Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1825
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1825
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1825 อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่ตาย?
ที่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ มีห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยฉนวนทุกชนิดที่ปิดกั้นพื้นที่นั้นจากโลกภายนอก สกัดกั้นการรับรู้จิตวิญญาณของทุกคนไม่ให้ผ่านเข้าไปได้
ปัง!
เกิดเสียงตบโต๊ะดังสนั่น ชายวัยกลางคนที่มีคิ้วเข้มลุกพรวดและตะโกน “ไอ้สารเลวนั่น! นี่ไม่ต่างอะไรกับการยึดอำนาจเลย!”
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่หนุ่มกว่าตัวหนึ่งกวาดสายตามองฝูงชนและตวาดก้อง “สามอำมาตย์ใหญ่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเคยเกื้อกูลกันเสมอมา แต่ไอ้สารเลวนั่นฝ่าฝืนกฎและร่วมมือกับมนุษย์เพื่อสังหารอำมาตย์เฉินหย่ง มันคือทรราชย์ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ! ในฐานะพลเมืองผู้มีศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ เราจะต้องผนึกกำลังกันเพื่อเอาชนะความไร้ยางอายครั้งนี้!”
ถ้าจางเซวียนอยู่ตรงนั้น ก็จะบอกได้ทันทีว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนี้คือลูกศิษย์ของเขาที่แทรกซึมเข้าไปในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…หลิวหยาง!
ในเวลานี้ เขาได้ตั้งกลุ่มก๊วนที่ชื่อว่า ‘นักรบประจัญบาน’ ขึ้นมาเพื่อต่อต้านอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง
ราว 1 เดือนก่อน อำมาตย์เฉินหลิงกลับสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งถูกผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ลอบโจมตีและสังหาร และเพราะพยายามช่วยชีวิตอีกฝ่าย ทั้งตัวเขาและอำมาตย์เฉินชิงจึงลงเอยด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ในเวลานั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณต่างเชื่อถือคำพูดของเขา แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อ นักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มเข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน ข่าวลือใหม่ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วอำมาตย์เฉินหลิงได้รวมหัวกันกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อกำจัดอำมาตย์เฉินหย่ง แล้วตัวเขาจะได้ยึดอำนาจ!
ตอนแรก ทุกคนคิดว่าข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วนั้นเป็นอุบายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่จะสร้างรอยร้าวในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เมื่ออำมาตย์เฉินหลิงเริ่มเข้ายึดครองกองกำลังของอำมาตย์เฉินหย่งและสังหารหมู่เหล่าแม่ทัพของอีกฝ่าย ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
และเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน ผู้สืบทอดคนสำคัญของอำมาตย์เฉินหย่งก็ได้เรียกพวกเขามารวมตัวกัน เพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกอย่างปะติดปะต่อเข้ากันอย่างลงตัว และความจริงที่ปรากฏก็ทำให้พวกเขาโมโหเดือด
ก็เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่สามอำมาตย์ที่ทำให้เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณสร้างความหวาดกลัวต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มาได้เนิ่นนานหลายปี แน่นอนว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้อยู่บนรากฐานของสมดุลแห่งอำนาจอันบอบบาง แต่มันก็เป็นฐานที่มั่นให้พวกเขามาหลายหมื่นปีแล้ว แต่จู่ๆ…1 ใน 3 อำมาตย์ก็ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อเล่นงานพรรคพวกของตัวเอง แม้จะเป็นในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่มีขื่อแป แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นการทรยศที่ให้อภัยไม่ได้!
“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเป็นนักรบผู้ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง อยู่ในระดับต้นๆ ของบรรดานักปราชญ์โบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้พวกเรารู้ความชั่วร้ายของพวกเขาแล้ว แต่ก็จะทำอะไรได้? พวกเราไม่มีทางตอบโต้ได้เลย!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งส่ายหน้าและพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
เขาเข้าใจความรู้สึกของทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ทั้งคู่ก็ยังคงเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก เป็นคู่ต่อสู้ที่แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งกลุ่มอย่างพวกเขาก็รับมือด้วยไม่ไหว
เหตุผลที่สถานภาพของสามอำมาตย์มั่นคงไม่คลอนแคลนตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งทางการเมืองและการสนับสนุนจากบรรดาสมัครพรรคพวกของเขาเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ เพราะพวกเขามีพละกำลังที่สามารถเอาชนะทุกๆการลุกฮือได้!
“ผมก็เข้าใจเรื่องนั้น แต่วางใจเถอะ ทุกอย่างยังไม่หมดหวัง ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าเขาจะต้องกลับมาเล่นงานพวกคนทรยศแน่ ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา แล้วจัดการควบคุมกลุ่มก๊วนต่างๆให้ได้เพื่อรักษาความมั่นคงเอาไว้ให้ได้เหมือนเดิม!” หลิวหยางพูด
“จริงด้วย เราอาจเข้าร่วมในสงครามระหว่างนักปราชญ์โบราณไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด การกระทำของพวกเราก็จะช่วยลดความสูญเสียของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้”
“ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องใช้ช่องโหว่ในการป้องกันตัวของพวกเรามาเล่นงานพวกเราแน่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณคงหมดไม่มีเหลือ!”
เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2-3 ตัวพยักหน้ารับ
ความขัดแย้งระหว่างสามอำมาตย์บานปลายใหญ่โตเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ยังสามารถรวบรวมกองกำลังและพลเมืองเพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นให้ มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเห็นว่าสามารถเอาชนะใจและได้รับการสนับสนุนแล้ว หลิวหยางถอนหายใจอย่างโล่งอก “ในเมื่อพวกเรามีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ผมก็จะถือว่าเราได้สร้างความเป็นพันธมิตรต่อกันแล้ว ในฐานะพันธมิตร เราต้องการผู้นำกลุ่มที่ไว้วางใจได้เพื่อประสานงานในทุกการเคลื่อนไหวของพวกเรา เพราะหากต่างคนต่างเคลื่อนไหว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็อาจเลวร้ายกว่าเดิม”
“ผมเห็นด้วย พวกเราต้องการผู้นำกลุ่มที่จะคอยนำพาพวกเราไป ในเมื่อพี่หยางเป็นผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่งและมีระดับวรยุทธสูงที่สุดในหมู่พวกเรา เขาก็ควรจะรับตำแหน่งผู้นำกลุ่ม!”
“คุณคือคนเดียวที่จะช่วยพวกเราตอบโต้และควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้”
…..
ฝูงชนพากันประสานมือ
นอกเหนือจากนักปราชญ์โบราณ ผู้ที่มีความสามารถในการโน้มน้าวและรวบรวมพวกเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ก็คือหลิวหยาง ถ้าไม่ใช่เพราะความโด่งดังของเขาในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ อำมาตย์เฉินหลิงคงสังหารเขาไปนานแล้ว แต่เป็นเพราะหลิวหยางเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกซึ่งยังพอควบคุมได้ และความตายของเขาอาจนำมาซึ่งปัญหา อำมาตย์เฉินหลิงจึงตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตเขา
แน่นอนว่าหลิวหยางคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม
“ในเมื่อทุกคนเสนอชื่อผม ผมก็จะขอน้อมรับตำแหน่งนี้ พูดก็พูดเถอะ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากบอก และผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะยึดถือมันเอาไว้” หลิวหยางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็กำหมัดทาบไว้ที่หัวใจและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคง “ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกอย่างก็เพื่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา!”
หลังจากเข้าสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หลิวหยางก็ไม่อาจใช้ชื่อเดิมของเขา เขาจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘หยางหลิว’ และเป็นพี่หยางที่ใครๆต่างพูดถึง
ในเมื่อเขาไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เพียงแค่สลับชื่อแซ่
สิ่งที่หลิวหยางทำตอนนี้คือรวบรวมทุกคนที่อยู่ในเครือข่ายของเขา และพยายามสร้างกองกำลัง ขึ้นมาต่อต้านอำมาตย์เฉินหลิงกับคนอื่นๆ มันคือภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้เขาก่อนจะเข้าสู่วังของอำมาตย์เฉินหลิง
“ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกอย่างก็เพื่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา!”
เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆต่างลุกขึ้นยืนและปฏิญาณอย่างมุ่งมั่น
สมกับเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับเลือกจากอำมาตย์เฉินหย่ง เขาคือบุคคลที่จะเป็นเสาหลักค้ำจุนเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้ในอนาคตอันใกล้!
“ในเมื่อเราทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันแล้ว ก็มาตกลงเรื่องภารกิจต่อไปกันเถอะ…” เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวใจทุกคนได้แล้ว หลิวหยางกำลังจะพูดถึงภารกิจต่อไปของกลุ่ม ก็พอดีกับที่ตัวเขาเงียบไปอย่างปุบปับ
หลิวหยางย่นหน้าผากและสะบัดข้อมือ
ฟึ่บ!
ตราหยกสื่อสารมาอยู่ในมือของเขา
แค่มองแวบเดียว หลิวหยางก็หรี่ตาอย่างดุร้าย
“พี่หยาง เกิดอะไรขึ้น?” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งถาม
หลิวหยางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเคร่งเครียด “อำมาตย์เฉินหลิงได้ยกแท่นบูชาที่ใจกลางเมืองหลวงขึ้นแล้ว และเขาก็ตระเวนจับกุมบรรดานักรบที่มีวรยุทธเหนือกว่าระดับเซียนขั้น 1 เพื่อมาเป็นเครื่องบูชายัญ ตามข่าวที่ผมได้รับมา มีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่าสามหมื่นคน…”
“สามหมื่นคน?”
“เจ้าสัตว์ร้ายนั่น…”
เมื่อได้ยินข่าว ฝูงชนอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาลุกพรวดด้วยแรงโทสะ
แม้เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณจะมีสติปัญญาและความปราดเปรื่องเหนือชั้น แต่จำนวนของผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนก็ยังคงมีจำกัด แต่อำมาตย์เฉินหลิงกำลังใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นเป็นเครื่องบรรณาการ และสังหารไปถึงสามหมื่นคนในคราวเดียว…เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า?
“พี่หยาง เราควรทำอย่างไรดี?”
ทุกคนในห้องหันขวับมามองหลิวหยาง รอคอยที่จะเคลื่อนไหวเพราะหมดความอดทน
“เท่าที่ดูจากพฤติกรรมของเขาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าอำมาตย์เฉินหลิงตั้งใจจะมอบบรรณาการให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและการได้พละกำลังกลับคืนมา” หลิวหยางพูด
ฝูงชนพยักหน้ารับ
แม้จะไม่มีข่าวที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับสภาวะร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงรั่วไหลออกมา แต่ข้อเท็จจริงที่เขาหายหน้าไปจากฝูงชนระยะหนึ่งแล้วก็พอจะบ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสภาวะร่างกายของเขาได้ ถ้าการจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บด้วยวิธีการแบบธรรมดามีความหวังเพียงริบหรี่ เดิมพันที่ดีที่สุดของเขาก็คือหันไปขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ
แต่การจะได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้นต้องแลกด้วยเดิมพันมหาศาล ไม่เพียงแต่จะต้องใช้ของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องบรรณาการ ยังต้องใช้เลือดสดๆบูชายัญด้วย
กฎเกณฑ์ของโลกบอกไว้ว่าไม่มีทางที่จะได้อะไรมาโดยไม่เสียบางอย่างไป ซึ่งเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!
การที่อำมาตย์เฉินหลิงไล่เข่นฆ่าผู้คนมากมายหลายหมื่น ก็หมายความว่าเขากำลังเตรียมพิธีกรรมครั้งใหญ่
“สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือรวบรวมกองกำลังและขัดขวางพิธีกรรมให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ที่ไม่อาจเยียวยาต่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเรา!” หลิวหยางคำราม
“ได้!”
ฝูงชนพยักหน้ารับ
พวกเขาต้องยับยั้งอำมาตย์เฉินหลิงให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมแล้วก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องถูกสังหารไปเพียงเพื่อให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น?
ครืนนนน!
ขณะที่หลิวหยางกำลังเตรียมการเพื่อขัดขวางพิธีกรรมของอำมาตย์เฉินหลิง พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ได้ยินเสียงเหมือนสายฟ้าฟาดดังอยู่ไกลๆ
หลิวหยางพรวดพราดออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังต้นเสียง ไม่ช้าเขาก็เห็นกระแสพลังงานขนาดใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่ใจกลางเมืองหลวง สถานที่ที่อำมาตย์เฉินหลิงกำลังเตรียมพิธีกรรมของเขา
ถ้าเกิดระเบิดขึ้นที่นั่น ก็หมายความว่าพิธีกรรมล้มเหลวหรือเปล่า?
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวหยางหันไปถามองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ
“องครักษ์อุทานเสียงสูงและตอบอย่างตื่นเต้น “อำมาตย์เฉินหย่ง…อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่ตาย…เขากลับมาแล้ว!”