Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1843
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1843
ตอนที่ 1843 พบเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง?
ภูเขาพันใบมีหน้าผาสูงชันมากมายที่พุ่งตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้า ดู
เหมือนหอกที่ปักอยู่กับพื้น
“มีตำนานร่ำลือว่าครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยสู้กับเทพเจ้าที่สันเขา
แห่งนี้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เกิดจากการที่อีกฝ่ายขว้างอาวุธลงมา” นักปราชญ์
โบราณโม่หลิงเปรยขณะบินผ่านสันเขา
จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงกับภูมิประเทศอันแปลกประหลาด
ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็มาถึงยอดเขาที่สูงที่สุด มีที่ราบซึ่งมีขนาดราว 30 หมู่
อยู่บริเวณยอดเขา และที่ใจกลางที่ราบนั้นมีแท่นหินรูปกลมที่มีเส้น
ผ่านศูนย์กลางราว 3 เมตร เมื่อมองจากระยะไกล มันดูเหมือนแท่นที่
เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
“นี่คือสถานที่ที่เราสามารถติดต่อกับสวรรค์ได้หรือ?” จางเซวียน
ขมวดคิ้ว
อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
“เราต้องใช้ของล้ำค่าหรืออะไรทำนองนั้นเพื่อเริ่มพิธีกรรมไหม? ผม
จะได้เตรียมเสียตั้งแต่ตอนนี้” จางเซวียนพูด
แท่นบูชาของอำมาตย์เฉินหลิงรายล้อมไปด้วยสมุนไพร สินแร่ และ
โลหะหายากมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้น ยังต้องใช้เลือดของนักรบ
กว่าแสนคนเป็นบรรณาการด้วยกว่าจะเปิดปราการของมิติเพื่อเรียก
เทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมาได้ ดูเหมือนการที่เขาจะติดต่อกับหลัวลั่ว
ชิงคงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก
“ไม่ต้องหรอก สิ่งที่จำเป็นสำหรับพิธีกรรมถูกจัดเตรียมไว้แล้ว”
อำมาตย์เฉินหย่งพูดขณะหันไปมองหลิวหยาง
หลิวหยางพยักหน้าตอบรับทีท่าของอำมาตย์เฉินหย่ง เขาเดินไปยัง
แท่นบูชาและรอคอยอย่างอดทน ไม่ช้านักรบขั้นชั่วกัลปาวสานที่เขา
ได้มอบหมายภารกิจไว้ก่อนหน้านี้ก็มาถึงพร้อมกับแหวนเก็บสมบัติ
วงหนึ่งในมือ
หลิวหยางรับแหวนเก็บสมบัติมาแล้วสะบัดข้อมือ ธงสีทองจำนวน
มากปรากฏขึ้นกลางอากาศ พวกมันหาที่ทางของตัวเองรอบแท่นหิน
อย่างรวดเร็ว
“เริ่มพิธีกรรมกันเถอะ” หลิวหยางหันกลับมา
นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานพยักหน้าก่อนจะจากไป
คราวนี้ ทั้งกลุ่มรออยู่อีกราว 2 ชั่วโมงก่อนที่จะจางเซวียนจะรู้สึกถึง
การกระตุกในหัวใจ เขารีบเงยหน้าขึ้น และเห็นลำแสงมากมายนับ
ไม่ถ้วนแผ่มาจากทุกทิศทาง ลำแสงนั้นดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่แท่น
บูชา
“พวกมันมาจากวิหารแห่งการกำเนิดทั้งแปด ผู้คนหลายหมื่นกำลัง
สวดอ้อนวอนสวรรค์พร้อม ๆ กัน อำนาจแห่งศรัทธาของพวกเขา
หลอมรวมกันกลายเป็นพละกำลังไร้เทียมทาน” นักปราชญ์โบราณ
โม่หลิงตั้งข้อสังเกต
“วิหารแห่งการกำเนิด?”
“มันคือวิหารที่เผ่าพันธุ์ปีศาจใช้เป็นสถานที่สักการะบรรพบุรุษ
เมื่อไรก็ตามที่พิธีกรรมถูกจัดขึ้น จะมีนักบวชคอยดูแลพิธีกรรมเพื่อ
รวบรวมศรัทธาของเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายหมื่นตัวเข้าด้วยกัน และ
ดำเนินพิธีกรรมจนสำเร็จ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบาย “มีแต่
อำมาตย์เฉินหย่งเท่านั้นที่มีอำนาจรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายหมื่น
ตัวให้มาสวดอ้อนวอนพร้อมกันที่วิหารแห่งการกำเนิดทั้งแปดได้
แม้แต่อีกสองอำมาตย์ก็ทำไม่ได้อย่างเขา”
จางเซวียนพยักหน้ารับ
ครั้งหนึ่งอำมาตย์เฉินหย่งเคยบอกเขาว่า พวกเขาต้องสังหารอำมาตย์
เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเสียก่อน และเรียกคืนการสนับสนุนจาก
เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดให้ได้เพื่อให้ประกอบพิธีกรรมได้สำเร็จ ซึ่ง
เท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นแบบนั้น
พิธีกรรมขนาดใหญ่ระดับนี้คงไม่ใช่สิ่งที่จะดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์
ได้หากปราศจากการสนับสนุนของมหาชน
ดูเหมือนหลิวหยางจะได้สั่งการนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานให้จัดเตรียม
สิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า
ขณะที่ลำแสงทั้ง 8 ลำพุ่งตรงเข้าสู่ธงค่ายกล แท่นหินบูชาก็ถูกโอบ
ล้อมด้วยสีสันอบอุ่น หลังจากที่รวบรวมลำแสงมากมายเอาไว้แล้ว
พวกมันก็ถูกสะท้อนกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับกระจกเงา
“ในที่สุดก็ถึงตาของผมเสียที” อำมาตย์เฉินหย่งพึมพำพร้อมกับยิ้ม
น้อย ๆ ขณะเดินโซเซไปยังใจกลางแท่นบูชา จากนั้นก็ทรุดตัวลง
นั่งขัดสมาธิ
หลิวหยางนัยน์ตาแดงก่ำเมื่อเห็นภาพนั้น เขาก้มหน้าลงขณะกำมือที่
สั่นสะท้านจนแน่น
“ผม, หวู่เฉิน, ยินดีมอบชีวิตของผมเป็นบรรณาการต่อสวรรค์ เพื่อ
ขอให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมาเยือน…”
บึ้มมม!
ขณะที่เสียงของเขาดังก้อง ลูกไฟก็ดูเหมือนจะระเบิดออกภายในร่าง
ของอำมาตย์เฉินหย่ง มันแผดเผาอย่างเกรี้ยวกราด กลืนกินร่างของ
อำมาตย์เฉินหย่งในชั่วพริบตา
จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด
เขาเคยคิดว่าพิธีกรรมคงต้องใช้แค่ทรัพย์สมบัติล้ำค่าหรืออะไร
ทำนองนั้น ไม่รู้เลยว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องพลีชีพด้วย
ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปไม่พ้นคืนนี้ แต่เขาก็ไม่
อยากเห็นอีกฝ่ายต้องสละชีวิตของตัวเองเพื่อประโยชน์ของเขา
จางเซวียนรี่เข้าไปและใช้พลังปราณเทียบฟ้าคลุมร่างของอำมาตย์
เฉินหย่งไว้ เขาตะโกนก้อง “หยุดพิธีกรรมเดี๋ยวนี้!”
แน่นอนว่าเขาปรารถนาจะได้พบหลัวลั่วชิง แต่ไม่รู้สึกว่ามันถูกต้อง
ที่จะปล่อยให้เกิดการนองเลือดขึ้นเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ของ
พวกเขา
อำมาตย์เฉินหย่งไม่ยอมรับพลังปราณเทียบฟ้าที่จางเซวียนพยายาม
ถ่ายทอดให้ เขาตอบยิ้ม ๆ “ถึงอย่างไรผมก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
มันเป็นความปรารถนาของผมที่จะได้ทำอะไรให้คุณบ้าง,นายน้อย!”
ใบหน้าที่ดูแก่ชราของเขาปรากฏสีหน้าอ่อนโยน ดูเหมือนเขาอยู่
ท่ามกลางกระแสลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นมากกว่าจะเป็นเปลวไฟ
การที่นักรบจะจบชีวิตของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใช้ความคิด
แวบเดียว แล้วกระบวนการทั้งหมดก็จะจบลงโดยปราศจากความ
เจ็บปวดหรือทรมาน แต่ในทางตรงกันข้าม การต้องพลีชีพในกอง
เพลิงนั้นขึ้นชื่อว่าคือวิธีจบชีวิตที่เจ็บปวดที่สุด เนื้อหนังของผู้นั้นจะ
หลอมละลาย เลือดเดือดพล่านภายใต้ความร้อนแผดเผา แต่ความ
เจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์ทรมานนั้นจะอยู่กับตัวไปจนกว่าสติสัมปชัญญะ
จะสูญสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความตายก็ไม่ได้เข้ามาปลดปล่อยพวกเขา
จากความทุกข์ทรมานโดยง่าย มันเหมือนกับถูกเชือดเป็นร้อยเป็น
พันครั้ง
จางเซวียนรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เขาโบกมืออย่างร้อนรน “ผมจะหา
วิธีพบลั่วชิงด้วยตัวเอง ไม่ต้องทำแบบนี้แล้ว!”
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบตกลง เขาก็จะทำลายแท่นหินและธงค่ายกลเสีย
เพื่อยับยั้งพิธีกรรม
เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อประโยชน์ของ
เขา และไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งที่กัดกร่อนภายใน
แต่ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ทำลายแท่นหินบูชาและธงค่ายกล รังสี
ทรงพลังก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ครอบคลุมร่างของอำมาตย์เฉินหย่งไว้
เมื่อถูกรังสีนั้นโอบล้อม เปลวไฟที่แผดเผาร่างของอำมาตย์เฉินหย่งก็
ค่อย ๆ มอดดับ และก็น่าประหลาดใจที่ร่องรอยของพลังชีวิตเริ่ม
งอกเงยขึ้นในจิตวิญญาณและกายเนื้อของเขา
ฟึ่บ!
ราวกับมีประตูบานใหญ่เปิดออกสู่โลก ร่างสูงตระหง่านปรากฏขึ้น
เหนือแท่นบูชา แผ่ความมีอำนาจในแบบที่ใครไม่อาจต้านทานได้
ออกมา
“ลั่วชิง?” จางเซวียนรีบเงยหน้า แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นใบหน้าที่
ไม่คุ้นเคย “คุณเป็นใคร?”
เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่ถูกแท่นบูชาเรียกมาไม่ใช่หลัวลั่วชิง แต่
เป็นคนอื่น!
ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทางหรือสายตาที่อีกฝ่ายมองเขา เขาก็แน่ใจว่า
เขาไม่เคยพบกับเทพเจ้าองค์นี้มาก่อน
“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณกลับไปยังที่ที่เป็นของเธอแล้ว ฉันเป็นแค่
บริวารของเธอเท่านั้น” ร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศตอบ เธอ
ลดสายตาลงมองจางเซวียนขณะตั้งข้อสังเกต “คุณคงเป็นจางเซวียน”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนกำหมัดแน่น
ร่างนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่รอปฏิกิริยาตอบรับจากเขา
“ก่อนที่เธอจะจากไป เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้ร้องขอให้ฉันมอบ
ความช่วยเหลือในสิ่งที่คุณต้องการ ฉันไม่เต็มใจนักหรอก แต่
สุดท้ายก็ต้องตอบรับคำขอของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากจะให้
คำแนะนำคุณสักข้อหนึ่ง เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือผู้ทรงเกียรติที่อยู่
ไกลเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างคุณจะเอื้อมถึงคุณควรจะทิ้ง
ความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอไปเสีย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้ทั้งเธอ
และตัวคุณเองเจ็บปวด!”
คำพูดเหล่านั้นมีแรงกดดันมหาศาล แม้จางเซวียนจะมีพละกำลัง
เทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ก็รู้สึกหมด
เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย
ราวกับร่างกายของเขาแสดงความยำเกรงออกมาโดยสัญชาตญาณ
เทพเจ้าที่เขาเรียกมานั้นเป็นเพียงร่างอวตารที่ปรากฏในโลกใบนี้ แต่
เธอก็แข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมามาก!
“คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผม แค่บอกผมมาก็พอ
ว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นใคร และตอนนี้เธออยู่ที่ไหน!”
“ดูเหมือนคุณจะมีความกล้าบ้าบิ่นอยู่ไม่น้อยเลยนะ ถ้าคุณก้าวข้าม
ปราการแห่งมิติได้เหมือนอย่างปรมาจารย์ขง ก็มาพบฉันที่พระราชวัง
ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แล้วฉันจะบอกคุณว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้า
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อย่าแม้แต่จะฝัน” ร่างสูงตระหง่านคำราม
ด้วยการสะบัดข้อมือ ร่างนั้นก็เลือนหายไป
“รอเดี๋ยว” จางเซวียนพูด
ร่างนั้นลดสายตาลงมองจางเซวียนอีกครั้ง
“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณสั่งการให้คุณมอบความช่วยเหลือใด ๆ
ตามที่ผมต้องการ ถูกไหม?” จางเซวียนถาม
ร่างนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ลงท้ายเธอก็พยักหน้ารับ “ใช่ แต่ฉันจะ
ช่วยคุณเพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นคิดให้ดี อย่าปล่อยให้
โอกาสล้ำค่าต้องสูญเปล่า”
“ผมตัดสินใจแล้ว!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ เขาชี้ไปที่
อำมาตย์เฉินหย่ง “ผู้ที่อยู่ตรงนี้คือหวู่เฉิน บริวารที่รับใช้เทพเจ้าแห่ง
จิตวิญญาณในโลกใบนี้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายเต็มที
ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตเขา”
“นายน้อย…” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งนัยน์ตาแดงก่ำ