Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1880
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1880
ตอนที่ 1880 บังเอิญเหลือเกิน!
ในจัตุรัสที่ตั้งอยู่บริเวณอาณาเขตรอบนอกของภูเขา…
ซั่งอู๋ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างปุบปับก่อนจะตกลงมากระแทก
พื้นอย่างแรง เขาเพิ่งถูกส่งทะลุมิติออกมาจากภูเขาด้วยอานุภาพของ
ค่ายกลทะลุมิติ เขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย ราวกับนึกสงสัย
ในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง
ซั่งอู๋เป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อชิ่ว อัจฉริยะที่ได้ความ
ปราดเปรื่องจากสวรรค์ เขาต้องเอาชนะเพื่อนร่วมรุ่นมากมายหลาย
พันคนกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ แต่หลังจากมาได้ไกลขนาดนี้…แม้
เขาจะผนึกกำลังกันกับนักรบอีกหลายคนเพื่อเล่นงานใครคนหนึ่งที่
มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่า แต่ก็ยังลงเอยด้วยการถูกกำจัดอย่างง่ายดาย…
ความคิดที่ว่าใครต่อใครจะพากันเยาะเย้ยความล้มเหลวของเขาครั้งนี้
หนักอกเสียจนทำให้เขาตัวงอด้วยความอับอายแสนสาหัส
ซั่งอู๋กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน พยายามจะปิดบังใบหน้าแล้วจากไป
อย่างเงียบ ๆ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตกอกตกใจดังขึ้นกลางอากาศ
“ซั่งอู๋ คุณก็ถูกคัดออกเหมือนกันหรือ? ไม่คิดเลยว่าจะพบคุณที่นี่…”
จากนั้นร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้ ๆ ซั่งอู๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะร้องออกมาเช่นกัน
“ชือหย่วน คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ชือหย่วนเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อชีและเป็นเพื่อนสนิท
ของเขา ทั้งคู่ทัดเทียมกันในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เสมอกัน
หลายต่อหลายครั้ง
เพียงเท่านี้ก็น่าอับอายจนเกินทนแล้วที่เขาถูกคัดออกจากการทดสอบ
อย่างรวดเร็ว แต่ใครจะไปคิดว่าเพื่อนสนิทของเขาจะลงเอยด้วยการ
ถูกคัดออกเร็วกว่าตัวเขาเองเสียอีก!
“เฮ้อ เลิกพูดเรื่องน่าอับอายพวกนี้เสียทีเถอะ! ผมโจมตีใครคนหนึ่งที่
อ่อนแอกว่าผมเพื่อหวังจะยกอันดับของตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่า
หมอนั่นจะส่งผมมาที่นี่ได้…” ชือหย่วนส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ
“คุณก็ถูกกำจัดโดยใครคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าคุณเหมือนกันหรือ?”
ซั่งอู๋ชะงักไปขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “หมอนั่นเป็นใคร?”
“แค่พูดถึงก็น่าอับอายแล้ว เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด
ช่องว่างของวรยุทธระหว่างเขากับพวกเรานั้นห่างกันมาก…” ชือหย่วน
หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
“เขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเหมือนกันหรือ? ใครกัน?”
ซั่งอู๋ถามซ้ำ
“เขาคือ…ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ…ฟ่ านเฉี่ยวเฟิง!” ชือ
หย่วนตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ใช่เขาจริง ๆ ! ผมก็ถูกหมอนั่นกำจัดเหมือนกัน!” ซั่งอู๋ตาโตอย่างไม่
อยากเชื่อ
“เดี๋ยวก่อน…คุณก็ถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดหรือ?” ชือหย่วนผงะ
“ก็ใช่น่ะสิ ตัวเขาคนเดียวสู้กับพวกเราถึง 12 คน และกำจัดพวกเรา
เรียบ…” ซั่งอู๋อธิบายอย่างร้อนรน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงอุทานด้วยความตกใจอีกเสียงหนึ่งก็
ดังขึ้น
“คุณถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดเหมือนกันหรือ? บังเอิญเหลือเกิน! ผมก็
ถูกเขากำจัดเหมือนกัน ตัวเขาคนเดียวเขี่ยพวกเรา 3 คนออกจากการ
ทดสอบได้…”
จากนั้น สุภาพสตรีอีก 4 คนก็เดินเข้ามา
“ช่างบังเอิญเสียจริง พวกเราก็เหมือนกัน!”
ชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งเข้ามาสมทบ
“อ้อ? พวกคุณทุกคนถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดหรือ? พวกเราก็เจอ
เหมือนกัน เราถูกซ้อมยับเยิน…”
วัยรุ่นอีก 5 คนเดินเข้ามา
“ฮ่า คุณน่ะไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดหรอกนะ รู้ไหม? เห็นเหยียนอี้
เฉี่ยวกับพรรคพวกของเขาที่อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า? ดูเหมือนเขาจะถูก
ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคัดออกเหมือนกัน…”
นักรบอีกสองสามคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่เผชิญชะตากรรมน่าอนาถแบบเดียวกันล้อมรอบ
ตัวเขา ซั่งอู๋อ้าปากค้าง
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว แต่ชื่อ ‘ฟ่ านเฉี่ยวเฟิง’ ก็นำพาผู้คนกว่า 40
คนมารวมตัวกันแล้ว ที่น่าตกใจก็คือทุกคนล้วนแต่ถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิง
กำจัด
เกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้นหรือเปล่า?
นักรบคนหนึ่งจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียพลังปราณเลยได้
อย่างไรหากต้องต่อสู้กับคู่ต่อสู้มากมายขนาดนี้?
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ตามผมมา!” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา
ปลอบซั่งอู๋
ซั่งอู๋จำได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือโป๋ ฉื่อ ซึ่งเป็นทายาทของ
นักปราชญ์โบราณจื่อชู่ จึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตามชายหนุ่มไป
โป๋ ฉื่อพาซั่งอู๋ออกจากกลุ่มฝูงชนไปหาชายหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกคัด
ออกและพูดว่า “ยินดีที่ได้พบคุณ พวกเราถูกทายาทของนักปราชญ์
โบราณจื้อฉื่อคัดออกเหมือนกัน ไม่ทราบว่า…”
“บังเอิญอะไรอย่างนั้น! พวกเราก็ถูกทายาทของนักปราชญ์โบราณ
จื้อฉื่อคัดออก!”
“ผมด้วย”
“ว้าว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ…น่าจะร่วมมือกันได้!”
เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ ในชั่วพริบตาก็มีนักรบมารวมตัวกันหลายสิบ
คน
จากนั้น โป๋ ฉื่อก็พาซั่งอู๋ไปหานักรบอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ก่อนที่จะทันได้
พูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อน “พวกคุณถูกฟ่ านเฉี่ยวเฟิงกำจัด
เหมือนกันใช่ไหม? เหมือนพวกเรานั่นแหละ!”
“…” ซั่งอู๋
ตอนนี้เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจัดการกับสถานการณ์แปลกประหลาดนี้
อย่างไร
“ทุกคน ฟังพวกเรานะ! เราจะก่อตั้ง ‘สมาคมผู้เข้าทดสอบที่ถูกคัด
ออกโดยทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ’ มีใครอยากเข้าร่วมกับ
พวกเราไหม?”เสียงหนึ่งดังขึ้นในหมู่ฝูงชน
“ผมอยากเข้าร่วม!”
“ผมด้วย, ฉันด้วย!”
…..
คำเชิญได้เสียงตอบรับอย่างดี ฝูงชนแสดงอาการเห็นพ้องต้องกัน
“….”
ในตอนนั้นเองที่ซั่งอู๋มีความรู้สึกว่าการที่เขาถูกฟ่ านเฉี่ยวเฟิงซึ่งอ่อน
ด้อยกว่ากำจัดนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย มันแทบจะกลายเป็น
สัญลักษณ์ของเกียรติยศ เป็นเครื่องหมายของความเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกันระหว่างตัวเขากับคนอื่น ๆ
…..
“แค่นี้หรือ?”
ฟ่ านเฉี่ยวชิงจ้องหน้าฟ่ านเฉี่ยวเฟิงที่มีทีท่าไม่รู้สึกรู้สา ราวกับคำว่า
‘ทรงพลัง’ ในความหมายของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไป
หากตัวเขาคือคนที่ต้องต่อสู้กับนักรบทั้ง 12 คนนั้น เขาคงไม่มีโอกาส
เอาตัวรอด แต่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงที่มีวรยุทธระดับเดียวกันกับเขากลับ
เอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย…
ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา หมอนี่พบเจออะไรถึงเปลี่ยนแปลง
ตัวเองได้ขนาดนี้?
ส่วนฟ่ านเฉี่ยวเฟิงก็ไม่แยแสอาการทึ่งของฟ่านเฉี่ยวชิง เขาเดินไปหา
จางเซวียนและถามว่า “คราวนี้…ผมเป็นอย่างไรบ้าง?”
นัยน์ตาของเขาฉายความวิตกกังวลราวกับนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ครูหลังจากลืมส่งการบ้านที่ได้รับมอบหมายระหว่างวันหยุด
“คราวนี้คุณเป็นอย่างไร?” จางเซวียนทำหน้าเบื่อหน่ายขณะโบกมือ
ตัดความรำคาญ “ก็ยังงั้น ๆ แหละ!”
เขาเบื่อเต็มทีที่จะออกความเห็นเรื่องการสำแดงวรยุทธของฟ่านเฉี่ยว
เฟิง
จากคำชี้แนะทั้งหมดที่เขาได้ให้ไปและการสู้รบที่อีกฝ่ายได้มี
ประสบการณ์ด้วยตัวเอง หมอนั่นทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ? โชคดีที่
เขาปลอมตัวอยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องตายเพราะความอับอาย!
ศิษย์สายตรงทุกคนที่ตัวเขา, จางเซวียน ได้สั่งสอนนั้น ลงท้ายต่างก็
ได้เป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้น แต่เจ้าคน
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ช่าง…
เมื่อครู่ก่อนนี่เองที่เขายังคิดว่าทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มี
ความปราดเปรื่องน่าทึ่ง สามารถทำความเข้าใจและซึมซับความรู้
ใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว แต่แล้วหัวสมองของฟ่ านเฉี่ยวเฟิงก็ทำให้เขาขัด
ใจ หมอนี่ให้ความสำคัญกับเรื่องจุกจิกเบ็ดเตล็ดมากเกินไปจนมอง
ไม่เห็นว่าอะไรที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง ทำให้แต่ละกระบวนท่า
ของเขาขาดจิตวิญญาณ!
“ผม…ผมผิดไปแล้ว! ผมรู้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ผมทำได้ไม่ดี
นัก…” เห็นจางเซวียนผิดหวัง ฟ่ านเฉี่ยวเฟิงรีบก้มศีรษะและขอโทษ
ขอโพยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
วีรกรรมน่าทึ่งของเขาล้วนแต่มาจากคำชี้แนะของอีกฝ่ายทั้งนั้น ถ้า
อีกฝ่ายไม่เต็มใจจะสั่งสอนเขาอีก แล้วเขาจะก้าวหน้าไปกว่านี้ได้
อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน ฟ่ านเฉี่ยวชิงก็ทึ้งผมราวกับได้เห็นภาพที่เหลวไหล
เลอะเทอะที่สุดอยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจทำความเข้าใจพฤติกรรมของ
ทั้งคู่ได้เลย
“สิ่งนี้ยังสามารถเรียกว่า ‘ทำได้ไม่ดีนัก’ ด้วยหรือ?” จางเซวียนตำหนิ
“เอาเถอะ ผมคิดว่าผมควรจะให้เวลาคุณพิจารณาตัวเอง เมื่อครู่นี้น่ะ
สำหรับกระบวนท่าที่ 3 ที่คุณสำแดงออกไปหลังจากพุ่งเข้าใส่คน
กลุ่มนั้น คุณควรจะใช้เพลงหมัดแขนคู่เพื่อกำจัดชายหนุ่มเสื้อคลุมสี
แดง ซึ่งแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลย แต่ทำไมคุณถึงหัน
ไปเล่นงานสาวน้อยเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่อยู่ทางขวาแทนล่ะ? รู้หรือ
เปล่าว่าการตัดสินใจของคุณทำให้สูญเสีย 3 กระบวนท่าไปเต็ม ๆ
ลองนึกถึงเวลาที่คุณสูญเสียไปสิ ถ้าระหว่างนั้นคนกลุ่มนั้นฟื้นตัวได้
ทัน คุณคงจะตายก่อนที่จะทันได้รู้ตัวเสียอีก! ส่วนการเตะเมื่อครู่นี้
คุณก็ควรจะหลบ ทำไมถึงรับมัน? พยายามจะแสดงออกว่ามีความ
สามารถในการป้องกันตัวเอง หรืออยากจะทดสอบความทนทาน
ของร่างกายที่ไม่ได้เรื่องของคุณ…”
จางเซวียนพูดไปของขึ้นไป ลงท้ายเขาก็ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องถึง 8
จุดภายในอึดใจเดียว และทุกจุดก็ล้วนแต่พุ่งเข้าเป้าอย่างตรงเผง
“ผม…” ฟ่ านเฉี่ยวเฟิงพูดไม่ออกกับการวิเคราะห์นั้น
เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนตัวเขาไม่คิดว่าฟ่ าน
เฉี่ยวฉูจะจดจำทุกกระบวนท่าและข้อบกพร่องทุกข้อของเขาได้แจ่ม
ชัดขนาดนี้
ตอนแรก เขาภาคภูมิใจในตัวเองที่สามารถกำจัดนักรบ 12 คนได้
พร้อมกันในคราวเดียว แต่คำพูดของฟ่ านเฉี่ยวฉูดึงเขากลับสู่ความ
เป็นจริง เขารู้ตัวดีว่ายังอีกยาวไกลกว่าจะถึงความเป็นสุดยอด การที่
เล่นงานผู้อ่อนแอกว่าได้สำเร็จนั้นไม่ได้มีศักด์ิศรีใด ๆ เลย!
นอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว นั่นคือวิถีทาง!
“เพียงเท่านี้เฉี่ยวเฟิงก็สู้รบได้เก่งกาจมากแล้ว แต่เฉี่ยวฉูยังชี้
ข้อบกพร่องในกระบวนท่าของเขาได้มากมาย ความสามารถในการ
หยั่งรู้นั้นช่าง…” ฟ่ านเฉี่ยวชิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเข้าใจว่าทำไมฟ่ านเฉี่ยวเฟิงจึงพัฒนาตัวเอง
ได้มากขนาดนี้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…
ต้องยกความดีทุกอย่างให้ฟ่านเฉี่ยวฉู!
“เฉี่ยวฉู คุณสอนผมด้วยได้ไหม? ผมอยากเก่งเหมือนเฉี่ยวเฟิง…”
เมื่อทนไม่ไหว ฟ่านเฉี่ยวชิงเดินเข้าไปประสานมือให้จางเซวียนด้วย
ความจริงใจ ยอมละทิ้งศักด์ิศรีและความหยิ่งผยองทั้งหมดที่เคยมี