Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1989
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1989
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1989 แล้วเธอตามหาผมทำไม?
โชคดีที่เหรียญสำนักดาบที่เราได้มาถูกเก็บไว้ในบัตรนิรันดร์ ซึ่งไม่อาจสาวถึงมันได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อถอนเงิน จางเซวียนคิดขณะนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของ ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ ออกมาทำลาย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่านักรบจะถูกสังหารในหอนิรันดร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเก็บเงินไว้ในบัตรนิรันดร์แทน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะยังสามารถรับเงินได้ ต่อให้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลใช้งานไม่ได้แล้วก็ตาม
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นเอง ชายผู้เคยชี้มือชี้ไม้ใส่เขาก็ตามมาทัน
จางเซวียนมองข้ามไหล่ชายผู้นั้นไป แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่มีใครตามมา เรื่องนี้ทำให้เขาทั้งโล่งอกและงุนงง
ในเมื่อหมอนั่นชี้มือชี้ไม้บอกใครๆว่าตัวเขาคือผมน่ะถ่อมตัว ก็ควรจะทำให้ผู้อาวุโสหวงเหยากับคนอื่นๆตามมาด้วยไม่ใช่หรือ?
ทำไมหมอนั่นถึงมาคนเดียว?
คนพวกนั้นกลัวเขา หรือว่าอะไร?
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าพวกนั้นจะมีแผนอะไร เขาก็จะยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธ! เพราะถึงอย่างไรเขาก็หักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทิ้งไปแล้ว ไม่มีทางยืนยันตัวตนของเขาได้
“พี่ชาย คุณวิ่งเร็วเหลือเกิน…”
เมื่อตามจางเซวียนทัน ศิษย์สายตรงผู้นั้นตัวงอและหอบแฮ่กด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ถึงจางเซวียนจะตั้งใจยอมลดสปีดของตัวเองลงเพื่อไม่ให้ใครๆรู้สึกถึงความผิดปกติในตัวเขา แต่มันก็ยังเป็นความเร็วที่ไม่ใช่ใครจะตามทันกันได้ง่ายๆ
“โชคดีเหลือเกินที่ผมจำคุณได้เป็นคนแรก คราวนี้ผมเจอขุมทรัพย์แล้ว…”
ทั้งๆที่ยังเหนื่อย แต่ศิษย์สายตรงผู้นั้นก็มองจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายราวกับนักล่าสมบัติที่ได้พบสมบัติเข้าโดยบังเอิญ
“จำผมได้? อย่าพูดเหลวไหลน่ะ ผมไม่มีทางหล่อเหลาและดุดันเหมือนผมน่ะถ่อมตัวได้หรอก เขาเหมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้า ส่วนผมเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นหยุดพล่ามเลอะเทอะเสียที อาจมีใครตายเพราะเรื่องนี้ก็ได้!” จางเซวียนโบกมืออย่างพยายามจะปัดให้พ้นตัว
“ผมน่ะถ่อมตัว? คุณพูดบ้าอะไร?” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นงุนงงกับคำพูดของจางเซวียน
“ฮะ?” จางเซวียนตัวแข็ง “แล้วมันเรื่องอะไรคุณถึงวิ่งตามผม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะคุณคิดว่าผมคือผมน่ะถ่อมตัว ทำไมถึงไล่ล่าผมอย่างไม่ลดละขนาดนั้น? คุณทำให้ผมกลัวจนต้องหักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทิ้ง รู้หรือเปล่า?
“คุณเพิ่งขายยาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ศิษย์พี่ไป๋เหรินชิงใช่ไหม? เธอสั่งการให้พวกเราตามหาคุณ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องถูกซ้อมอย่างหนัก…ดูรอยฟกช้ำบนตัวผมสิ ฝีมือเธอทั้งนั้น! ถ้าผมไม่รีบหาตัวคุณให้เจอล่ะก็ เธอจะต้องทรมานพวกเราถึงตายแน่…” ศิษย์สายตรงผู้นั้นชี้ร่างของตัวเองและร่ำร้อง
เมื่อมองใกล้ๆ จางเซวียนเห็นทันทีว่าอีกฝ่ายมีบาดแผลทั่วตัวและร่ำๆจะปล่อยโฮออกมา
ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็ควรจะพูดเสียตั้งแต่แรก! รู้หรือเปล่าว่าความหวาดผวาเมื่อครู่นี้น่ะทำให้ผมอายุสั้นไปกี่ปี?
ผมถึงกับต้องหักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล มันมีมูลค่าตั้ง 20 เหรียญสำนักดาบ คุณก็รู้!
กลับกลายเป็นว่าหวาดกลัวไปโดยเปล่าประโยชน์
โชคดีที่ผมไม่ได้เสียอะไรไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องถลกหนังหัวคุณทั้งเป็นแน่
“แล้วเธอตามหาผมทำไม?” จางเซวียนถาม
“ผมก็ไม่แน่ใจ ดูเหมือนยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณจะใช้ได้ผลดี เธอจึงอยากซื้อเพิ่มอีกสัก 2-3 ขวด” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นตอบ
“เธออยากซื้อยาเพิ่ม?” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อในที่สุดก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกอย่างจะยังคงราบรื่นหากตัวตนของเขาในฐานะผมน่ะถ่อมตัวยังไม่ถูกเปิดเผย ส่วนยาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เขาขายไปนั้น แน่นอนว่ามันใช้ได้ผลดี ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เยียวยาตัวเขาได้รวดเร็วอย่างที่เห็น
“ใช่แล้ว” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นพยักหน้า “ผมคงต้องรบกวนคุณให้ไปพบศิษย์พี่หลิวลู่จี่พร้อมกับผม เขาคือคนเดียวที่ติดต่อศิษย์พี่ไป๋ได้”
ตอนแรก จางเซวียนคิดจะปฏิเสธศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้น เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะลำบากยุ่งยาก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็พลันแวบเข้ามา เขาตั้งคำถาม “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ศิษย์พี่ไป๋เหรินชิงคือหลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่ใช่ไหม เธอมีสถานภาพสูงส่งเอาการในบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ใช่หรือเปล่า?”
ข่าวคราวของไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้กระฉ่อนจนมาถึงแม้กระทั่งตัวเขา
เพราะมีทั้งตำแหน่งและอิทธิพล เธอจึงน่าจะช่วยเขาให้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ย่อมดีกว่าการที่เขาจะเดินทางไปยังหุบเขาฝนโปรย
“ใช่ เธอมีสถานภาพสูงส่งมากในสำนัก ถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเธอ ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณได้การยอมรับจากเธอนะ เธอถึงกับเจาะจงสั่งการพวกเราให้มาตามหาคุณ ผมเชื่อว่า เธอให้ความสำคัญกับคุณมาก และนั่นจะเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ขยับสถานภาพของตัวเองให้สูงขึ้น” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นตอบด้วยแววตาที่บ่งบอกความอิจฉา “เมื่อคุณได้ดิบได้ดีแล้ว ขอแค่อย่าลืมผมก็พอ”
ก็เพราะชายผู้นี้ที่ทำให้ไป๋เหรินชิงซ้อมพวกเขาจนหมอบ เท่าที่เห็น ดูเหมือนไป๋เหรินชิงตัดสินใจแล้วที่จะปกป้องอีกฝ่าย ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาไม่กล้าแสดงอาการกระด้างกระเดื่องต่อชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เมื่อเข้าใจเรื่องราวดีแล้ว จางเซวียนตาโตก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
เขาตามหลังศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นไป ไม่ช้าก็มาถึงบ้านพักของหลิวลู่จี่
“คุณคือผู้ที่ขายยาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ศิษย์พี่ไป๋ใช่ไหม?”
เมื่อหลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงเห็นจางเซวียนอายุน้อยกว่าพวกเขาและมีใบหน้าที่ไม่คุ้นตา ก็ชะงักไปเล็กน้อย
“ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายคือสิ่งที่ผมได้มาโดยบังเอิญ และถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว” จางเซวียนพูด “ผมพบว่ามันมีอานุภาพในการรักษาบาดแผลและอาการบาดเจ็บแทบทุกชนิด จึงถือว่ามันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดของผม เพราะผมมีความต้องการใช้เงินเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องขายมัน ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะได้ช่วยเหลือศิษย์พี่ไป๋”
จางเซวียนรู้ดีว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างไร เพราะไม่มีทางเลือก เขาจึงจำเป็นต้องขายน้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้าตงฉู่ แต่ก็รู้ดีเกินกว่าจะเปิดเผยที่มาที่แท้จริงของมัน แถมยังพูดกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสิ่งนี้มีปริมาณจำกัด เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจเกิดความยุ่งยากตามมาถ้าหากใครก็ตามที่ได้รับบาดเจ็บแห่กันมาหาเขาเพื่อขอซื้อยา
“ผมแจ้งเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่ไป๋ทราบแล้ว เธอจะมาถึงในอีกไม่ช้า ผมหวังว่าคุณจะยังมียาฟื้นฟูสภาพร่างกายนั่นเหลืออยู่นะ ไม่อย่างนั้น เกรงว่าแม้แต่ตัวผมก็คงปกป้องคุณไม่ได้…” หลิวลู่จี่พูด
“อ๋อ ผมยังมีเหลืออยู่” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
“คุณรอศิษย์พี่ไป๋อยู่ที่นี่แหละ ผมยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ ขอตัวก่อน” หลิวลู่จี่พูดก่อนจะบ่ายหน้าไปยังลานบ้าน
การผูกผมน่ะถ่อมตัวสังหารทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก และรู้ตัวทันทีว่ายังคงอ่อนด้อย ด้วยเหตุนี้ แม้จะหวาดกลัวไป๋เหรินชิงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
หลิวลู่จี่ก้าวเข้าสู่ลานบ้าน เขาชักดาบออกมาและเริ่มต้นแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องศิลปะเพลงดาบกับหวังเจี้ยนตงที่รอเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว
“นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมา” หวังเจี้ยนตงพูดขณะกวัดแกว่งดาบและปลดปล่อยกระแสดาบฉีสายหนึ่ง
“ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ผมว่ามันควรจะเป็นแบบนี้มากกว่า” หลิวลู่จี่ขมวดคิ้วขณะสำแดงอีกกระบวนท่าหนึ่ง
ด้วยการแลกเปลี่ยนความรู้ของทั้งคู่ หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพยายามทำความเข้าใจและเลียนแบบกระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัวขณะวิเคราะห์ข้อบกพร่องของตัวเองไปด้วย
เห็นกระบวนการทั้งหมด จางเซวียนพึมพำพร้อมกับพยักหน้า “พวกเขาเก่งกาจไม่เบา…”
หากมองแค่ความเก่งกาจเพียงอย่างเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เหนือชั้นกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนมาก แต่การสังเกตเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้วิเคราะห์ได้
ศิลปะเพลงดาบของเขาล้ำลึกและซับซ้อนเกินกว่าที่จะตีความออกมาง่ายๆ ขนาดไป๋เฟิงก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ จึงออกจะยากอยู่สักหน่อยที่ศิษย์สายตรงทั้งคู่จะเข้าถึงแก่นสารในศิลปะเพลงดาบของเขา
ด้วยเหตุนี้ ยิ่งหารือถกเถียงกันมากขึ้นเท่าไหร่ ทั้งคู่ก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ในฐานะครูบาอาจารย์ จางเซวียนตาค้างขณะคลื่นโทสะแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
เขาแทบทนไม่ไหวที่จะเห็นทั้งคู่ออกทะเลไปไกลเรื่อยๆ แต่หากพูดอะไรออกไป ก็สุ่มเสี่ยงกับการที่ตัวตนที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย เขาจึงได้แต่นั่งขยุกขยิกอยู่กับที่อย่างไม่เป็นสุข ขณะพยายามไม่ใส่ใจในสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดกัน
ในตอนนั้นเอง เสียงกู่ร้องของอสูรตัวหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ ไป๋เหรินชิงมาถึงแล้ว
เห็นภาพนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
โชคดีที่เธอมาถึงเสียที ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องยอมแพ้และตำหนิสองคนนั่นชุดใหญ่
นำศิลปะเพลงดาบของเขามาบิดเบือนถึงขนาดนั้น…เขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอย่างไร
ทันทีที่ไป๋เหรินชิงกระโจนลงจากหลังอสูร เธอก็จำจางเซวียนได้ทันทีและรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้น “ในที่สุดฉันก็พบคุณ! คุณยังมียาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่คุณขายให้ฉันเมื่อตอนอยู่ที่ตลาดหรือเปล่า?”
ด้วยยาขวดเล็กขวดนั้น ท่านปู่ของเธอแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเธอได้ยากลับไปมากขึ้น ท่านปู่จะต้องฟื้นตัวและแข็งแรงดังเดิมแน่!
“ตอนนี้ผมเหลืออีกแค่ 3 ขวด…” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำขวดหยกที่เหลือออกมา
“ฉันเหมาหมด!” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างตื่นเต้น เธอนำขวดหยกมาพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ตั้งคำถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไม่ทราบว่า…ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายพวกนี้…คุณผสมเอง หรือได้มาจากที่ไหน?”
“ผมได้มาโดยบังเอิญระหว่างการสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งหนึ่ง นี่คือทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่ ถ้าผมไม่ร้อนเงินล่ะก็ จะไม่มีทางขายมันเด็ดขาด” จางเซวียนพูด
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้อะไรเลย
“น่าเสียดาย…” ไป๋เหรินชิงถอนใจ
เธอหวังว่าจะหาซื้อมันได้มากกว่านี้ จึงอดถอนใจด้วยความผิดหวังไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอรีบนำเงิน 60 เหรียญสำนักดาบออกมายื่นให้จางเซวียน
แต่แทนที่จะรับเงินนั้นไป จางเซวียนมองหน้าเธอและตั้งคำถาม “ศิษย์พี่ไป๋ ตอนนี้ผมไม่อยากได้เงินแล้ว แต่มีบางอย่างที่ผมอยากขอร้องคุณ”
คำนั้นทำให้อารมณ์ที่กำลังดีๆของไป๋เหรินชิงสลายไปทันที เธอขมวดคิ้วและย้อนถามอย่างหงุดหงิด “เรื่องอะไรล่ะ?”
ถ้าอีกฝ่ายรับเงินของเธอไป เรื่องนี้ก็เป็นอันหายกัน แต่ถ้าหมอนี่ขอร้องให้เธอทำอะไรให้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยการใช้เงินเพียงอย่างเดียว
แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรเรื่องจริงก็คือยาของเขาช่วยชีวิตท่านปู่ของเธอไว้ จึงถือว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ ตราบใดที่คำขอนั้นไม่เกินเลย เธอก็จะพยายามช่วยเขาให้ถึงที่สุด