Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1940
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1940
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1940 ยาเม็ดอมตะ
“ผมเข้าใจแล้ว ต่อให้เป็นเทคนิควรยุทธทั่วไปผมก็ไม่มีปัญหา…แต่ถ้าผมอยากขอดูเทคนิควรยุทธเหล่านั้นสักครู่หนึ่งแทนที่จะซื้อมัน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?” จางเซวียนถามอย่างตื่นเต้น
ถึงเขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีเทคนิควรยุทธในระดับขั้นนั้นเลย
ถ้าเขามีโอกาสได้เห็นหนังสือเทคนิควรยุทธของที่นี่สักหน่อย ประกอบกับมียาเม็ดอมตะขั้นต้นมากพอ ก็มั่นใจว่าน่าจะสำเร็จขั้นสูงสุดได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสำรวจทวีปที่ถูกลืมและหาตัวหลัวลั่วชิงได้ง่ายขึ้น
“ราคาจะแตกต่างกันไป ขึ้นกับระดับขั้นของเทคนิควรยุทธเหล่านั้น สำหรับเทคนิควรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นพื้นฐานที่สุดมีสนนราคาอยู่ที่เทคนิคละ 50,000 เหรียญนิรันดร์ แต่ผมเกรงว่าเทคนิควรยุทธของเรามีไว้ขายเท่านั้น เราไม่มีให้ดู!”
“50,000 เหรียญนิรันดร์สำหรับหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นพื้นฐานที่สุด?” จางเซวียนอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง
เขากำลังคิดจะซื้อหนังสือเทคนิควรยุทธสักตั้งหนึ่งหากราคาไม่แพงเกินไป ไม่อยากเชื่อเลยว่าราคาจะสูงลิ่วขนาดนี้
หากประมาณคร่าวๆ เขาต้องใช้หนังสือราว 1,000 เล่มเพื่อประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ของวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ซึ่งนั่นจะต้องใช้เงินถึง 50 ล้านเหรียญนิรันดร์! ต่อให้เขา เข้าร่วมการดวลบนสังเวียนประลองจนขาดใจตายไปข้าง ก็คงหาเงินไม่ได้มากขนาดนั้น!
อีกอย่าง เขาเพิ่งท้าทายคนกลุ่มใหญ่ไป ไม่รู้เลยว่านักสู้กลุ่มใหม่จะพร้อมตกเป็นเหยื่อของเขาเมื่อไหร่
ดูเหมือนการซื้อหาหนังสือเทคนิควรยุทธที่นี่จะไม่ใช่เรื่องง่าย
“หรือว่าเราต้องเข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งจริงๆ?” จางเซวียนกุมขมับอย่างปวดใจ
ทั้ง 6 สำนักย่อมมีห้องสมุดของตัวเอง ที่บรรจุเทคนิควรยุทธเอาไว้นับไม่ถ้วน จางเซวียนน่าจะถ่ายโอนหนังสือหลายพันเล่มที่นั่นได้อย่างง่ายดาย…เพราะทรัพยากรที่มีพร้อมสรรพแบบนี้ นักรบมากมายจึงปรารถนาจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทั้ง 6 สำนัก
เหมือนที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดไว้ ด้วยระดับความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขา ไม่ใช่เรื่องยากที่จางเซวียนจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน อันที่จริง เขาเข้าร่วมกับสำนักใดสำนัก 1 ใน 6 สำนักได้อย่างง่ายดาย และมั่นใจว่าจะไต่อันดับได้อย่างรวดเร็วด้วย แต่ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าของฟรีอยู่ในโลก
การเข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งย่อมหมายความว่าเขาจะต้องทำตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับของสำนักนั้น ซึ่งหากเป็นแค่กฎเกณฑ์ปลีกย่อยไม่กี่ข้อก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหนึ่งในกฎเกณฑ์เหล่านั้นกีดขวางไม่ให้เขาตามหาหลัวลั่วชิง หรือสำนักนั้นเป็นปฏิปักษ์กับตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เขาก็คงต้องบอกลา
เดี๋ยวก่อน…ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน และเราติดตามเขาในฐานะคนรับใช้ล่ะ? แบบนั้นน่าจะดีเหมือนกัน ใช่ไหม? จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น
ว่ากันว่าจะมีการคัดเลือกที่เมืองชวนเจียงในอีก 2 วันนับจากนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เหล่านักรบได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินในฐานะศิษย์สายตรงระดับล่าง ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนแสดงศักยภาพได้ดีพอ ก็น่าจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ซึ่งศิษย์สายตรงฝ่ายนอกส่วนใหญ่จะมีคนรับใช้ประจำตัวเพื่อคอยจัดการธุระที่จำเป็นต่างๆ ดังนั้น ขอแค่ตั้นเฉี่ยวเทียนทำสำเร็จ จางเซวียนก็จะได้เข้าสู่สำนักดาบเมฆเหิน
ทันทีที่เขาได้เข้าไป ก็จะแสวงหาสิ่งที่ต้องการได้ และในเวลาเดียวกันก็จะได้ช่วยชี้แนะการเล่าเรียนให้ศิษย์สายตรงของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่หลงทาง ในฐานะคนรับใช้ของศิษย์สายตรงฝ่ายนอก เขาไม่สำคัญมากพอจะเป็นที่สนใจของสำนักดาบเมฆเหิน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่ถูกกฎเกณฑ์เหล่านั้นควบคุมเช่นกัน
เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 3 ตัว!
“เอาตามนี้!”
จางเซวียนใคร่ครวญจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาจากการกระทำของเขา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและออกจากหอนิรันดร์
…..
ขณะที่จางเซวียนตัดสินใจได้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับคนอื่นๆที่อยู่ในห้องลับก็ตัดสินใจเช่นกัน
“พวกเราต้องมุ่งหน้าไปเมืองชวนเจียงเดี๋ยวนี้! ขอผมดูก่อน… นี่ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว ด้วยอสูร ความเร็วสูงสุดเท่าที่เรามี ก็น่าจะไปถึงที่นั่นได้ตอนบ่าย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรรอช้า จัดการคัดเลือกที่เมืองชวนเจียงวันนี้เสียเลย! เจียงเหอ, ผมอยากให้คุณป่าวประกาศให้ผู้คนในเมืองชวนเจียงรู้ว่าเราจะจัดการคัดเลือกศิษย์สายตรงทันทีเมื่อถึงรุ่งเช้า ไม่จำเป็นต้องรอพวกเรา เข้าใจใช่ไหม? เรื่องนี้จะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ เราต้องหาตัวเจ้าโลกให้พบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสั่งการอย่างเคร่งเครียด
“ขอรับ” หัวเจียงเหอตอบพร้อมกับพยักหน้า
การนำอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องกลับสู่สำนักสำคัญกว่าการได้ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกที่มีความสามารถในระดับทั่วๆไปนับร้อย หากเขาปล่อยให้เจ้าโลกหลุดมือไปเป็นของสำนักอื่น จะต้องถูกลงโทษอย่างหนักข้อหาย่อหย่อนความรับผิดชอบ
“ส่วนพวกคุณที่เหลือ เก็บข้าวของได้เลย เราจะออกเดินทางในอีก 5 นาที เข้าใจไหม?”
ฟึ่บ!
ทุกคนหายวับไปจากหอนิรันดร์
…..
จางเซวียนกลับถึงห้อง เขารีบเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อนำแหวนเก็บสมบัติและยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่เพิ่งซื้อออกมา
ยาเม็ดอมตะขั้นต้นมีสีเหลือบเงิน อัดแน่นไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แค่สูดดมครั้งเดียวก็เกินพอจะทำให้ทางเดินพลังปราณของผู้นั้นสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นราวกับได้พบโอเอซิสในทะเลทราย
รู้ดีว่าการฟื้นฟูพละกำลังเป็นเรื่องเร่งด่วนสูงสุด จางเซวียนกลืนยาลงไปโดยไม่ลังเล
ทันทีที่ยาเม็ดอมตะขั้นต้นตกถึงท้อง จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วแขนขา พลังงานบริสุทธิ์ที่มีหน้าตาเหมือนปรอทแปรสภาพเป็นพลังปราณเข้มข้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าพลังปราณที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นทรงพลังกว่ามาก ด้วยความเข้มข้นของมัน เทคนิควรยุทธที่เขาสำแดงออกมาก็น่าจะทรงพลังกว่าเดิม
ความจุของจุดตันเถียนของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง แต่คุณภาพของพลังปราณที่จางเซวียนมีก็แข็งแกร่งกว่าเแต่ก่อนมาก นั่นหมายความว่าเขาจะสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้ออกมาได้เยี่ยมยอดกว่าเดิม
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญในมิติเบื้องบนล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าธรรมดา ถึงขนาดที่เขา จะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อต้องทำทุกวิถีทาง เพราะไม่เพียงแต่พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทจะช่วยบ่มเพาะสภาวะของคนเหล่านั้น มันยังมีบทบาทสำคัญในการบ่มเพาะพลังปราณด้วย
หลังจากฝึกฝนวรยุทธไปได้ระยะหนึ่ง พลังงานที่บรรจุอยู่ในยาเม็ดอมตะขั้นต้นก็ถูกใช้ไปจนหมด จางเซวียนระบายลมหายใจยาว จากนั้นก็ค่อยๆลืมตา
แม้ยาเม็ดอมตะขั้นต้นจะมีพลังงานเข้มข้น แต่ก็ยังไม่มากพอจะทำให้เขาฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างสมบูรณ์
“เท่าที่เห็น เราคงต้องกินยาอีกเม็ดหนึ่ง ถึงจะฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิม…” จางเซวียนพึมพำ
ถ้าเขาต้องกินยาเม็ดอมตะขั้นต้นถึง 2 เม็ดเพียงเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง แล้วจะต้องกินยามากมายขนาดไหนหากต้องการฝ่าด่านวรยุทธ?
กระบวนการฝึกฝนวรยุทธช่างเหมือนกับหลุมดำที่ดูดเงินไม่รู้จักจบสิ้น ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนก็ไม่มีวันพอ!
จางเซวียนชำเลืองมองหน้าต่างและพบว่าเช้าแล้ว ทันทีที่เดินออกจากห้อง ก็เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังคงฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอย่างระมัดระวัง
แม้ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่การเคลื่อนไหวของตั้นเฉี่ยวเทียนก็ไม่แสดงอาการอ่อนล้า สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไปก็คือกระบวนท่าของเขาที่มั่นคงขึ้น การขับเคลื่อนพลังปราณก็ราบรื่นกว่าแต่ก่อนมาก
“ไม่เลว ผมเห็นแล้วว่าคุณฝึกฝนอย่างหนัก” แค่ชำเลืองมองแวบเดียว จางเซวียนก็ดูออกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อนแม้แต่น้อย
อันที่จริง ที่จางเซวียนสั่งการให้ตั้นเฉี่ยวเทียนฝึกฝนศิลปะเพลงดาบก็ไม่ใช่เพื่อลงโทษอีกฝ่าย แต่เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้รวดเดียวถึง 6 ขั้นในวันนั้น ซึ่งการฝ่าด่านวรยุทธอย่างพรวดพราดจะทำให้สมองและปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของเขาไม่อาจปรับตัวเข้ากับพละกำลังที่ได้มาใหม่ ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนให้มากพอเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง
แม้การฝึกฝนกระบวนท่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายพันครั้งจะน่าเบื่อและเป็นการทดสอบความอดทนของผู้นั้นอย่างมาก แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของตั้นเฉี่ยวเทียนที่จะควบคุมกระแสพลังปราณในร่างของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้จะทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนควบคุมพละกำลังได้ดีและนำพาเขาไปสู่ความคุ้นชินในพละกำลังที่ได้มาใหม่
ซึ่งก็แน่นอนว่าตั้นเฉี่ยวเทียนบรรลุเป้าหมายแล้ว
ด้วยการฝึกฝนเพียงคืนเดียว เขาก็กลายเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 อย่างสมบูรณ์
“ท่านอาจารย์!”
ได้ยินเสียงเปิดประตู ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบเดินเข้ามา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและทักทายจางเซวียน
ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ใช่คนโง่ เขาเองก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แล้วจะมองเจตนาของท่านอาจารย์ไม่ออกได้อย่างไร?
จางเซวียนรีบพยุงตั้นเฉี่ยวเทียนให้ลุกขึ้น แต่ในตอนนั้น หัวสมองของเขาก็กระตุก
หน้าหนังสือสีทองหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า
ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเอาชนะใจตั้นเฉี่ยวเทียนในฐานะศิษย์สายตรงได้สำเร็จ
นี่หมายความว่าหน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้นในมิติเบื้องบนก็ได้ ช่างเป็นข่าวดีเหลือเกิน! จางเซวียนคิดอย่างลิงโลด
เขาคิดว่าสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปอาจมีผลขัดขวางประสิทธิภาพบางอย่างของหอสมุดเทียบฟ้า แต่โชคดีที่ดูจะไม่เป็นอย่างนั้น
หน้าหนังสือสีทองคือไพ่ไม้ตายที่สำคัญ ขอแค่เขามีมันอยู่ในมือ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว
“คุณพัฒนาศิลปะเพลงดาบที่ผมถ่ายทอดให้คุณไปได้แค่ไหน แสดงให้ผมดูหน่อย” จางเซวียนพูดยิ้มๆขณะพยุงตั้นเฉี่ยวเทียนให้ลุกขึ้น
จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิค ‘การโยนดาบ’ ที่เขาคิดค้นขึ้นเมื่อวานในหอนิรันดร์ให้กับตั้นเฉี่ยวเทียน และอยากรู้ว่าในชั่วข้ามคืน ศิษย์สายตรงของเขาจะฝึกฝนไปได้แค่ไหน
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
ตั้นเฉี่ยวเทียนออกเดิน 2-3 ก้าวก่อนจะสะบัดข้อมือเบาๆ
ฟิ้วววว!
ดาบของเขาลอยไป
ถึงความเร็วในการโยนดาบของเขาจะยังไม่เท่ากับจางเซวียน แต่ก็เร็วพอจะทำให้เกิดภาพติดตาขึ้นมากมาย ในชั่วพริบตา ดาบนั้นก็ปักเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ต้นไม้ใหญ่นั้นระเบิดทันที เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ในบริเวณที่มันเคยตั้งอยู่
“ไม่เลว คุณเข้าถึงระดับขั้นต้นแล้ว ถ้าอยากเพิ่มความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบให้มากขึ้น ก็ควรใช้มันในการต่อสู้ ศึกษาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้อย่างถี่ถ้วนก่อนจะสำแดงกระบวนท่าใดๆออกไป ถ้าคุณทำได้ถึงขนาดที่มองเห็นจุดอ่อนของในกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ได้หลายข้อด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว ก็จะเข้าถึงระดับการประสบความสำเร็จโดยภาพรวมในเทคนิคนั้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีนักรบคนไหนในรุ่นเดียวกันที่เทียบชั้นกับคุณได้อีก!” จางเซวียนพูด