Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1759
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1759
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1759 นายใหญ่สีขาว
“เอาล่ะ ผมจะฟังสิ่งที่คุณพูด แต่เคลียร์กันให้ชัดเจนก่อนนะ พวกเราเหล่าอสูรต้องการโควต้าอย่างน้อย 2 ที่ ถ้าคุณทำตามความต้องการของพวกเราไม่ได้ล่ะก็ วางใจได้เลยว่าเราจะทำลายทุกอย่างที่นี่ให้ราบคาบ!” อสูรที่เป็นที่รู้จักในชื่อนายใหญ่สีขาวคำราม
ร่างของอสูรตัวนั้นคือสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่มีความยาวราว 10 เมตร แม้ยังไม่ได้สำแดงพละกำลังออกมา ร่างกายของมันก็น่ายำเกรงพอที่จะทำให้ใครๆพากันตัวสั่น
หากมันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาล่ะก็ ผู้คนกว่าครึ่งที่อยู่ในจัตุรัสนี้จะต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน
“กล้าขอโควต้า 2 ที่ตั้งแต่แรก คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองโลภมากไปหน่อยหรือ?” ชายวัยกลางคนที่ลอยตัวอยู่เหนือสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เยาะหยัน
“แล้วอย่างไรล่ะ?” นายใหญ่สีขาวหันขวับไปมองชายวัยกลางคนผู้นั้น รังสีโหดเหี้ยมระเบิดออกจากตัวมัน ทำให้จิตวิญญาณของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
เพียงเท่านั้นก็มองออกแล้วว่ามันมีทักษะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการโจมตีจิตวิญญาณ
“ก็ลองดูสิ! มาดูกันว่าดาบของผมจะเห็นด้วยหรือเปล่า! ถ้าผมจำไม่ผิด บรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลจางของเรา, จางหยู่ เอาชนะนักปราชญ์โบราณ 9 ตัวของพวกคุณได้โดยลำพังจากการใช้ดาบของเขาตั้งแต่เมื่อสองหมื่นปีก่อน” ชายวัยกลางคนคำราม “มาดูกันว่าวันนี้ผมจะทำอย่างที่เขาเคยทำได้หรือไม่!”
“ตระกูลจาง? แปลว่าเขาคือนักปราชญ์โบราณของตระกูลจางของเราหรือ” จางเซวียนเลิกคิ้ว
แม้ก่อนหน้านี้ นักปราชญ์โบราณของตระกูลจางจะได้ช่วยเหลือเขาเมื่อตอนที่อยู่ด้านนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายใกล้ๆ เขารู้ว่านักปราชญ์โบราณของตระกูลจางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปคิดว่าจะถึงขนาดกล้าต่อกรกับนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์อสูร!
เมื่อพิศดูชายวัยกลางคนอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีเขียว คิ้วของเขาโก่งขึ้นราวกับคมเคียว นอกจากดาบเล่มหนึ่งที่แขวนไว้ที่เอว ก็ไม่มีเครื่องประดับกายใดๆอีก ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูธรรมดาสามัญ แต่ก็ครอบครองพละกำลังสูงส่งชนิดที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง
“เขาคือนักปราชญ์โบราณคนสุดท้ายของตระกูลจาง, จางหงเทียน! ชายผู้ปราดเปรื่องมาก สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นผู้รักอิสระและความชอบธรรม เขารังเกียจเดียดฉันท์ภูตผีปีศาจถึงขนาดที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมต่างๆโดยไม่ลังเล เขายังอายุน้อยอยู่ตอนที่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเริ่มเลือนหายไปจากโลก อันที่จริง จางหงเทียนควรจะได้ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลมากนัก แต่เขาก็เลือกจะเข้าสู่ภาวะจำศีล เพื่อจะได้ปกป้องมนุษย์ได้นานเท่าทานตราบที่เขาจะทำได้…” ปรมาจารย์หยางส่งโทรจิตหาจางเซวียนเพื่ออธิบายภูมิหลังของนักปราชญ์โบราณของตระกูลจาง
มีเรื่องเล่าขานกันว่าจางหงเทียนผู้นี้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จตั้งแต่อายุ 500 ปีต้นๆเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นช่วงอายุที่นักรบส่วนใหญ่ในหมู่ชนชั้นนำเพิ่งจะเริ่มลงหลักปักฐานและสร้างครอบครัวของตัวเอง รื่นรมย์กับการใช้ชีวิต แต่เขาเลือกที่จะอำลาบุคคลที่เขารักโดยไม่ลังเลและเข้าสู่สภาวะจำศีล
การตัดสินใจแบบนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่อง
“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจางหงเทียนจะเยาะหยันมันขนาดนั้น นายใหญ่สีขาวหันศีรษะสุนัขจิ้งจอกกลับมาและคำราม “ผมยอมรับว่าศิลปะเพลงดาบของคุณนั้นน่าทึ่ง แต่หากคุณคิดจะฆ่าผมล่ะก็ ไม่ง่ายหรอก และถ้าคุณฆ่าผมไม่สำเร็จ แน่ใจได้เลยว่าผมจะต้องตามล่าสมาชิกทุกคนในตระกูลจางของคุณ อยากเห็นนักว่าคุณจะปกป้องเหล่าทายาทของคุณไว้ได้สักกี่คนกัน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ด้วยความยินดี! ถ้าผมจำไม่ผิด มีอยู่ 2-3 พื้นที่ที่มีสุนัขจิ้งจอกสีขาวพำนักอยู่ และคุณก็มีทายาทอยู่จำนวนหนึ่งด้วย กล้าแตะต้องทายาทตระกูลจางของผมเพียงคนเดียว, ผมจะสังหารทายาทสุนัขจิ้งจอกของคุณ 10 ตัว แตะต้องทายาทตระกูลจางของผม 10 คน, ผมจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกคุณ!” จางหงเทียนคำรามพร้อมกับยืดตัวตรง
“คุณมันบ้าไปแล้ว! กล้าดีอย่างไร…” นายใหญ่สีขาวคำรามลั่นพร้อมกับกัดฟันกรอด
“ก็ลองดูสิ! ผม, จางหงเทียน ไม่เคยหวาดกลัวอะไรทั้งนั้นนับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ คุณก็ลองขอโควต้า 2 ที่นั้นดู!” จางหงเทียนคำรามลั่นขณะหันกลับไปมองนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“ฮึ่มมม!” นักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้คำรามเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ
“นั่นน่าจะเป็นตาเฒ่าหยู…” จางเซวียนจดจำอีกฝ่ายได้อย่างเลือนรางจากเสียงคำรามนั้น
เขารู้สึกว่าเสียงของตาเฒ่าหยูฟังดูคุ้นหูตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเจรจากับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจางหงเทียน ก็จับต้นชนปลายได้สำเร็จ นั่นคือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณซึ่งเขาได้เผชิญหน้าด้วยที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่!
“ก็จริงที่ว่าไม่มีอะไรที่คุณไม่กล้าทำ ผมยังจำได้ว่าทายาทกลุ่มใหญ่ของนายใหญ่สีขาวถูกทายาทตระกูลจางของคุณทำให้ยอมจำนนที่โดมแอปริคอตตั้งแต่เมื่อครู่ก่อนใช่ไหม?” ตาเฒ่าหยูคำรามเสียงเย็น
“ทำให้ยอมจำนน? คุณว่าอะไรนะ?” นายใหญ่สีขาวถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามก้องอย่างดุเดือด
เห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้เรื่องนี้
“ถ้าคุณไม่เชื่อผม ก็ไปดูเอง เหล่าทายาทที่คุณส่งพวกเขาเข้าสู่โดมแอปริคอตน่ะยังอยู่กับคุณหรือเปล่า คุณยังติดต่อกับพวกเขาได้ไหม?” ตาเฒ่าหยูตอบเสียงเรียบขณะชำเลืองมองจางเซวียนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ครั้งล่าสุดที่หมอนี่ล่อลวงเขา เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเมื่อมีโอกาสเอาคืน ก็แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้พลาด
นายใหญ่สีขาวจ้องหน้าตาเฒ่าหยูก่อนจะหันกลับไปสั่งการอสูรที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลัง ครู่ต่อมา อสูรตัวนั้นก็เข้ามากระซิบบางอย่างใส่หู ใบหน้าของนายใหญ่สีขาวขึ้งเครียดขึ้นมาทันทีขณะที่หันขวับมามองทางทิศที่จางเซวียนยืนอยู่
นัยน์ตาของมันลุกโพลงราวกับภูเขาไฟที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มอดไหม้
“มันเรื่องอะไรเราถึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องล่ะนี่?” จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก
เขาเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติต๊อกต๋อยคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่นักปราชญ์โบราณ แล้วพวกนั้นดึงเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งนี้ทำไม?
เมื่อรู้สึกได้ถึงเจตนาเหี้ยมโหดในดวงตาของนายใหญ่สีขาว จางหงเทียนพลันนึกได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถาม “คุณทำให้เหล่าทายาทของมันยอมจำนนได้สำเร็จใช่ไหม?”
เหล่าอสูรที่จางเซวียนทำให้ยอมจำนนได้สำเร็จที่ด้านนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก และไม่ใช่ทายาทของนายใหญ่สีขาวด้วย แต่สำหรับเหล่าอสูรที่เข้าสู่โดมแอปริคอตนั้นแตกต่างออกไป
ผู้ที่ได้สำรวจวิหารแห่งขงจื๊อมาก่อนจะเข้าใจดีถึงความสำคัญของโดมแอปริคอต ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าไปในนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดผู้มีความปราดเปรื่องเป็นเลิศจากแต่ละกลุ่มอำนาจ หรือว่าเหล่าทายาทของเขาจะถูกทำให้ยอมจำนนได้ทั้งที่มีความปราดเปรื่องระดับนั้น?
“พวกนั้นเป็นทายาทของมันหรือ? ผมไม่รู้เลย…ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมเข้าสู่โดมแอปริคอต มีอสูรกลุ่มหนึ่งถูกดงต้นแอปริคอตซ้อม พวกมันร่อแร่เต็มที ผมจึงรีบเข้าไปช่วย ด้วยความสำนึกในบุญคุณ ลงท้ายพวกมันจึงยอมจำนนให้ผม…แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีสุนัขจิ้งจอกสีขาวอยู่ในอสูรกลุ่มนั้นด้วย” จางเซวียนพูด
ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการยอมจำนนของอสูรกลุ่มนั้นก็คือกรรมวิธีการฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วมของจางเซวียน แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูดเรื่องแบบนี้
“พวกมันยอมจำนนให้คุณเพราะความสำนึกในบุญคุณหรือ?” จางหงเทียนอดใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า! ทำได้ดีมาก!”
ในฐานะนักปราชญ์โบราณ เขารู้ทันทีว่าจางเซวียนไม่ได้พูดความจริง แต่เหตุผลที่หัวเราะลั่นก็เพราะนึกได้ว่าเมื่อครู่ก่อนนายใหญ่สีขาวหยิ่งผยองขนาดไหน แต่แล้วก็ต้องมาพบว่าทายาทของมันถูกใครคนหนึ่งทำให้ยอมจำนน
ช่างเป็นช่วงเวลาของการตบหน้าเอาคืนที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำไหนมาบรรยายความสะใจของเขาได้!
จางหงเทียนพูดไปหัวเราะไป “นายใหญ่สีขาว ในเมื่อเหล่าทายาทของคุณยอมจำนนให้กับทายาทของผมแล้ว ทำไมไม่ให้ผมให้โอกาสคุณที่จะยอมจำนนบ้างล่ะ? ขอแค่คุณยอมเป็นอสูรของผม ผมจะยิ่งกว่าเต็มใจที่จะมอบโควต้าให้คุณ 2 ที่!”
“คุณรนหาที่ตายแล้ว!” ได้ยินคำพูดเย้ยหยันเหล่านั้น นายใหญ่สีขาวอดรนทนไม่ไหว มันคำรามกร้าวและกระโจนเข้าใส่ พร้อมจะฉีกจางหงเทียนให้แหลกเป็นชิ้นๆ
กรงเล็บสีดำสนิทฉีกกระชากมิติ ก่อให้เกิดรอยแยกของมิติหลายรอย
ชัดเจนว่านายใหญ่สีขาวมีพละกำลังมากแม้แต่ในหมู่นักปราชญ์โบราณด้วยกัน
“ผมอาจรนหาที่ตาย แต่ในนรกน่ะ ไม่มีทางที่ผมจะยอมตายด้วยน้ำมือของคุณหรอก…”จางหงเทียนไม่แยแสความโกรธเกรี้ยวของนายใหญ่สีขาว เขาหัวเราะหึๆ จากนั้นก็ชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่
ฟิ้ววววว!
ดาบปะทะกับกรงเล็บของนายใหญ่สีขาว เกิดเสียงหวีดหวิว
บึ้มมมม!
มิติขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบถูกฉีกกระชากเพราะแรงปะทะนั้น นายใหญ่สีขาวถูกบีบให้ถอยไปก้าวหนึ่ง แต่มันก็ตั้งหลักได้ทันและพุ่งเข้าใส่เพื่อโจมตีซ้ำ
ในตอนนั้นเอง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ก้าวเข้าขวางทั้งคู่ ด้วยการโบกมือ เขาสร้างปราการที่เหมือนกับผืนผ้าซึ่งกันไม่ให้ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันได้
“พอที เรื่องด่วนตอนนี้คือการเข้าสู่หอลำดับแรก ไม่ใช่การสู้กัน ถ้าคุณทั้งสองอยากจะฟาดฟันกันมากนักล่ะก็ เมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว ผมจะไม่ยับยั้งพวกคุณเลย แต่ตอนนี้คงต้องขอให้พวกคุณถอยกันคนละก้าว” นักปราชญ์เหยียนชิงพูดอย่างสุขุม