Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1899
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1899
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1899 ต้นกำเนิดของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ
“ใช่!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้ารับ “ครั้งแรกที่ปรมาจารย์ขงมาถึงอาณาจักรคุนฉื่อ ที่นี่เป็นแค่เส้นทางธรรมดาสามัญที่เชื่อมระหว่างทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบน ในครั้งนั้น พลังงานหนักอึ้งที่อยู่บริเวณนี้ยังมีไม่มากนัก แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้ทันทีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากซึมซับมันเข้าไป และมีโอกาสที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะเอาชีวิตรอดจากการซึมซับพลังงานนี้ได้และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นคือต้นกำเนิดของไอ้โหด!”
“เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากการล่มสลาย นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเต็มใจสละชีวิตของเขา เพื่อใช้เป็นแกนกลางของค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้”
จางเซวียนพยักหน้า หวนนึกถึงอีกเรื่องที่เขาได้รับรู้ในอาณาจักรคุนฉื่อ “แล้วข้าวสาลีแตกยอดกับสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่าปกติของประชากรที่นี่ล่ะ?”
รู้ดีว่าจางเซวียนหมายถึงอะไร นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ “หลังจากการค้นคว้ายาวนานหลายปี ปรมาจารย์ขงพบว่าเหตุผลหลักที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเอาชีวิตรอดจากการซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นได้ก็เพราะสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่าของพวกมัน สิ่งนี้บ่งบอกชัดว่าการยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์มีความสำคัญมาก แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้ว่าการยกระดับสภาวะร่างกายของทั้งเผ่าพันธุ์นั้นย่อมต้องใช้เวลายาวนาน ไม่มีทางที่จะพัฒนาให้เห็นผลเด่นชัดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”
“กุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงพบว่ามีอานุภาพสูงในการยกระดับสภาวะร่างกายของทั้งเผ่าพันธุ์ก็คือภาวะโภชนาการ เขาจึงมอบหมายให้นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อกับเหล่าทายาทรับผิดชอบการพัฒนาพืชพันธุ์ที่ส่งผลอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งหลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายปี ในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะข้าวสาลีแตกยอด พืชชนิดนี้มีอานุภาพในการ ชำระและยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์ หลังจากการบ่มเพาะยาวนานหลายหมื่นปี สภาวะร่างกายของเหล่าสมาชิกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็พัฒนาขึ้นมาก แต่โชคร้ายที่พวกเราก็ยังห่างไกลหากจะเทียบชั้นกับสภาวะร่างกายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเรายังคงไม่อาจซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นโดยตรงได้!”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความสงสัยที่เคยมีก่อนหน้านี้ถูกขจัดไปหมดสิ้น
ไม่แปลกใจแล้วที่จู่ๆร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็หายตัวไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้อุทิศตัวให้กับการปกป้องฉนวนที่อยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทรั่วไหลออกมา
ในเวลาเดียวกัน คนเหล่านี้ก็มองว่าการบ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้นเป็นภารกิจของพวกเขา เมื่อไรก็ตามที่ประชากรในอาณาจักรคุนฉื่อสามารถปรับสภาพร่างกายจนซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ ศักยภาพของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
วิถีทางของคนกลุ่มนี้อาจแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการพัฒนาเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน!
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดต่อ “อาณาจักรคุนฉื่อคือโลกขนาดย่อมใบหนึ่งที่มีทรัพยากรจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสภาวะร่างกายของประชากรโดยทั่วไปที่แข็งแกร่งกว่าเดิม พลังจิตวิญญาณที่พวกเขาต้องการจึงเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำกัดคุณสมบัติของประชากรที่มีโอกาสฝึกฝนวรยุทธ นี่คือเหตุผลที่พวกเรามีการทดสอบและบททดสอบอยู่มากมาย เราสามารถมอบทรัพยากรให้กับผู้ที่มีความปราดเปรื่องและศักยภาพมากพอจะก้าวขึ้นสู่ขั้นสูงสุดได้เท่านั้น!”
ถึงนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะกล่าวว่าอาณาจักรคุนฉื่อคือโลกขนาดย่อม แต่เมื่อเทียบกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ขนาดของมันก็ใหญ่กว่าจักรวรรดิใหญ่ๆบางแห่งในทวีปแห่งปรมาจารย์เท่านั้น
เพื่อบ่มเพาะข้าวสาลีแตกยอด อาณาจักรคุนฉื่อจำเป็นต้องตัดขาดการเชื่อมต่อกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้นมันจึงต้องแบกรับความเสี่ยงของการที่พลังจิตวิญญาณอาจเหือดแห้งไปหมดหากมีนักรบหรือผู้ฝึกฝนวรยุทธอยู่มากเกินไป
ในอีกแง่หนึ่ง อาณาจักรคุนฉื่อก็เปรียบได้กับเรือนกระจก ไม่ว่าเรือนกระจกจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน ก็ไม่อาจพัฒนาไปจนถึงระดับที่พึ่งพาตัวเองได้เหมือนกับโลกภายนอกที่สามารถบ่มเพาะพืชพันธุ์ได้ในจำนวนไม่จำกัด
ในโลกเก่าของจางเซวียน เคยมีนักวิทยาศาสตร์สร้างเรือนกระจกขนาดมหึมาขึ้นและใส่พืชพันธุ์ต่างๆรวมทั้งสิงสาราสัตว์และแมลงอีกมากมายนับไม่ถ้วนไว้ในนั้นเพื่อทำการทดลอง แต่ภายในไม่ถึง 1 ปี สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็ล่มสลาย
เช่นเดียวกันกับอาณาจักรคุนฉื่อ มันไม่เหมือนทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่มีศักยภาพในการดูแลและจัดการตัวเอง อีกทั้งภารกิจในการบ่มเพาะประชากรที่มีวรยุทธขั้นจงซรือก็ถือเป็นงานใหญ่ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจำกัดจำนวนผู้ฝึกฝนวรยุทธ
ไม่อย่างนั้น ก็มีโอกาสที่อาณาจักรคุนฉื่อจะล่มสลายเสียก่อนที่ประชากรจะสามารถพัฒนาตัวเองจนถึงขั้นซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทจากมิติเบื้องบนได้
“ผมเชื่อว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว แต่ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในอาณาจักรคุนฉื่อ สำหรับตอนนี้ ทวีปแห่งปรมาจารย์ยังคงปลอดภัยอยู่ แต่ในอนาคตมันก็จะต้องเผชิญกับภัยคุกคามแบบเดียวกัน เมื่อจำนวนนักรบมีมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะถึงวันที่พลังจิตวิญญาณเหือดแห้งไปหมด” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งข้อสังเกต
จางเซวียนพยักหน้ารับ
ไม่ว่าสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศจะมีขนาดใหญ่หรือสมบูรณ์สักแค่ไหน ก็จะต้องถึงจุดแตกหักเข้าสักวันเมื่อทุกอย่างเริ่มเสื่อมสลาย
ในอีกแง่หนึ่ง การที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ซึมซับพลังจิตวิญญาณจากสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต่างอะไรกับเหลือบริ้นที่อยู่บนร่างของวัว ถึงเหลือบริ้นนับพันตัวจะไม่ส่งผลอะไรมากมายกับวัวตัวนั้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเหลือบริ้นหลายล้านหรือหลายพันล้านตัว?
ต่อให้วัวตัวนั้นจะแข็งแรงสักแค่ไหน ลงท้ายก็ย่อมแบกรับภาระไม่ไหวและเสียชีวิต!
เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำกัดการกระจายทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธ โดยอนุญาตให้ผู้ที่มีความปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นที่จะทำการฝึกฝนวรยุทธได้
บางที ในอนาคต ทวีปแห่งปรมาจารย์อาจถูกบีบให้ต้องตัดสินใจแบบเดียวกัน
“พูดก็พูดเถอะ นี่คือเหตุผลที่ทวีปแห่งปรมาจารย์สูญเสียความสามารถในการบ่มเพาะนักปราชญ์โบราณรุ่นใหม่ๆหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์หรืออาณาจักรคุนฉื่อ ไม่มีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้นอีกแม้แต่คนเดียวนับตั้งแต่หมื่นปีที่แล้วจนถึงการปรากฏของวิหารขงจื๊อเมื่อไม่นานมานี้ นี่คือเหตุผลหรือเปล่า?
“ก็ใช่ ประชากรที่มากเกินไปมีส่วนสำคัญ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ “อย่างที่คุณรู้ นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเป็นพลังกระตุ้นที่จำเป็นสำหรับนักรบคนไหนก็ตามที่ต้องการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในทวีปแห่งปรมาจารย์หรือแม้แต่อาณาจักรคุนฉื่อ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ โลกใบนี้ไม่มีศักยภาพในการสร้างนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณขึ้นเอง…มันเป็นพลังงานที่มีเฉพาะในมิติเบื้องบนเท่านั้น!”
“การสกัดกั้นพลังงานหนักอึ้งนั้นไว้ก็หมายความว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไม่สามารถ กระจายตัวเข้าสู่โลกของเราได้อีก ดังนั้น เมื่อมีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้น ลงท้ายก็ถึงจุดที่มันเหือดแห้งไปหมด”
“คุณกำลังจะบอกว่าพลังงานจิตวิญญาณหนักอึ้งนั้นมีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณบรรจุอยู่หรือ?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับเลิกคิ้ว
เขาซึมซับเศษเสี้ยวหนึ่งของมันไว้เมื่อตอนอยู่ที่สันเขา แต่ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย น้ำหนักของมันก็แทบจะทำลายทางเดินพลังปราณของเขาทั้งหมด ทำให้ต้องสกัดกั้นจุดชีพจรทุกจุดไว้
แท้ที่จริงแล้วมันบรรจุเอานิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไว้ภายในหรือ?
ด้วยความงุนงง จางเซวียนแอบซึมซับพลังงานนั้นเข้าไปเล็กน้อย
พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทยังคงหนักอึ้งเหมือนเดิม แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ภายใน
มันอาจมีปริมาณเพียงน้อยนิด แต่หากซึมซับเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานผู้นั้นก็จะฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์!
แต่นั่นก็หมายความว่าจะต้องซึมซับพลังงานเข้าไปในปริมาณมาก
ในเมื่อแม้แต่จางเซวียนยังซึมซับมันไม่ไหว ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรกับนักรบคนอื่นๆ
“เราไม่มีทางเลือก ถ้าไม่สกัดกั้นพลังงานจากมิติเบื้องบนไว้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดมันก็จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเราได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้วก่อนจะทำอะไรลงไป มันอาจไม่ก่อให้เกิดผลดีนัก แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้นเป็นข่าวดีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ตราบใดที่พวกเขายังรับมือกับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไม่ได้ ผลประโยชน์สูงสุดก็ยังตกเป็นของเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ดี และหากพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทรั่วไหลเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ทุกอย่างก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เหล่าเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนจะสามารถฝ่าปราการแห่งมิติลงมาสู่โลกได้ ภัยคุกคามที่มนุษย์ต้องเผชิญนั้นไม่อาจประเมินได้เลยทีเดียว
“เผ่าพันธุ์ปีศาจคือทายาทของเทพเจ้าอย่างที่ตำนานกล่าวไว้จริงหรือเปล่า?”จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้
เป็นเพราะศักยภาพของสภาพร่างกายเท่านั้นหรือที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ขณะที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทำได้?
“ผมก็ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง แต่มีบันทึกของปรมาจารย์ขงที่บอกไว้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจคือทายาทของเผ่าพันธุ์เทพเจ้า เขากล่าวว่าเพราะปริมาณพลังจิตวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดในทวีปแห่งปรมาจารย์ พวกมันจึงอ่อนแอลงมาก ขอแค่พวกมันได้รับพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์มากพอ ก็จะกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ดังเดิมได้โดยเร็ว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันขวับไปมองวัยรุ่นทั้ง 2 ที่ถูกขังอยู่และถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าสองตัวนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ ตอนที่ถูกจับตัวมา พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจธรรมดาสามัญ แต่เมื่อได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งของมิติเบื้องบน ก็แข็งแกร่งขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ยิ่งกว่านั้น รูปลักษณ์ของพวกเขายังแปรสภาพไปจนไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ด้วย”
ต่อให้มนุษย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดก็ต้องฝึกฝนวรยุทธหลายร้อยปีกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนี้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยการซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนั้นเข้าไป
ช่างน่าท้อใจเหลือเกิน!
“แต่ถ้าเทพเจ้าสามารถฝ่าปราการแห่งมิติลงมาสู่โลกของเราได้ เราก็น่าจะขึ้นสู่มิติเบื้องบนได้โดยใช้เส้นทางเดียวกัน ถูกไหม?” จางเซวียนถามขณะใจเต้นระทึก