Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1720
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1720
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1720 เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง
ของล้ำค่าชิ้นนั้นดูเหมือนกับเข็มทิศหยก ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นกระดองเต่าหยก ทันทีที่มันเชื่อมต่อกับเส้นด้ายบางๆที่ผูกมัดไว้ ทั้งกลุ่มก็รู้สึกถึงอาการชาไปทั่วทั้งร่างกาย ต่อมาพลังปราณก็เริ่มพวยพุ่งออกจากเส้นด้ายนั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“มันไม่ได้ตั้งใจจะสังหารตัวประกันหรือ?”
ความคิดเบื้องต้นของจางเซวียนก็คือใช้พันธนาการถ่วงวิญญาณเพื่อตอบโต้และสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่กลับตรงกันข้ามกับความคาดหมายของเขา เพราะแทนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะสังหารตัวประกันมนุษย์ที่พวกมันจับตัวมาเพื่อใช้เป็นบรรณาการต่อเทพเจ้า พวกมันกลับสูบพลังปราณของคนเหล่านั้นแทน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวในตอนนี้ พูดตามตรง จางเซวียนก็อยากเห็นว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ
ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีอันตรายใด จางเซวียนจึงแสร้งแสดงทีท่าเหมือนกับว่าตัวเขาถูกควบคุมเช่นกัน และปล่อยให้พลังปราณไหลเวียนไปตามพันธนาการถ่วงวิญญาณเหมือนกับตัวประกันคนอื่นๆ
ไม่ช้า กระแสพลังปราณก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปวงกลม
วิ้ง!
เกิดแสงสว่างเป็นประกายจากพันธนาการถ่วงวิญญาณ หลอมรวมเข้ากับอักษรจารึกที่อยู่บนพื้น
ลำแสงที่อยู่เหนือแท่นบูชาขยายขนาดขึ้นอีกหลายเท่าในทันที เมื่อผนวกเข้ากับพลังงานจากเหล่าตัวประกัน มันก็พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ได้ไกลกว่าเดิม
ซู่!
ด้วยการโจมตีอย่างหนักหน่วงจากลำแสง เกิดเสียงน้ำไหลจากฉนวนที่อยู่ด้านบน แต่ฉนวนก็ยังไม่ยอมเปิด
เมื่อเห็นภาพนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหรี่ตา มันสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำกระบี่ออกมาและโบกมือเบาๆ
เลือดสดๆไหลออกจากฝ่ามือของมันและหยดลงบนแท่นบูชา
ทันใดนั้น ลำแสงก็สว่างเจิดจ้ากว่าเดิม
“ทายาทเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ, เป่ยหง, ขอมอบเลือดของเขาเพื่อเป็นบรรณาการต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ขอวิงวอนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้โปรดมอบพละกำลังให้พวกเรา เพื่อให้เราสามารถทำลายปราการแห่งมิติได้ด้วยเถอะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพูดด้วยสำเนียงดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ลำแสงที่อยู่เหนือแท่นบูชาเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นประตูบานใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า
ประตูบานนี้แผ่รังสีคุกคามอย่างเหลือเชื่อออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต่อให้ใครสักคนที่มีความเก่งกาจระดับจางเซวียน ก็ยังไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ารังสีนี้
มันกำลังร้องเรียกเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือ? จางเซวียนหรี่ตา
ราชาใบไม้ท้องฟ้าเคยใช้ความสามารถนี้มาก่อน ซึ่งตอนนั้นระดับวรยุทธของจางเซวียนยังอ่อนด้อย แต่ในตอนนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะจนปัญญา ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเจตจำนงที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู
แอ๊ด!
ประตูบานนั้นเปิดออกช้าๆ เงารางเลือนร่างหนึ่งปรากฏ
การปรากฏตัวของเงานั้นนำมาซึ่งแรงกดดันหนักหน่วงที่พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณของเขา แม้จางเซวียนจะมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณถึง 29.9 แต่ก็ยังอดรู้สึกแย่ไม่ได้เมื่อตกอยู่ในสภาวะนั้น
ในเมื่อแม้แต่เงายังทรงพลังพอที่จะสร้างความรู้สึกนั้นให้เกิดขึ้น หากร่างนั้นปรากฏจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าจิตวิญญาณของทุกคนคงถูกทำลาย และอาจตายในทันทีก่อนจะทันได้มอบบรรณาการใดๆ
ช่างน่าทึ่งเสียจริง…จางเซวียนตัวแข็งและใบหน้าซีดเผือด
เขาเคยปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณตัวนี้แข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณมาก อันที่จริง ยังน่าสงสัยอยู่ว่าแม้แต่ไอ้โหดก็จะเอาชนะมันได้หรือเปล่า!
ดูเหมือนว่าหากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเดินทะลุบานประตูมา ทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปก็คงต้องแหลกสลายเพราะแรงกดดันมหาศาลที่มันแผ่เข้าใส่
แต่ทำไมเงาของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจึงดูคุ้นตาเหลือเกิน?
แม้จะยังคงอัศจรรย์ใจกับพละกำลังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ความรู้สึกคุ้นเคยก็เกิดขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน
เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในพระราชวังชิวอู๋ ตอนที่ได้พบกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่ราชาใบไม้ท้องฟ้าเรียกมา ก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยนี้ หากจะให้บรรยาย ก็เป็นอะไรสักอย่างที่คล้ายกับเดจาวู ราวกับว่าเขาเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนในที่ไหนสักแห่ง
และตอนนี้ ความรู้สึกแบบเดิมก็กลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เขาจะสลัดมันไม่หลุด ยังดูเหมือนจะแจ่มชัดและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆด้วย
แต่เมื่อจางเซวียนพยายามจะจับความรู้สึกนั้นให้ได้ ก็พบว่าความทรงจำของตัวเองรางเลือนและสติสัมปชัญญะเริ่มถดถอย ทำให้หัวสมองไม่แล่น ดูเหมือนกับว่าพลังมหาศาลนั้นจงใจปิดกั้นเขาไว้ไม่ให้คิดอะไรได้ลึกซึ้งไปกว่านี้
หากมันเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าที่จางเซวียนจะทำอะไรได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียเวลากับมัน ดังนั้น จางเซวียนจึงสลัดความคิดวกวนออกไปและหันมาสนใจกับเงาที่อยู่ด้านบน
เมื่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณปรากฏตัว กระแสพลังปราณก็ถูกแผดเผาเร็วขึ้น เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน ใบหน้าของทุกคนก็ซีดเผือด
“ผมขอวิงวอนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ช่วยมอบเส้นทางที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อให้พวกเราด้วย…” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำซึ่งมีชื่อว่าเป่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ขณะปล่อยให้เลือดหยดลงสู่แท่นบูชาต่อไป
เพราะเสียเลือดมาก ร่างของมันจึงสั่นสะท้านไม่หยุด ดูราวกับว่ามันใกล้จะหมดความอดทนเร็วๆนี้
บึ้มมมมม!
หลังจากพูดประโยคนั้นจบได้ไม่นาน ลำแสงก็ระเบิดทะลุบานประตู และฉนวนแห่งมิติที่แท่นบูชาไม่อาจทำลายได้ก็เริ่มละลาย ราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาวที่ถูกแสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ผลิสาดเข้าใส่
ไม่ช้า เส้นทางหนึ่งก็ปรากฏ
เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณตอบรับคำขอของเป่ยหงแล้ว!
“ขอบคุณมาก เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!” เป่ยหงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม
จากนั้น ร่างนั้นก็หายวับไป แล้วบานประตูก็ค่อยๆสลายตัว เป่ยหงลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่โดยรอบ “เส้นทางนี้จะคงอยู่เพียง 30 อึดใจเท่านั้น รีบเคลื่อนกำลังโดยเร็ว!”
“ท่านแม่ทัพ มนุษย์พวกนี้เห็นพวกเรามอบบรรณาการแก่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณแล้ว พวกเราควรจะ…”
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งเสนอให้สังหารตัวประกันเสีย
“อำมาตย์เฉินหย่งสั่งไว้ว่าตอนนี้ว่ายังไม่ให้ทำร้ายปรมาจารย์คนไหน และพลังปราณของพวกเขาก็ถูกดูดออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นคงทำอะไรไม่ได้มาก อย่าทำให้ทุกอย่างยุ่งยากโดยไม่จำเป็น รีบออกจากพื้นที่นี้เถอะ!” เป่ยหงคำรามขณะพุ่งเข้าใส่ฉนวนแห่งมิติที่กำลังเปิด
“แกคิดจะไปไหนน่ะ?”
เห็นเป่ยหงกำลังจะออกจากพื้นที่ แล้วจางเซวียนจะปล่อยอีกฝ่ายให้ทำตามอำเภอใจได้อย่างไร? เขาเลิกกดข่มวรยุทธ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เป่ยหงและคว้าตัวอีกฝ่าย
ฟึ่บ!
ทั้งคู่อยู่ห่างกันเกือบ 100 เมตร แต่การเคลื่อนไหวของจางเซวียนไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยข้อจำกัดของมิติ มือของเขาคว้าข้อเท้าของเป่ยหงไว้ ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่ถนัด
“แก…แกซ่อนวรยุทธของแกไว้หรือ?” เป่ยหงนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขณะที่ถูกทุ่มลงกับพื้น
ความแข็งแกร่งของมือที่ยึดข้อเท้าของมันไว้นั้นทรงพลังยิ่งกว่าตัวมันเสียอีก เป่ยหงรีบชักกระบี่ออกมาเพื่อเล่นงานมือนั้น
แม้เป่ยหงจะมีพละกำลังมาก แต่ก็ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงเต็มพิกัด เพราะคิดว่าชายหนุ่มคงจะดึงมือออก แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ มือของชายหนุ่มคว้าขาของมันไว้แน่น สีหน้าของเป่ยหงเคร่งเครียดขณะรวบรวมพละกำลัง
เคร้งงงง!
กระบี่ปะทะกับดาบของชายหนุ่ม ทำให้เกิดประกายไฟ แต่แล้วกระบี่ก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆบนมือของชายหนุ่ม
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” เป่ยหงหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ
กระบี่ของมันเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติเลย เพียงแค่การฟาดฟันครั้งเดียวก็เกินพอจะกุดหัวนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แต่กระบี่เล่มนี้ก็ไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับชายหนุ่มได้ แปลว่าอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
“ฆ่ามัน!”
ในตอนนั้น เป่ยหงรู้ทันทีว่ามันกำลังเสียเปรียบ รู้ดีว่าไม่อาจเล่นงานชายหนุ่มได้ด้วยกระบี่ จึงหันมามองพันธนาการถ่วงวิญญาณ
เป่ยหงยังทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนไม่ได้ แต่ก็สามารถสั่งการให้มันทำตามคำสั่ง เมื่อมีของล้ำค่าชิ้นนี้อยู่ในครอบครอง มันก็จะไม่หวาดกลัวชายหนุ่ม ต่อให้การป้องกันตัวของอีกฝ่ายจะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม
เป่ยหงสั่งการพันธนาการถ่วงวิญญาณผ่านทางกระแสจิต แต่หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันรีบหันไปมองพันธนาการถ่วงวิญญาณ แต่แล้วก็เห็นว่าของล้ำค่านอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่าย
“แก…ทำให้ของล้ำค่าของฉันยอมจำนนได้แล้วหรือ?”
ในตอนนั้น เป่ยหงรู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิด
เพื่อเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ อำมาตย์เฉินหย่งได้มอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้มันใช้ แม้แต่ตัวมันยังไม่อาจทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนได้ แล้วทำไมมันถึงยอมจำนนให้กับชายหนุ่มภายในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้?
“ฮึ่มมม!”
ชายหนุ่มแตะพันธนาการถ่วงวิญญาณอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำราม
ฟิ้วววว!
พันธนาการถ่วงวิญญาณพุ่งเข้าใส่และร้อยรัดร่างของเป่ยหงไว้ราวกับเขาเป็นก้อนแป้ง
ในเมื่อชายหนุ่มทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนได้ เป่ยหงรู้ทันทีว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถรับมือกับอีกฝ่ายต่อให้ผนึกกำลังกัน จึงรีบหันไปหาบริวารและตวาดอย่างร้อนรน “ทุกคน รีบหนี!”
แต่ทันทีที่เสียงตะโกนนั้นหลุดออกจากปาก ก็พลันรู้สึกได้ว่าอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกถึง 5 ตัวปรากฏตัวขึ้นในทุ่งน้ำแข็งนั้นและสังหารบริวารของมันจนหมด ไม่เหลือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีชีวิตรอดแม้แต่ตัวเดียว
“แก…พลั่ก!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นการกระทำของชายหนุ่ม เป่ยหงทนไม่ไหว ถึงกับกระอักเลือดออกมากองใหญ่
“สกัดกั้น!”
รู้ดีว่าคงไม่อาจเรียกข้อมูลอะไรจากเป่ยหงได้ จางเซวียนสะบัดข้อมือและโยนร่างของอีกฝ่ายเข้าไปในรังนางพญามด หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็เก็บแท่นบูชาและคริสตัลเยือกแข็งที่อยู่เหนือแท่นเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติด้วย
จากนั้นจางเซวียนก็หันไปมองทั้งกลุ่มที่เหลือและสั่งการ “อาณาเขตรอบนอกวิหารแห่งขงจื๊อนั้นอันตรายเกินไป จะปลอดภัยกว่าถ้าพวกคุณจะอยู่ที่นี่!”
เมื่อพูดจบ เขาก็กระโจนพรวดและมุ่งหน้าสู่ทางเดินแห่งมิติ