Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1894
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1894
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1894 เขาคือจางเซวียน
ด้วยความสามารถของจางเซวียน การทำให้ดาบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกยอมจำนนนั้นง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก หลังจากซึมซับดาบแล้ว เขาก็ชูมันสูงขึ้นกลางอากาศ แล้วฟาดลงไปบนศีรษะของเทพเจ้าที่กำลังติดกับ
เคร้งงงง!
เกิดเสียงเคร้งดังสนั่นขณะประกายไฟแลบออกจากศีรษะของเทพเจ้า ผิวหนังชั้นนอกของอีกฝ่ายร่วงลงกับพื้น
“อ๊ากกกก!”
นัยน์ตาของเทพเจ้าแดงก่ำด้วยแรงโทสะ
ส่วนขงซือเหยาก็นัยน์ตาเบิกโพลงขณะพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “นั่นไม่ใช่วิธีที่คุณควรจะใช้ดาบนะ…”
ความแข็งแกร่งสูงสุดของดาบอยู่ที่ความรวดเร็วของมัน แต่หมอนั่นกลับใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้าง ต่อให้อาวุธชั้นยอดที่สุดก็อาจสูญเปล่าได้ภายใต้การใช้อย่างผิดๆ!
ภายในอึดใจเดียว จางเซวียนก็ฟาดลงไปที่จุดเดิมบนศีรษะของเทพเจ้ามากกว่า 100 ครั้ง ทำให้เกิดรอยแยกบนกระโหลกของอีกฝ่าย รอยแยกนั้นลึกจนแทบจะเห็นถึงมันสมอง
บึ้มมมม!
ด้วยความโมโหเดือดที่ถูกหยามหน้า เทพเจ้าระเบิดพละกำลังทำลายล้างหนักหน่วงออกมาอีกครั้ง แล้วสอยหอกสวรรค์กระดูกมังกรกระเด็นไป เขาหันขวับมาหาจางเซวียน ตั้งใจจะสังหารเจ้าหนุ่มอวดดีที่บังอาจแตะต้องเขา ก็พอดีกับที่อิฐก้อนหนึ่งพุ่งเข้ากระแทกใบหน้าของเขาอีกครั้ง
คราวนี้ อิฐก้อนนั้นจงใจเล่นงานรอยแยกบนศีรษะ ทำให้เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
“บ้าเอ๊ย!”
เทพเจ้าแทบเสียสติ
สไตล์การต่อสู้ของหมอนั่นช่างเป็นตัวอย่างชั้นดีของคำว่าชั่วร้ายและการชกใต้เข็มขัด
เราก็เป็นนักรบชั้นยอดกันทั้งคู่ อย่างน้อยก็ควรจะใช้รูปแบบการต่อสู้ที่มีศักดิ์ศรีสักหน่อยไหม?
เราควรจะประลองดาบกันอย่างอาจหาญแทนที่จะมัวใช้ลูกไม้สกปรกทุกวิถีทางราวกับเป็นนักเลงข้างถนน…ภาพลักษณ์ของคุณน่ะป่นปี้หมดแล้ว รู้หรือเปล่า!
เทพเจ้าโกรธจัด เขาสลัดก้อนอิฐออกไปและหันไปจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายหนีไปไกลลิบโดยเปิดใช้งานสายเลือดของตัวเอง
เทพเจ้าตัวสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ เขาหันไปมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆและคำรามก้อง “ในเมื่อคุณอยากเล่นเกมกับผม ผมก็จะเริ่มด้วยการสังหารเจ้าพวกนั้น!”
เขามีเหตุผลบางอย่างที่ต้องการตัวขงซือเหยาแบบเป็นๆ แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ ชีวิตของคนเหล่านั้นไม่มีความหมาย
ฟึ่บ!
เทพเจ้าปล่อยพลังจากฝ่ามือออกไป แต่ยังไม่ทันที่พลังจากฝ่ามือของเขาจะถึงเป้าหมาย หอกเล่มหนึ่งก็เข้าขวางและสกัดกั้นการเคลื่อนไหวนั้นไว้ จางเซวียนยืนประจันหน้ากับเทพเจ้าและกระดิกนิ้วอย่างท้าทาย “เล่นงานผู้อ่อนแอ คุณช่างไร้เทียมทานอะไรอย่างนี้ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าไม่มีทางเลือก เพราะคุณทำอะไรผมไม่ได้!”
ฟิ้ววววว!
จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็ปล่อยอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งเข้าใส่เทพเจ้า
“ลูกไม้ราคาถูกจริงๆ! แต่จะเอาอย่างนั้นก็ได้ ผมเริ่มจากคุณก่อนก็แล้วกัน!” เทพเจ้าพุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ว่องไวนัก แต่ทุกย่างก้าวนำมาซึ่งพลังงานหนักหน่วงที่ทำลายมิติโดยรอบ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะก้าวข้ามบริเวณที่เขาเคยผ่านไปแล้วได้
เทพเจ้ายอมรับว่าความว่องไวของเขายังอ่อนด้อยกว่าจางเซวียน แต่ขอแค่เขาทำลายล้างมิติที่อยู่โดยรอบให้แหลกสลายได้ อีกฝ่ายก็ย่อมหมดหนทางหนี!
“เป็นกระบวนท่าที่ไร้รสนิยมสิ้นดี!” จางเซวียนเบะปาก เขาหันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆ “พวกคุณควรใช้โอกาสนี้เยียวยาร่างกายตัวเองนะ ระหว่างนี้ผมจะรับมือกับเขาไปพลางๆก่อน!”
จากนั้นจางเซวียนก็หลบไปอีกครั้ง
เมื่อเทพเจ้าเห็นจางเซวียนหนีไปอีกรอบ เขาก็ชำเลืองมองขงซือเหยา ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้จับตัวเธอให้ได้
แต่ราวกับจะอ่านใจของเขาออก จางเซวียนหันกลับมาอย่างปุบปับและเปิดการโจมตี ทั้งก้อนอิฐ ดาบ และหอกต่างพุ่งเข้าใส่เทพเจ้า เตรียมพร้อมจะทำลายกลยุทธการป้องกันตัวของเขาได้ทุกเมื่อ พร้อมกันนั้น ศพจำนวนมากก็ลอยเข้ามาและระเบิดเป็นชิ้นๆอยู่ตรงหน้า
ในที่สุดเทพเจ้าก็หมดความอดทนและตั้งต้นไล่ล่าจางเซวียนราวกับหมาล่าเนื้อ
ตราบใดที่หมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานเขาคงต้องเป็นบ้าแน่ ดูเหมือนเขาจะต้องกำจัดหมอนั่นให้ได้ก่อน!
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
จากนั้น ทั้งคู่ก็ตั้งต้นไล่ล่ากันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ฝ่ายหนีจะหันกลับมาเป็นระยะๆและปล่อยการโจมตีเข้าใส่ก่อนจะหนีไป ทำให้ฝ่ายไล่ล่าโมโหเดือดเป็นทวีคูณ
การสู้รบของทั้งสองทำให้อาณาจักรคุนฉื่อพังทลายไม่มีชิ้นดี
…..
พลั่ก!
หลังจากผู้เชี่ยวชาญอีกคนถูกสอยกระเด็น ฟ่านเฉี่ยวฉูยืนจังก้า เขามองไปรอบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูราวกับผู้เชี่ยวชาญที่กำลังเหม็นเบื่อโลก “ยังมีใครอยากทดสอบพละกำลังของผมอีกไหม?”
หมี่ชวนกับพรรคพวกเป็นคนแรกๆที่เข้ามาต้อนรับนักเรียนใหม่ จึงมีผู้เชี่ยวชาญอีกบางส่วนที่ยังมาไม่ถึง เมื่อได้ยินว่านักเรียนใหม่ผู้ทรงพลังคนหนึ่งมาถึงสำนักแล้ว พวกเขาก็รีบเดินทางไป ทุกคนลดระดับวรยุทธและท้าทายอีกฝ่ายเข้าสู่การดวล แต่แล้วก็ต้องถอดใจเมื่อพบว่าไม่มีใครสักคนที่เอาตัวรอดจากกระบวนท่าแรกของอีกฝ่ายได้!
ที่สำคัญกว่านั้น ฟ่านเฉี่ยวฉูดูจะขัดเกลาทักษะของเขาได้ดีขึ้นเรื่อยๆจากการต่อสู้แต่ละครั้งที่ผ่านไป ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ถึงตอนนี้ ไม่มีใครที่มีวรยุทธระดับเดียวกันจะเทียบชั้นกับเขาได้แล้ว
อันที่จริง…ต่อให้ผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นก็ยังสู้เขาไม่ได้
“ไม่จำเป็นหรอก ดวลกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์…” จ้งฉิงส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
ผลการดวลจะชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีพวกเขาสักคนที่เทียบชั้นกับฟ่านเฉี่ยวฉูได้
ฟ่านเฉี่ยวฉูกวาดสายตามองฝูงชนที่อยู่รอบตัวและตั้งคำถาม “ถ้าอย่างนั้น…ผมควรเลือกใครเป็นอาจารย์ของผม?”
ถึงเขาจะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้หมด แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเขาเป็นแค่นักเรียนใหม่ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 และต้องการคำชี้แนะจากอาจารย์สักคน
“ผมมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะรับตำแหน่งนั้น!”
“ผมไม่คิดว่าผมจะเก่งกาจพอที่จะได้เป็นอาจารย์ของคุณ…”
ฝูงชนที่พ่ายแพ้พากันก้มหน้าด้วยความอับอาย
พวกเขาชื่นชอบยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นที่จะได้รับนักเรียนผู้ทรงพลังสักคนเป็นศิษย์สายตรง แต่ในเมื่อ ตัวเองยังเอาชนะชายหนุ่มไม่ได้ แล้วจะเอาสิทธิ์อะไรไปสั่งสอนเขา?
ทุกคนที่ได้สบตากับฟ่านเฉี่ยวฉูพากันหลบตาอย่างกระอักกระอ่วน เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บริเวณนั้นเงียบงันราวกับหลุมศพ
คิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ สุดท้ายฟ่านเฉี่ยวฉูก็พูดยิ้มๆ “อันที่จริงผมมีท่านอาจารย์คนหนึ่งอยู่ในใจแล้วล่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะขอรับคำชี้แนะของเขาได้หรือเปล่า!”
เมื่อเห็นความหวังที่จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน เหล่าผู้เชี่ยวชาญรีบตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร?”
ถึงตอนนี้ พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ออกจากสถานการณ์อันน่าอับอายนี้เสียที!
“เขาชื่อจางเซวียน แต่อันที่จริง ผมก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือชื่อจริงของเขาหรือเปล่า!” ฟ่านเฉี่ยวฉูตอบ
“จางเซวียน? มีใครในสำนักแห่งขงจื๊อที่ใช้แซ่จางด้วยหรือ?” จ้งฉิงสงสัย
ทุกคนที่อยู่ในสำนักแห่งขงจื๊อล้วนมาจากตระกูลและเชื้อสายของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ แล้วจะมี ‘แซ่จาง’ อยู่ได้อย่างไร?
หนานกงหยวนเฟิงเดินเข้ามาอย่างปุบปับแล้วพูดว่า “ชื่อนั้นฟังดูคุ้นหู ผมรู้จักจางเซวียนอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเรากำลังพูดถึงคนๆเดียวกันหรือไม่”
มีผู้คนไม่มากนักในอาณาจักรคุนฉื่อที่เคยได้ยินชื่อจางเซวียน แต่ชื่อนั้นเป็นชื่อที่โด่งดังในทวีปแห่งปรมาจารย์
“ฮะ?” จ้งฉิงกับฟ่านเฉี่ยวฉูรีบหันมา
“ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ทรงพลังคนหนึ่งจากทวีปแห่งปรมาจารย์และเป็นหัวหน้าตระกูลจาง เหตุผลที่ในครั้งนั้นพวกเราเข้ายึดครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไม่สำเร็จก็เพราะเขาขัดขวางภารกิจของเรา!” หนานกงหยวนเฟิงพูด
“จางเซวียนคนนั้นหรือ?” จ้งฉิงตาโตเมื่อนึกได้
เหล่าชนชั้นนำของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต่างได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวิหารแห่งขงจื๊อ จากข้อมูลที่พวกเขาได้มา เกือบทุกอย่างที่พวกเขาหวังว่าจะได้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้าใบสี่ฤดูหรือผลโพธิ์ ก็ล้วนแต่ถูกชายผู้นั้นฉกฉวยไป
“แล้วคุณได้ยินชื่อของเขาได้อย่างไร?” จ้งฉิงจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง
น่าสงสัยเหลือเกินว่าฟ่านเฉี่ยวฉูรู้จักชื่อของจางเซวียนได้อย่างไรทั้งที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อมาชั่วชีวิต เรื่องนี้น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น
“ผม…” ฟ่านเฉี่ยวฉูตัวแข็งทื่อเมื่อนึกได้ว่าเพิ่งหลุดปากความลับบางอย่างไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าจางเซวียนเป็นนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งของสำนักแห่งขงจื๊อ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นใครสักคนที่ใกล้ชิดกับสำนัก แต่กลับตรงกันข้าม อีกฝ่ายไม่ได้มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ด้วยซ้ำ
นั่นอธิบายได้ว่าทำไมจางเซวียนจึงขอยืมตัวตนของเขาเพื่อจะได้เข้ามาที่นี่ ตอนนี้ตัวเขาได้สร้างปัญหาขึ้นแล้ว!
“คุณไม่เคยออกจากอาณาจักรคุนฉื่อเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะเคยได้ยินชื่อของเขา นั่นหมายความว่า…ตอนนี้จางเซวียนอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อใช่ไหม?” จ้งฉิงเลิกคิ้วขณะเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นในหัว
ดูจากการที่ฟ่านเฉี่ยวฉูกับพรรคพวกแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขารู้จักชื่อจางเซวียน ข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดที่จ้งฉิงคิดออกในตอนนี้ก็คือ ปรมาจารย์ชื่อดังจากทวีปแห่งปรมาจารย์คนนั้นหาวิธีลักลอบเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อได้แล้ว!
“คือ…”
ฟ่านเฉี่ยวฉูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูด
ครู่หนึ่งให้หลัง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้ากระจ่างพังทลาย กลายเป็นความว่างเปล่า
ทุกคนรีบเงยหน้ามอง เห็นสองร่างต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ ทุกครั้งที่ทั้งคู่ปะทะกัน ก็จะเกิดความว่างเปล่าที่ขยายตัวออกไปหลายลี้ สายฟ้าฟาดลงมาอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าโลกนี้คงจะถูกพละกำลังทำลายล้างเล่นงานจนราบคาบไปในไม่ช้า
“คุณเป็นใครกัน?” ชายผู้หนึ่งที่มีเลือดเปรอะเต็มศีรษะตะโกนเสียงลอดไรฟัน
“ท่านปู่ของคุณไง, จางเซวียน!” อีกคนตอบอย่างลิงโลด
“เขาคือจางเซวียนหรือ?”
ทุกคนถึงกับผงะ