Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1837
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1837
ตอนที่ 1837 อำมาตย์เฉินหลิงยอมจำนน
เราอาจไม่พ่ายแพ้ต่อเขาก็ได้ ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องลุยเต็มที่…
ด้วยการผนึกกำลังกันของตัวเขา หอกสวรรค์กระดูกมังกร ไอ้โหด นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง และนักปราชญ์โบราณโม่หลิง ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ พวกเขาก็ยังพอจะรับมือไหว
จางเซวียนรีบเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดมาเป็นไร้อารมณ์เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของเขา
สายตาของเทพเจ้าจับจ้องจางเซวียนกับอำมาตย์เฉินหลิงสลับกันไปมา สักพักหนึ่ง รอยย่นก็ปรากฏบนหน้าผาก “คุณจะต้องใช้หยดเลือดของตัวเองในการวิงวอนต่อมิติเบื้องบน มอบหยดเลือดของคุณให้ผม แล้วผมจะตัดสินว่าใครเป็นตัวจริงตัวปลอม!”
เทพเจ้าคิดว่าด้วยวิถีทางและพละกำลังของเขา เขาย่อมมองเห็นการปกปิดความจริงของทั้งคู่ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ เขาไม่พบช่องโหว่ใดๆเลยทั้งที่พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน
ทั้งคู่ไม่มีความแตกต่างใดๆด้านรูปลักษณ์ที่จะทำให้แยกออกจากกันได้
แต่ก็ไม่มีทางที่จะมีอำมาตย์เฉินหลิงถึง 2 คนในโลกใบนี้!
แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้เจ้าตัวปลอมจะปลอมแปลงรูปร่างหน้าตาจนเหมือนตัวจริงอย่างไร้ที่ติ แต่ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเลียนแบบสายเลือดของอำมาตย์เฉินหลิงได้ ถูกไหม?
ไม่ช้า หยดเลือด 2 หยดก็ถูกส่งให้เทพเจ้า เทพเจ้ารีบใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบเลือด 2 หยดนั้น แต่แล้วสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเขาก็พังทลายไม่มีชิ้นดี
เขาแทบไม่เชื่อสายตา หยดเลือดทั้ง 2 หยดเหมือนกันอย่างไร้ที่ติ!
นี่มันเกิดบ้าบออะไรขึ้น?
“โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ หมอนั่นปลอมตัวเป็นผมเพื่อปั่นหัวคุณ เราจะปล่อยให้การกระทำที่แสดงถึงความกระด้างกระเดื่องแบบนี้ผ่านไปโดยไม่มีการลงโทษไม่ได้!” อำมาตย์เฉินหลิงคิดว่าเทพเจ้าน่าจะพบบางอย่างในหยดเลือดแล้ว จึงก้าวออกไปและพูดเสียงดังฟังชัด
“หุบปากซะ!”
พลั่ก!
เทพเจ้าปล่อยพลังใส่อำมาตย์เฉินหลิงอีกครั้ง ทำให้เขาล้มกลิ้งไปกับพื้น
เทพเจ้ากำลังรู้สึกอับอายและว้าวุ่นระคนกันที่ไม่อาจแยกแยะทั้ง 2 คนได้ ก็พอดีกับที่อำมาตย์เฉินหลิงทะลุกลางปล้องไป แน่นอนว่าครั้งนี้เป็นการกระทำที่แสนโง่เขลา
“ผม…” อำมาตย์เฉินหลิงก้มหน้า
“อำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงได้มอบของล้ำค่าจำนวนมากเพื่อให้ผมลงมายังโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ตัวปลอมจะรู้ว่าของล้ำค่าชนิดไหนที่ถูกใช้ไป และพวกมันมีมูลค่าเท่าไหร่ ผมอยากให้คุณทั้งคู่จดรายชื่อของล้ำค่าที่ถูกใช้และมูลค่าที่แท้จริงของมัน ผู้ที่เขียนรายการได้ถูกต้องแม่นยำกว่าก็น่าจะเป็นอำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง!” เทพเจ้าสั่งการ
พิธีกรรมสำหรับการเรียกเทพเจ้ามานั้นเข้มงวดและเสียค่าใช้จ่ายมาก ถ้าของล้ำค่าที่ใช้เป็นเครื่องบรรณาการไม่ถึงระดับที่กำหนดไว้ ก็จะเกิดเป็นแรงตีกลับแทน ดังนั้น อำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงจึงน่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมดของเครื่องบรรณาการที่มอบให้เขา
“เอ่อ…” อำมาตย์เฉินหลิงผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “อย่างนั้นก็ได้”
เขานำตราหยกสัญลักษณ์ออกมาและบันทึกมูลค่าของของล้ำค่าทั้งหมดที่เขารู้ลงไปบนนั้น
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำตราหยกสัญลักษณ์ออกมาและบันทึกสิ่งที่เขารู้ลงไปบนนั้นเช่นกัน
พูดกันตามตรง จางเซวียนไม่รู้ราคาที่คนคนหนึ่งต้องจ่ายเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโลกใบนี้กับมิติเบื้องบน ต้องยอมรับว่าเทพเจ้าฉลาดหลักแหลมมากที่เข้าถึงแก่นของเรื่องนี้ได้ในทันที
แต่เมื่อครั้งที่เขาปลอมตัวเป็นนักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา ก็ได้เห็นของล้ำค่ามาแล้วทุกชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเครื่องบรรณาการมีชีวิตที่ถูกดึงเข้าสู่ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะถูกเขากับตัวโคลนซึมซับไปนั้นก็ทำให้เขารู้จำนวนและระดับวรยุทธที่แท้จริงของพวกมัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็บันทึกมูลค่าและจำนวนตามจริงลงบนตราหยกสัญลักษณ์
เมื่อรับตราหยกจากอำมาตย์เฉินหลิงและจางเซวียนไป เทพเจ้ารีบตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ครู่ต่อมา เขาก็หันไปหรี่ตาใส่อำมาตย์เฉินหลิง นัยน์ตานั้นเปล่งประกายดุร้าย
เห็นเทพเจ้าจับจ้องเขา อำมาตย์เฉินหลิงเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที “เทพเจ้า ผมคืออำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ฝ่ามือของเทพเจ้าก็ปล่อยพลังลงมาจากกลางอากาศ
“กล้าดีอย่างไรมาโกหกผม? คุณคงอยากตายเต็มทีสินะ!”
ครืนนนนน!
ราวกับโลกทั้งโลกถล่มเข้าใส่อำมาตย์เฉินหลิง ร่างของเขาแข็งทื่อไปทันที จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ พละกำลังที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตตระหง่านอยู่เหนือร่างของเขาราวกับกิโยติน พร้อมที่จะสับเขาให้เละเป็นเนื้อบด
“ไม่นะ!”
นึกไม่ถึงว่าเทพเจ้าที่เขาเพิ่งจ่ายเงินมหาศาลเพื่อเรียกอีกฝ่ายลงมาจะพยายามสังหารเขาจริงๆ อำมาตย์เฉินหลิงถึงกับพรั่นพรึง เขาคำรามกร้าวและขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัด ทำให้กระแสพลังปราณแผ่ซ่านออกมา
ในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็สูงขึ้นกว่า 2 จ้าง พละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแผดเผาพลุ่งพล่านอยู่ในตัวเขาราวกับภูเขาไฟ
พรึ่บ!
แต่เปลวไฟนั้นก็มอดดับทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของเทพเจ้า แท่นบูชาทั้งแท่นพังทลาย อำมาตย์เฉินหลิงทรุดฮวบลงกับพื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่อยู่รอบตัว
พละกำลังของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติช่างน่าสะพรึงเสียจริง! จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ
เขาดูออกว่าเทพเจ้ายังไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดด้วยซ้ำ มันเป็นแค่การโบกมือตามธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น อำมาตย์เฉินหลิงที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกก็ยังต้านทานไม่ไหวทั้งที่ใช้พละกำลังสูงสุด
นี่คือช่องว่างระหว่างสิ่งมีชีวิตทั่วไปกับเทพเจ้าผู้เป็นอมตะหรือ?
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเคยคิดว่าด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างตัวเขา หอกสวรรค์กระดูกมังกร และคนอื่นๆ ก็น่าจะพอรับมือกับเทพเจ้าไหว แต่ภาพที่เขาเห็นทำลายความหวังเหล่านั้นจนหมดสิ้น…มันคงจะเป็นการต่อสู้ดิ้นรนที่สูญเปล่า
ความเหลื่อมล้ำในพละกำลังของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างสะพานเพื่อเชื่อมโยงถึงกันได้
สิ่งนี้เหมือนกันกับความแตกต่างของพละกำลังระหว่างนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณ เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับขั้นต่างกัน นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่มีวันรับมือกับนักปราชญ์โบราณได้
ขณะที่จางเซวียนกำลังอัศจรรย์ใจกับพละกำลังของเทพเจ้า ก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้น ถ้าเทพเจ้าตัดสินใจเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิง นั่นก็หมายความว่ารายการของล้ำค่าที่เขาบันทึกลงไปนั้นแม่นยำกว่าของอำมาตย์เฉินหลิงอีกหรือ?
พูดอีกอย่างก็คือ หรือว่าอำมาตย์เฉินหลิงไม่รู้มูลค่าแท้จริงของเครื่องบรรณาการที่มอบให้เทพเจ้า?
ไม่อย่างนั้น ทำไมเทพเจ้าถึงตัดสินใจเล่นงานเขา?
ข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างที่จางเซวียนคิด อำมาตย์เฉินหลิงไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของเครื่องบรรณาการ
เขาได้จัดเตรียมทรัพย์สมบัติล้ำค่าไว้มากมายนับไม่ถ้วน และพานักตรวจสอบสมบัติผู้ทรงเกียรติ เกือบทั้งหมดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเข้าวังเพื่อประเมินมูลค่าของทรัพย์สมบัติแต่ละชิ้น แม้จะลงทุนลงแรงไปมาก แต่เพราะการเปลี่ยนแผนอย่างปุบปับ เขาจึงไม่รู้รายละเอียดของมูลค่าที่แท้จริงของของล้ำค่าทั้งหมด แต่ในความคิดของของอำมาตย์เฉินหลิง คำตอบที่เขาบันทึกลงไปก็น่าจะถูกต้องแม่นยำกว่าของจางเซวียน!
แล้วคำตอบของจางเซวียนแม่นยำกว่าของเขาได้อย่างไร?
จนถึงตอนนี้ แม้แต่เขาก็เริ่มลังเลแล้วว่าตัวเขาเป็นตัวปลอมหรือเปล่า!
อำมาตย์เฉินหลิงปีนขึ้นมาจากหลุมขนาดใหญ่ เขากัดฟันกรอดอย่างโกรธเกรี้ยว ปาดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากก่อนจะเผชิญหน้ากับเทพเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว
“ดูเหมือนคุณจะเชื่อว่าผมเป็นตัวปลอมใช่ไหม?”
“ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับอีกหรือ?”
เทพเจ้าหรี่ตาขณะปล่อยกระแสพลังงานอันน่าสะพรึงออกจากฝ่ามือ พร้อมที่จะเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงให้แหลกเป็นชิ้นได้ทุกขณะ
“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณเลือกจะเชื่อ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมพูดได้แค่ว่าความสามารถในการปลอมตัวของอีกฝ่ายนั้นน่าทึ่งมาก แต่…” อำมาตย์เฉินหลิงสูดหายใจลึกขณะนัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง “…ผมเต็มใจจะมอบชีวิตของผมให้คุณ ผมเต็มใจยอมเป็นทาสของคุณ และจะทำตามคำสั่งของคุณไปชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น ส่วนเขาน่ะ…”
อำมาตย์เฉินหลิงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองจางเซวียนด้วยสายตาเย็นเยียบ “…เขากล้าทำแบบนั้นหรือเปล่า?”
ทันทีที่พูดจบ เลือดหยดหนึ่งก็ลอยออกจากหน้าผากของอำมาตย์เฉินหลิง ตรงเข้าหาเทพเจ้า
ขอแค่เทพเจ้ายอมรับหยดเลือดของเขา เขาก็จะไม่ต่างอะไรกับอสูรตัวหนึ่งที่ทำสัญญาจิตวิญญาณ เขาจะกลายเป็นทาสที่พร้อมทำตามคำสั่งของเทพเจ้า แม้แต่ชีวิตและความตายของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้อีกต่อไป
“หมอนี่…” จางเซวียนใจเต้นตึกตัก
ไม่แปลกใจแล้วที่อำมาตย์เฉินหลิงเคยพูดว่าอำมาตย์เฉินหย่งไม่ได้เด็ดเดี่ยวเหมือนเขา และตัวเขาเองสามารถสละได้แม้แต่ชีวิต…จางเซวียนนึกว่าอำมาตย์เฉินหลิงหมายถึงพิธีกรรม แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นตัดสินใจที่จะมอบทุกอย่างให้กับเทพเจ้าแล้ว?
นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความตายของเหล่านักปราชญ์โบราณในกลุ่มก๊วนของตัวเอง กลับกลายเป็นว่าไพ่ไม้ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน
ด้วยการมอบอิสระทั้งหมดของตัวเองให้กับเทพเจ้า อำมาตย์เฉินหลิงจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไขจากเทพเจ้าเป็นสิ่งตอบแทน ในฐานะเจ้านาย แน่นอนว่าเทพเจ้าจะต้องอยู่เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง และช่วยเขารับมือกับศัตรูหรือแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์!
เทพเจ้าก้าวออกมาและรับหยดเลือดไว้ ในชั่วพริบตา เขาก็ควบคุมเจตจำนงและจิตวิญญาณของอำมาตย์เฉินหลิงไว้ได้ทั้งหมด เพียงแค่ความคิดแวบเดียวของเทพเจ้าก็สามารถจบชีวิตของอำมาตย์เฉินหลิงได้ทันที
หลังจากทำสิ่งนั้นแล้ว เทพเจ้าก็หันกลับมามองจางเซวียน นัยน์ตาของเขาไม่บ่งบอกความสุขุมอีกต่อไป แต่แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น
จางเซวียนแทบหายใจหายคอไม่ออกเมื่อเผชิญหน้ากับสายตานั้น