Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1670
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1670
เข้าสู่อาณาจักรใต้ดินอีกครั้ง
“เพราะการเสียสละของพวกเขา มวลมนุษย์จึงเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงอย่างทุกวันนี้ หากปราศจากคนเหล่านี้ โลกคงตกอยู่ในมิคสัญญี…”
จางเซวียนไม่เคยเป็นคนอ่อนไหวมาก่อน นับตั้งแต่ทะลุมิติมาหรือแม้แต่ในชีวิตเก่าของเขา เขาก็มองโลกอย่างไม่รู้สึกรู้สามาตลอดแต่เมื่อได้เห็นบรรดานักเรียนของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนพุ่งเข้าสู่การสู้รบโดยปราศจากความหวาดกลัว และปรมาจารย์อีกนับไม่ถ้วนต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในอาณาจักรใต้ดิน…พูดตามตรง มันสะเทือนความรู้สึกของเขามาก
ความรู้สึกแรกที่เขามีต่อตระกูลจางคือความน่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้เห็นป้ายชื่อมากมายนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหม่นหมอง
ไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งและการสะสมทรัพย์สมบัติที่ทำให้ตระกูลจางกลายเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 แต่ที่มากกว่านั้นก็คือทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป
หลายหมื่นปีมาแล้วที่คนเหล่านี้กดข่มเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไว้ให้อยู่แต่ในอาณาจักรใต้ดิน ด้วยคุณงามความดีและการเสียสละของพวกเขา มวลมนุษย์จึงมีความสงบสุขและได้รับสันติภาพอย่างที่เป็นอยู่
ถ้าปราศจากคนเหล่านี้ มนุษย์คงไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองและพัฒนามาได้ไกลอย่างที่เห็น
ครืนนนนน!
ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด ก็พลันรู้สึกว่าพื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง รังสีที่บ่งบอกถึงอันตรายระเบิดขึ้นจากใต้พื้นดิน
วิ้ง!
ทันทีที่รังสีเหล่านั้นขึ้นมาถึงหน้าดิน ป้ายหลุมศพก็เรืองแสงที่สว่างราวกับไข่มุกกระจ่างราตรีออกมา จากนั้น รังสีอันตรายก็ค่อยๆสลายตัวไปอย่างเงียบๆ
การที่รังสีอันตรายมาถึงที่นี่ได้ย่อมหมายความว่าฉนวนที่อยู่ด้านล่างถึงขีดสุดแห่งความทนทานของมันแล้ว เราควรรีบไปดูเดี๋ยวนี้!จางเซวียนคิด
เพราะเคยเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน จางเซวียนจึงคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี เขาร้องเรียกหลัวลั่วชิงโดยไม่ลังเลและรีบรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงรูปปั้นขนาดใหญ่
มันคือรูปปั้นของผู้ก่อตั้งตระกูลจาง
จางเซวียนทาบฝ่ามือลงไปบนรูปปั้น
บึ้มมมม!
เกิดแสงเจิดจ้าระเบิดออกมา ทั้งจางเซวียนและหลัวลั่วชิงหายวับไปจากจุดนั้น ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดรังสีอันตรายแผ่ซ่านไปโดยรอบ ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดระแวง
ทั้งสองคนรีบรุดหน้าต่อไป ไม่ช้าก็มาถึงป้อมปราการขนาดใหญ่
อาณาจักรใต้ดินแห่งนี้ใหญ่กว่าอาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วนมาก ป้อมปราการก็แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง มีค่ายกลที่กำลังถูกเปิดใช้งานติดตั้งไว้โดยรอบเพื่อป้องกันศัตรู
จางเซวียนเข้าไปในป้อมปราการและเห็นสมาชิกตระกูลจางจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังยืนเรียงกันเป็นระเบียบในรูปของค่ายกล ดูเหมือนเหล่าทหารหาญที่กำลังตบเท้าเข้าสู่สงคราม
“ท่านหัวหน้า!”
เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดูแลกองกำลังก็รีบเข้ามาทักทาย
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จางเซวียนถาม
“ดูจะไม่ดีนัก กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าโจมตีมากกว่า 10 ครั้งแล้ว และพวกเราทั้งสองฝ่ายก็ได้รับความเสียหายยับเยิน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของฉนวน เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงได้รับความเสียหายมากกว่าเราหลายเท่า แต่ผมก็เกรงว่าเราคงจะต้านทานไว้ไม่ได้นานหากมันยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งแบบนี้” ผู้อาวุโสตอบด้วยความกังวล
“แล้วตอนนี้ฉนวนเป็นอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถามอีก
“ผมก็ไม่แน่ใจนัก เมื่อครู่นี้คนของเรายังควบคุมพื้นที่อยู่ แต่ก็ถูกกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจขับไล่ ผมเกรงว่าตอนนี้เราจะไม่สามารถเข้าถึงฉนวนได้” ผู้อาวุโสตอบ
“เราสูญเสียการควบคุมฉนวนหรือ? นั่นถือว่าเสียเปรียบนะ ตระกูลจางมีผู้เชี่ยวชาญตั้งมากมาย เราสูญเสียการควบคุมฉนวนไปได้อย่างไร?” จางเซวียนตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เหตุผลหลักที่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อาจบุกโจมตีครั้งใหญ่ได้ก็เพราะมีฉนวนแห่งมิติกีดขวางไว้
ฉนวนแห่งมิติที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋สร้างขึ้นนั้นทรงพลังมากมนุษย์สามารถผ่านเข้าออกได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้น กองกำลังที่ทำหน้าที่ตั้งรับจึงทำเพียงแค่ตรึงกำลังอยู่บริเวณด้านนอกฉนวน เพื่อสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนก็ตามที่บังเอิญผ่านเข้ามา
ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถควบคุมฉนวนเอาไว้ได้ ก็แปลว่ามันจะสามารถจับผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินมากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ? นั่นแปลว่ากองกำลังของพวกเขาจะต้องลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วแน่
ตระกูลจางทรงพลังก็จริง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพละกำลังไร้เทียมทานของกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาแทบไม่มีโอกาสเลย!
“พ่อคือคนที่สั่งการให้เหล่าสมาชิกตระกูลจางล่าถอย”
ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสจะได้ตอบคำถาม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
จางเซวียนหันไป และเห็นท่านพ่อกับท่านแม่ของเขา, เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงกำลังก้าวยาวๆเข้ามา
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากของเซียนดาบชิง จางเซวียนขมวดคิ้ว
“พวกมันทำลายฉนวนของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋แล้ว การตรึงกำลังบริเวณนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป แทนที่จะสูญเสียกำลังพลของเราไปกับฉนวนที่ถูกทำลาย น่าจะดีกว่าถ้าเรารักษาป้อมปราการนี้ไว้ ด้วยการปกป้องของค่ายกลมากมายที่นี่ พวกเราน่าจะสูญเสียน้อยที่สุด” เซียนดาบชิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด
“ฉนวนถูกทำลายแล้ว?” จางเซวียนกำหมัดแน่น
“ใช่ คราวนี้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเตรียมตัวมาอย่างดี พวกมันตั้งใจจะบุกรุกเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมากแค่ไหนก็ตาม” เซียนดาบชิงส่ายหน้า เขาโบกมือและพูดว่า“ตามพ่อมา!”
จางเซวียนรีบเดินตามไปยังกำแพงของป้อมปราการ
เมื่อมองจากป้อมปราการที่สูงสง่า จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีถึงเจตนาสังหารโหดเหี้ยมที่อบอวลไปทั่ว เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังตั้งแถวอยู่ในรูปของค่ายกล ไม่ต่างอะไรกับกองทัพ
แม้พวกมันจะยืนนิ่ง แต่การปรากฏตัวนั้นก็แผ่แรงกดดันหนักหน่วงเข้าสู่ป้อมปราการ
มีเต็นท์และที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นไว้มากมายรอบๆกองทัพ เท่าที่เห็น ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจก็รู้ดีว่าการจะบุกเข้าสู่ป้อมปราการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
“ฉนวนถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อให้กองกำลังของตัวเองเข้ามาเสริมหากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เราจะต้องสูญเสียการควบคุมอาณาจักรใต้ดินแน่” จางเซวียนวิเคราะห์พร้อมกับขมวดคิ้ว
“พ่อก็รู้ แต่จากการสู้รบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจมานานนับปีไม่ถ้วน พวกเรารู้ระดับพละกำลังของพวกมันดี ในเมื่อพวกมันเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งพร้อมๆกัน จำนวนกำลังพลของพวกมันที่อยู่ที่นี่จึงมีจำกัด หากมันมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งได้พร้อมกันจริงๆล่ะก็ มวลมนุษย์คงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว” เซียนดาบชิงตอบอย่างมั่นใจ
มีความแค้นที่ฝังรากลึกยาวนานระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
หากเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถทำลายอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งได้พร้อมกันจริงๆ พวกมันคงทำแบบนั้นไปนานแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตรึงกำลังอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเนิ่นนานและได้รับความเสียหายมากมายแบบนี้
“ท่านพ่อกำลังพูดว่า…พวกมันแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“พ่อไม่ได้หมายความว่าพวกมันแสร้งทำ แต่นอกเหนือจากการรอคอยกำลังเสริมแล้ว ก็ดูเหมือนพวกมันจะหวาดกลัวด้วย พวกมันเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์ในอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นๆก่อนจะตัดสินใจว่าควรเข้าโจมตีหรือไม่ หากกองกำลังของพวกมันต้องพ่ายแพ้ในอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นๆ ต่อให้มันเข้ายึดครองที่นี่ได้ก็คงไร้ความหมาย หากปราศจากกำลังเสริม ไม่นานพวกเราก็จะสามารถผลักดันพวกมันกลับเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้เหมือนเดิม แน่นอนว่าไม่มีประโยชน์ที่พวกมันจะยอมสูญเสียมากมายเพียงเพื่อให้ได้ครอบครองดินแดนหนึ่งชั่วคราว พูดอีกอย่างก็คือ หากเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครองอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นได้พวกเราก็จะตกอยู่ในอันตราย” เซียนดาบชิงพูด
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ท่านพ่อพูดถูก…”
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น อีกอย่าง ต่อให้มีอาณาจักรใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่ถูกทำลาย มวลมนุษย์ก็ยังต้องแบกรับความเสียหายมากมายอยู่ดี ดังนั้น การที่พวกเขาตรึงกำลังไว้จึงมีความสำคัญมาก
“เดี๋ยวก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสถานการณ์แบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในอาณาจักรใต้ดินที่อื่นๆด้วย? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันจะเป็นกลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจหรือเปล่า?” จางเซวียนหรี่ตาขณะที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจ?” เซียนดาบชิงกับผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลจางพากันขมวดคิ้ว
สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่น่าจะมีอะไรที่สำคัญไปกว่าการเข้ายึดครองอาณาจักรใต้ดิน
“พวกคุณอยู่ในอาณาจักรใต้ดินมาตลอด ก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อครู่ก่อนนี้เอง วิหารแห่งขงจื๊อได้ปรากฏขึ้น ดูเหมือนมันจะเปิดอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้แหละ การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ารุกรานอาณาจักรใต้ดินในเวลานี้และทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต้องมารวมตัวกันที่นี่ เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันกำลังยื้อเวลา? ขณะที่แสร้งทำเป็นรอคอยกองกำลังเสริม เป็นไปได้หรือเปล่าว่าแท้ที่จริงมันกำลังรั้งคนของเราไว้ที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ไม่หันไปสนใจกับการส่งกองกำลังเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนเปิดเผยความคิดของเขา
เพราะเคยปะทะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาหลายครั้ง เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงรู้ดีว่าพวกมันจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักหากเดินหน้าเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์โดยตรง ต่อให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจมีพละกำลังพอที่จะยึดครองทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่พวกมันก็จะต้องสูญเสียไม่น้อย เพราะฉะนั้น พวกมันจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆหรือเปล่า?
หรือนี่เป็นราคาที่พวกมันเต็มใจจ่ายเพื่อแลกกับการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์?
แถมเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่ใช่กลุ่มอำนาจหลักเพียงกลุ่มเดียวที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
เป็นความจริงที่ว่าวิหารแห่งขงจื๊อกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมีความสำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้สำคัญถึงขนาดที่พวกมันต้องพลีชีพเผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายเพื่อให้ได้มาหรือ?
พูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุผลที่พวกมันไม่รีบร้อนเข้าโจมตี ก็เพราะมันได้บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว มันสามารถยื้อเหล่าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากให้มารวมตัวกันที่นี่ ซึ่งก็หมายความว่าพวกมันจะอยู่ในภาวะที่ได้เปรียบสำหรับการต่อสู้ที่วิหารแห่งขงจื๊อ!