างราบรื่น ผมจะถ่ายทอดวิธีกำจัดสิ่งอุดตันให้นะ เพื่อที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” จางเซวียนพูด
ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จากการวิเคราะห์ของหอสมุดเทียบฟ้า ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายข้อในเทคนิควรยุทธและสภาพร่างกายของพวกเขา ข้อบกพร่องเหล่านี้มาจากด่านคอขวดที่กีดขวางการยกระดับวรยุทธเอาไว้
ถ้าทั้งคู่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ไม่ช้าไม่นานก็คงได้สำเร็จขั้นสูงสุดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่!
“ลูกกำลัง…ให้คำชี้แนะพ่อกับแม่หรือ?” ได้ยินคำพูดของลูกชาย เซียนดาบชิงเหมิงขมวดคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ
ตอนนี้ลูกชายของพวกเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด…สามารถให้คำชี้แนะกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 อย่างพวกเขาได้ด้วยหรือ?
“อันที่จริงก็ไม่ใช่คำชี้แนะหรอก ผมแค่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องบางข้อที่ผมรู้สึกได้ในวรยุทธของท่านพ่อกับท่านแม่ เพื่อที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้แก้ไขความบอบช้ำที่ได้รับมา” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ
เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือเกี่ยวกับทั้งคู่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายสภาวะร่างกายของพวกเขาและมอบคำชี้แนะให้
หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็นำสมุดเปล่าออกมา 2 เล่มและเริ่มเขียนลงไป ไม่ช้าเขาก็อธิบายข้อบกพร่องและปัญหาทั้งหมดที่ทั้งคู่กำลังทุกข์ทรมานอยู่พร้อมวิธีแก้ไข
“เอ่อ…”
เซียนดาบชิงเหมิงรับสมุดมาพลิกดู ทั้งคู่ตัวแข็งด้วยความตกใจ
สิ่งที่ลูกชายของพวกเขาชี้ให้เห็นนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ล้วนแต่เป็นปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่จริงๆ!
จางเซวียนหันไปมองผู้อาวุโสคนอื่นๆและสั่งการ “ผมอยากให้พวกคุณที่เหลือสำแดงเทคนิคการต่อสู้ออกมา เพื่อที่ผมจะได้ให้คำชี้แนะสำหรับวรยุทธของพวกคุณ”
ในเมื่อสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาจ่ออยู่ตรงหน้า จางเซวียนจึงถือว่าเป็นความจำเป็นสูงสุดสำหรับเขาที่จะต้องยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหล่าสมาชิกตระกูลจางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ยังไม่ทันที่เหล่าผู้อาวุโสจะได้ทำอะไร องครักษ์คนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“ท่านหัวหน้า, ข่าวร้าย! ตระกูลหลัวมาถึงทางเข้าเมืองพยัคฆ์มังกรแล้ว!”
หลังจากบินมา 3 วันเต็ม ในที่สุดกลุ่มคนจากตระกูลหลัวก็มาถึง!