Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1798
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1798
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1798 เรื่องเล่าของหลิวหยาง
รู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจนายน้อยของเขาไม่ได้ หวู่เฉินแนะนำอย่างเป็นห่วง “นายน้อย คุณต้องระวังตัวนะ!”
ถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้ เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงทำลายทั้งเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณจนราบเป็นหน้ากลองด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว!
คนอื่นๆอาจไม่รู้ซึ้งถึงพละกำลังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่หวู่เฉินรู้ดีว่าเธอมีอานุภาพทำลายล้างขนาดไหนหากเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา แม้แต่ครั้งแรกที่เธอเหยียบย่ำลงไปบนทวีปแห่งปรมาจารย์ มิติทั้งมิติก็แทบจะแตกสลายเพราะรังสีอันทรงพลังของเธอ ถ้าเธอเกิดความเคืองแค้นทวีปแห่งปรมาจารย์ขึ้นมาล่ะก็ คงไม่มีใครยับยั้งเธอได้
“วางใจเถอะ!” รู้ดีว่าหวู่เฉินกังวลเรื่องอะไร จางเซวียนโบกมือ“ผมจะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก และไม่เข้าเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ระหว่างนี้ พวกคุณก็พยายามชักชวนนักปราชญ์โบราณให้มาเป็นพรรคพวกของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน ผมจะรอดูผลการเสาะแสวงหาของพวกคุณนะ!”
เพื่อตามหาทะเลสาบเลือด คงจะง่ายกว่าหากเขาจะซ่อนตัวเพียงคนเดียว ด้วยอานุภาพอันน่าทึ่งของเครื่องรางแห่งการปลอมตัวประกอบกับไอ้โหดและกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ต่อให้เขาถูกจับได้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การจะหลบหนีก็คงไม่ยากเกินไป
เมื่อลงความเห็นเรื่องกระบวนการขั้นต่อไปแล้ว ทั้งสามก็แยกเป็นสองกลุ่มและจากไปคนละทาง
จางเซวียนกลับสู่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และพบตัวหลิวหยางอย่างรวดเร็ว
เพราะหลิวหยางถูกนำตัวมาที่นี่โดยอำมาตย์เฉินหย่ง สถานภาพและตำแหน่งของเขาในเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงออกจะคลุมเครือมากเหตุผลเดียวที่สองอำมาตย์ยังไม่เล่นงานเขาก็เพราะเขาเป็นบุคคลที่น่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจรุ่นเยาว์ในเวลานี้
หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงและความโด่งดังที่ได้รับ หลิวหยางคงเสียชีวิตไปนานแล้ว
ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องเงียบๆห้องหนึ่ง จางเซวียนสร้างปราการขึ้นปิดกั้นโลกภายนอกและตั้งคำถามกับหลิวหยาง “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณออกจากจักรวรรดิฉิงหย่วน?”
หลังจากที่ลูกศิษย์ของเขาแยกจากเขาเมื่อครั้งอยู่ที่จักรวรรดิฉิงหย่วน อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทันที จางเซวียนนึกเป็นห่วงอยู่หลายครั้งว่าหลิวหยางจะตกอยู่ในอันตรายหรือติดกับอยู่ในดินแดนทุรกันดาร แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะได้เข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและได้เป็นถึงผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง
ภายใต้การชี้แนะเป็นส่วนตัวจากฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 หลิวหยางพัฒนาวรยุทธได้ทัดเทียมกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเช่นกัน
หลิวหยางยังไม่ตอบคำถามของท่านอาจารย์ เขากลับทรุดตัวลงกับพื้นและโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์ ผมทำให้คุณวิตกกังวลที่จากไปโดยไม่ร่ำลา ผมสมควรตาย!”
ท่านอาจารย์ของเขาทำอะไรให้เขามากมาย ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด แต่ในฐานะลูกศิษย์ เขากลับหลบหนีไปเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิง
“แค่เห็นคุณสบายดีก็ดีแล้ว” จางเซวียนพูดขณะรีบเข้าไปพยุงหลิวหยางให้ลุกขึ้น
แม้สิ่งที่หลิวหยางตัดสินใจทำลงไปจะถือเป็นความผิด แต่จางเซวียนก็พอเข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์ของเขา
เจิ้งหยางได้เป็นทายาทยอดขุนพลและมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า จ้าวหย่าเป็นหัวหน้าน้อยของศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งและอยู่บนเส้นทางที่จะได้ก้าวไปเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ส่วนหวังหยิ่ง หยวนเทา เว่ยหรูเหยียนและลู่ชงก็กำลังเจริญเติบโตเช่นกัน ทุกคนล้วนแต่ค้นพบเส้นทางของตัวเอง
ในทางตรงกันข้าม หลิวหยางกลับถูกสภาปรมาจารย์เล่นงาน แรงกดดันที่เขาต้องเผชิญในครั้งนั้นถือว่าหนักหน่วงมาก
“ท่านอาจารย์ ขอบคุณที่เมตตา!” หลิวหยางโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าจางเซวียนไม่คิดจะตำหนิ แต่ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น
เขาตั้งต้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหนีไป
“ตอนที่ผมออกจากเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิฉิงหย่วน ผมรู้สึกว่าผมไม่มีดีอะไรสักอย่างเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ผมไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง อนาคตก็มืดมน ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจใยดีนั้น ผมบังเอิญพบอสูรทรงพลังตัวหนึ่งและเกือบถูกฆ่าตาย ขณะที่กำลังจนมุม ผมขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ผมในรูปแบบที่กลับด้านโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ลงท้าย ก็กลับกลายเป็นว่าผมปลดปล่อยบางอย่างที่เหมือนกับปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นออกมา!”
“คุณขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธกลับด้าน?” จางเซวียนถึงกับผงะ
“ใช่!” หลิวหยางพยักหน้าขณะตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณของเขา
เป็นอย่างที่คาดไว้ จางเซวียนรู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเขา มันเป็นรังสีแบบเดียวกันกับฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจ
ในแง่ของความเข้มข้น น่าตกใจทีเดียวที่มันเทียบได้แม้แต่กับตัวอำมาตย์เฉินหย่งเอง
จางเซวียนตาโต เป็นไปได้ด้วยหรือที่เคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายจะมีประสิทธิภาพขนาดนี้?
ที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าการเลียนแบบปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นความสามารถพิเศษของพลังปราณเทียบฟ้า ใครจะไปคิดว่าการทวนวงจรของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจะสามารถสำแดงอานุภาพแบบเดียวกันออกมาได้?
แน่นอนว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหลิวหยาง เพราะอย่างน้อยที่สุด เจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยสำแดงอะไรแบบนี้ได้
“ด้วยการทวนกระแสพลังปราณของผม สุดท้ายผมก็สังหารอสูรตัวนั้นได้สำเร็จ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ความเข้มข้นของเจตนาสังหารของผมเตะตาอำมาตย์เฉินหย่ง เขามองเห็นความสามารถและความปราดเปรื่องที่ผมมี และอยากถ่ายทอดมรดกของเขาให้ผม!” หลิวหยางเข้าสู่เส้นทางของความทรงจำขณะทบทวนสิ่งที่ได้พบมา
“ผมรู้ดีว่าความปรารถนาของคุณคือการกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมจึงคิดว่าหากผมแทรกซึมเข้าไปในหมู่พวกมันได้ ก็อาจได้มีส่วนช่วยเหลือคุณ ผมจึงตกลงปลงใจยอมเป็นผู้สืบทอดของเขา…”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนขมวดคิ้ว
เทคนิควรยุทธที่หลิวหยางฝึกฝนคือเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย มันได้ยกระดับสภาวะร่างกายและความสามารถของเขาจนถึงขั้นที่ศักยภาพของหลิวหยางไม่แพ้ใครทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์
ถือเป็นโชคดีที่หลิวหยางสามารถทวนกระแสเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและแปรสภาพมันให้เป็นปราณสังหารได้ จนได้รับความชื่นชมจากอำมาตย์เฉินหย่ง ว่าแต่…ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?
สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดที่ได้มาพบกับ ‘เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ปราดเปรื่อง’ โดยบังเอิญในทวีปแห่งปรมาจารย์ ออกจะน่าสงสัยไปสักหน่อยไหม?
ลั่วชิงกับเราแยกจากกันที่จักรวรรดิฉิงหย่วน ซึ่งลั่วชิงเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และอำมาตย์เฉินหย่งคือบริวารของเธอ…หรือว่าสิ่งนี้เป็นฝีมือของลั่วชิง?
จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบตั้งคำถาม “คุณได้พบหลัวลั่วชิงบ้างหรือเปล่าระหว่างที่ติดตามอำมาตย์เฉินหย่ง? ผมหมายถึงอาจารย์หลัวจากสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน”
หลิวหยาง หวังหยิ่งและคนอื่นๆเคยพบหลัวลั่วชิงเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นอาจารย์ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน
หากทั้งคู่เคยพบกัน หลิวหยางก็น่าจะจำได้
“ผมไม่เคยพบอาจารย์หลัวอีกเลยตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิฉิงหย่วน”
หลิวหยางส่ายหน้า
จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น
หรือว่าเขาจะเดาผิด?
ถ้าลั่วชิงไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ความโชคดีของหลิวหยางที่ได้พบอำมาตย์เฉินหย่งนั้นออกจะพิสดารไปสักหน่อยไหม?
“ถ้าอย่างนั้น…คุณเคยได้ยินเรื่องของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณบ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนรุกต่อ
“ท่านอาจารย์ คุณหมายถึงเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นใช่ไหม? คนที่นี่น่ะ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” หลิวหยางตอบ
“เธอคือผู้ชี้ชะตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้แต่สามอำมาตย์ก็ไม่กล้าสบประมาทเธอ อำมาตย์เฉินหย่งบอกผมว่าเขาได้พบผมเพราะการชี้นำของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ผมก็เคยได้ยินแค่เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น จึงไม่รู้อะไรมากนัก”
“การชี้นำของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้ม
ดูเหมือนเขาจะเดาถูก
หลัวลั่วชิงอยู่เบื้องหลังการที่หลิวหยางกลายเป็นผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่งจริงๆ
เขานึกขอบคุณเธอที่ช่วยชีวิตหลิวหยางไว้ แต่เธอก็น่าจะเคยพบหลิวหยางและรู้ว่าหลิวหยางเป็นมนุษย์ การที่เธอนำพาเขาเข้าสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ…เธอมีเจตนาอย่างไร?
จางเซวียนงุนงงขึ้นเรื่อยๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“หลังจากเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมก็รู้สึกตัวว่าสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วด้วยการซึมซับอำนาจของพระจันทร์สีเลือดและขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธของผมกลับด้าน อำมาตย์เฉินหย่งก็ดูแลผมอย่างดี ถึงกับจัดพิธีกรรมเพื่อยกระดับวรยุทธให้ผมด้วย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงก้าวข้ามด่านคอขวดของวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน และมีพละกำลังในระดับที่เป็นอยู่”
ตั้งแต่ต้น หลิวหยางได้รับการบ่มเพาะจากเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย ความปราดเปรื่องของเขาจึงเหนือชั้นกว่านักรบทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลัวลั่วชิงยังคอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ และฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ก็บ่มเพาะเขาเป็นการส่วนตัวด้วย คงยากเต็มทีที่หลิวหยางจะไม่แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้
“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพัฒนาตัวเองจนเหนือกว่านักรบรุ่นเดียวกัน และมีชื่อเสียงระดับหนึ่งในเมืองหลวง หลังจากนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็บอกผมว่าเขามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการ และต้องจากไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งจากนั้นไม่นาน อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงก็กลับมาที่เมืองหลวงและป่าวประกาศว่าอำมาตย์เฉินหย่งถูกสภาปรมาจารย์สังหารแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นก็ทำให้ผมหมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆภายในเมืองหลวง” หลิวหยางอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของเขา
ในเมื่อเขาถูกนำตัวมาที่นี่โดยอำมาตย์เฉินหย่งและได้เป็นผู้สืบทอดของอีกฝ่าย หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงและความระมัดระวังตัวของเขา เขาคงถูกสังหารไปนานแล้ว เหมือนกับบริวารคนอื่นๆของอำมาตย์เฉินหย่ง
อีกอย่าง ก็เป็นเพราะเขาไม่มีอำนาจที่ชัดเจน อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจึงไม่ได้มองเขาเป็นภัยคุกคาม หากเขามีกองกำลังทหารอยู่ในมือล่ะก็ ป่านนี้คงถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น หลิวหยางก็ยังต้องเคลื่อนไหวอย่างหวาดระแวงแทบไม่กล้าออกไปไหน เขากังวลว่าความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยก็อาจชักนำเขาเข้าสู่เงื้อมมือของศัตรูได้