Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1717
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1717
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1717 พบแท่นบูชาอีกครั้ง
ในบรรดานักรบทั้ง 20 คนที่ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคุมตัวไว้ มีสาวน้อยคนหนึ่งรูปร่างสวยสดงดงาม แม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก แต่ก็ยังมีเสน่ห์ที่ทำให้ยากจะละสายตาจากเธอได้ เธอคือลูกศิษย์ที่ครั้งหนึ่งจางเซวียนเคยรับไว้เมื่อตอนอยู่ในสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน หัวหน้าแก๊งปีศาจเจ้าเสน่ห์, หูเหยาเหย่า!
ในครั้งนั้น หูเหยาเหย่าถูกพาตัวไปยังสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่ และได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดขั้นสูงสุดของเหล่าบรรพบุรุษที่นั่น ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็ยกระดับวรยุทธขึ้นจนได้เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้นจะต้องยกความดีความชอบให้คำชี้แนะของจางเซวียน และที่สำคัญไปกว่าก็คือความขยันหมั่นเพียรและความปราดเปรื่องของเธอซึ่งมีบทบาทมาก ในเวลาเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่จะได้มอบทรัพยากรในการบ่มเพาะเธออย่างเต็มที่
ความแข็งแกร่งของหูเหยาเหย่าในตอนนี้มากเกินพอที่จะทำให้เธอเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ แต่ภายในอาณาจักรโบร่ำโบราณซึ่งเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ความแข็งแกร่งของเธอยังจัดว่าอ่อนด้อยอยู่ เมื่อสายลมเย็นเยือกพัดมา ร่างของเธอก็สั่นสะท้าน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น แต่ดูเหมือนในเวลานี้เธอจะยังรับมือไหว
ไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัด แต่จิตวิญญาณของเธอดูจะหมดเรี่ยวแรงไปเล็กน้อย
ระดับวรยุทธของนักรบที่อยู่รอบตัวหูเหยาเหย่าก็ไม่ได้สูงนัก มีมากกว่าสิบคนที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ส่วนที่เหลือก็เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะหมดหนทางต่อสู้กับพละกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานถึง 3 ตัว
ถึงจางเซวียนจะพบใบหน้าของคนที่เขาคุ้นตา แต่ก็ไม่ได้ผลีผลามทำอะไรลงไป เขาสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวไว้และแอบติดตามทั้งกลุ่มไปอย่างเงียบๆ
เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นต้นไม่ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับจางเซวียน เขาสามารถสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดายเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ แต่จางเซวียนรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้มีเจตนาอย่างไร
หลังจากเดินทางไปได้อีกราว 10 นาที ชั้นน้ำแข็งที่ส่งประกายแวววาวก็ปรากฏตรงหน้า
“เร็วๆเข้า!”
จากนั้น เขาก็เห็นมนุษย์อีกหลายกลุ่มถูกนำตัวมา รวมแล้วก็มีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้นราว 100 คน พวกเขามาจากหลากหลายอาชีพ
ที่บริเวณใจกลางทุ่งน้ำแข็งคือแท่นรูปกลมที่มีธงค่ายกลทุกรูปแบบปักไว้โดยรอบ
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ข้างแท่นนั้นขณะสั่งการเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวให้จารึกอักษรค่ายกลลงบนพื้น
“พาตัวประกันมาที่นี่!” มันสั่งการพร้อมกับโบกมืออย่างวางอำนาจ
เผ่าพันธุ์ปีศาจรีบนำตัวมนุษย์ที่เป็นตัวประกันเข้ามาในพื้นที่บริเวณรอบแท่น และในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่ามีด้ายเส้นบางๆผูกข้อมือของตัวประกันเหล่านั้นไว้ สกัดกั้นวรยุทธของพวกเขาเอาไว้หมด
พวกมันตั้งใจจะใช้ตัวประกันกลุ่มนี้เป็นเครื่องบรรณาการเทพเจ้าของมันหรือ? จางเซวียนครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาเคยเห็นแท่นบูชานี้มาหลายครั้งแล้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิงเทียนเคยใช้มันหลายครั้งเพื่อเซ่นสรวงและบรรณาการเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับอำนาจและพละกำลัง แต่ในครั้งนั้น เครื่องบรรณาการคือทรัพย์สมบัติล้ำค่า ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้ลักพาตัวมนุษย์มา…พวกมันตั้งใจจะใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องบูชายัญหรือ?
แล้วพวกมันคาดหวังอะไรจากการนำมนุษย์มาเป็นเครื่องบูชายัญเทพเจ้าของพวกมัน?
หรือคิดจะใช้บรรณาการชีวิตมนุษย์เพื่อค้นหาทางออกจากมิติหิมะแห่งนี้?
แต่ถ้ามีจุดประสงค์เพียงเพื่อค้นหาทางออก พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้นี่! จางเซวียนสลัดข้อสันนิษฐานนั้นทิ้งไปพร้อมกับขมวดคิ้ว
เพราะได้ผ่านมิติผืนป่าและมิติผืนทรายมาแล้ว เขาจึงมีประสบการณ์ในการค้นหาทางออก ขอแค่เข้าสู่ใจกลางมิติได้ การจะค้นพบทางออกก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะต้องบูชายัญชีวิตมนุษย์มากมายเพียงเพื่อค้นหาทางออก
วัตถุประสงค์หลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจในการเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณก็เพื่อยึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ในเมื่อพวกมันยังไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งที่ตั้งที่แท้จริงของวิหารแห่งขงจื้อ ก็ดูจะไม่ฉลาดนักหากจะสังหารผู้คนมากมายในเวลานี้ เพราะอาจสร้างความเป็นปฏิปักษ์จากอีกฝ่ายให้เกิดขึ้นภายในอาณาจักรโบร่ำโบราณ
แต่ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นอะไร อันดับแรก เราต้องช่วยชีวิตคนกลุ่มนั้นก่อน…
ในเมื่อจางเซวียนได้เห็นกับตาแล้ว เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนเหล่านี้ตายต่อหน้าต่อตาเขาได้ อีกอย่าง หูเหยาเหย่าซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
จางเซวียนตรวจสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว มี 13 ตัวที่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน, 20 ตัวเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ส่วนที่เหลือเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติและการพักฟื้นภายใน รวมแล้วก็น่าจะมีไม่ถึง 50 ตัว
กองกำลังที่มีจำนวนเพียงเท่านี้ไม่ถือเป็นภัยสำหรับจางเซวียน เขาสามารถสังหารพวกมันให้สิ้นซากได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมัน คือเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมเกราะสีดำก็เป็นแค่นักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้นเท่านั้น ยังห่างไกลนักที่จะเทียบชั้นกับเขา
เส้นด้ายบางๆที่ถูกนำมาใช้สกัดกั้นวรยุทธนั้นดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเราผลีผลามเข้าโจมตี เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเปิดใช้งานของล้ำค่าและสังหารหูเหยาเหย่ากับคนอื่นๆทันทีแน่! จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ต่อให้ไม่พึ่งพาพละกำลังของอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 จางเซวียนก็ยังเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดายด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีอยู่ในตอนนี้ แต่หากเขากดดันเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้มากเกินไป ก็มีโอกาสที่พวกมันจะเลือกสังหารตัวประกันก่อนที่จะทำอย่างอื่น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม เขาจะต้องวางแผนการที่รัดกุมอย่างไร้ที่ติ
“การทำลายปราการแห่งมิตินั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ดูให้แน่ใจด้วยว่าของล้ำค่าทุกชิ้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำสั่งการต่อไป
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เหลือรีบเคลื่อนย้ายเครื่องรางเข้าสู่แท่นบูชาทีละชิ้น
จากการกวาดสายตาดู มีทั้งหินวิเศษหายาก หยดเลือดของอสูรระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อักษรจารึกค่ายกลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ยาเม็ดที่มีประสิทธิภาพการรักษาอันน่าทึ่ง…พูดง่ายๆก็คือ ทรัพย์สมบัติทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาวางบนแท่นนั้นมีมูลค่าราว 1 ใน 10 ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจางเซวียนเลยทีเดียว
ทำลายปราการแห่งมิติ? หรือพวกมันตั้งใจจะทะลุมิติเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยตรง?
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพูดภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่จางเซวียนก็เข้าใจ
แม้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันจะหามาได้โดยง่าย แต่แทนที่จะค้นหาทางออก พวกมันกลับจัดเตรียมแท่นบูชา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่การก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง
แต่ไม่ว่าพวกมันคิดจะทำอะไร เราจะต้องช่วยเหลือตัวประกันให้ได้ก่อน!
หากจางเซวียนคิดจะยับยั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ แต่การจะทำอย่างนั้น เขาต้องแน่ใจในความปลอดภัยของตัวประกันด้วย
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ปลอมตัวและเดินเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังก้อนน้ำแข็ง ก่อนจะทำลายฉนวนแห่งมิติที่ปกปิดร่างของเขาไว้ ด้วยการสะบัดข้อมือ จางเซวียนเตรียมพร้อมด้วยดาบระดับเซียนขั้นสูงสุด
ถ้าเขาพรวดพราดเข้าไปตอนนี้ คงไม่มีทางช่วยชีวิตใครไว้ได้ และในเวลาเดียวกัน ก็จะไม่อาจค้นพบความลับของแท่นบูชาและคาดเดาเป้าหมายของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือปล่อยให้ตัวเองถูกจับเหมือนหูเหยาเหย่ากับคนอื่นๆ เขาจะได้ใช้โอกาสนี้ทำลายฉนวนที่ผูกมัดทุกคนไว้ เมื่อตัวประกันปลอดภัยแล้ว สุดท้ายเขาก็จะได้ดำเนินการเรื่องอื่น
“เริ่มเลยเถอะ”
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหันหน้าไปอีกทางหนึ่งขณะที่สั่งการสำหรับการจัดเตรียมแท่นบูชา รู้ดีว่านี่คือโอกาสเหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตี จางเซวียนจึงรีบพุ่งเข้าไป
ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เขาพุ่งเข้าจ้วงแทงหัวใจของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำตัวนั้น ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยเปล่งประกายสีทองห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ในตอนนั้น จางเซวียนดูเหมือนกับพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด
การโจมตีครั้งนี้อาจดูเหมือนไร้ที่ติ แต่เรื่องจริงก็คือจางเซวียนได้กดข่มพละกำลังของเขาไว้ให้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติทั่วไป และเขาก็ไม่ได้ใช้แก่นสารของมิติและแก่นสารของเวลาด้วย ดังนั้น แม้จะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง แต่ก็ยากที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานสะดุ้งสะเทือนได้
“ดูเหมือนปลาตัวหนึ่งจะหลุดออกมา! นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกหรือ? ไม่แปลกใจเลย…”
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีข้าศึกโจมตี ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำคำราม มันงอนิ้วมือและกระดิกนิ้วอย่างแรงโดยไม่หันหลังกลับมา
ฟิ้ววววว!
รังสีอันทรงพลังปะทะเข้ากับปลายดาบของจางเซวียน แม้จะมีกระแสดาบฉีห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นหนา แต่ดาบของเขาก็ยังส่งเสียงเคร้งดังลั่นออกมาเมื่อปะทะกับรังสีนั้น ราวกับมันติดหนึบอยู่กับกำแพงโลหะที่เป็นชั้นหนา ไม่ว่าจะออกแรงสักแค่ไหน ดาบก็ไม่ขยับเขยื้อน
“เล่นงานมัน!”
จางเซวียนมีสีหน้าสิ้นหวัง เขาคำรามลั่นขณะเงื้อดาบขึ้นและปักมันลงมา
ฟึ่บ!
กระแสดาบฉีหลายสิบสายรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นกระแสพลังงานที่พุ่งเข้าใส่ปราการรังสีนั้น
รังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกตัดขาดเป็นสองส่วน จางเซวียนยังคงบุกเข้าโจมตีต่อไป
“ฮึ? ดูเหมือนแกจะเก่งกาจไม่เบานะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มสามารถตอบโต้การกระดิกนิ้วของมันได้
มันหันหลังกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นคว้าดาบที่พุ่งเข้าใส่มันได้โดยใช้ 2 นิ้วคีบไว้
“แกเล็ดลอดออกมาและเล่นงานฉันได้ ฉันต้องยอมรับว่าแกมีความสามารถโดดเด่นไม่เบา แกคงจะได้เป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานแน่หากมีเวลาบ่มเพาะตัวเองมากพอ แต่ในเมื่อเลือกที่จะเป็นศัตรูกับฉันแล้ว ฉันเกรงว่าแกคงหมดอนาคตแล้วล่ะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมชุดเกราะสีดำตัวนั้นหัวเราะลั่นก่อนจะเงื้อฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียน
พลั่ก!
ฝ่ามือนั้นปล่อยพลังรุนแรงราวกับถูกส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่พื้นที่โดยรอบก็ยังสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับพละกำลังนั้น