Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1990
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1990
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1990 แล้วพบอะไรบ้างหรือยัง?
“ศิษย์พี่ไป๋ คุณคงดูออกว่าระดับวรยุทธของผมคือนักปราชญ์โบราณขั้น 4 โลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้ฝ่าด่านวรยุทธแล้ว” จางเซวียนพูด
“คุณต้องการให้ฉันช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธ?” ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้ว “การพัฒนาไปสู่วรยุทธขั้นเสมือนอมตะคือความแตกต่างระหว่างศิษย์สายตรงฝ่ายในกับศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด มูลค่าของมันน่ะไม่ใช่แค่ 60 เหรียญสำนักดาบหรอกนะ”
“ผมเข้าใจ และไม่ได้คิดจะขอให้คุณทำอะไรมากมายขนาดนั้น” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ปัญหาที่ผมกำลังเผชิญตอนนี้ก็คือการขาดแคลนความรู้ที่ใช้อ้างอิง ผมเข้าไปค้นหาในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอสิ่งที่ผมต้องการ ดังนั้นผมจึงหวังว่าบางทีคุณอาจช่วยพาผมเข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้สักพัก ผมขอไม่มากหรอก สัก 6 ชั่วโมงก็น่าจะพอ!”
“คุณอยากเข้าไปในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ไป๋เหรินชิงกำลังสงสัยว่าจางเซวียนจะร้องขออะไร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้
เธอพูดไปแล้วว่าการฝ่าด่านวรยุทธนั้นมีมูลค่ามากกว่า 60 เหรียญสำนักดาบ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานขอร้องแบบนั้น เธอก็จำเป็นจะต้องมอบยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธเสมือนอมตะให้เขาเพื่อเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ
และถ้าจำเป็น เธออาจต้องทำถึงขั้นถ่ายทอดประสบการณ์บางส่วนของเธอให้อีกฝ่ายเพื่อช่วยในการฝ่าด่านวรยุทธของเขาด้วย
แต่แทนที่จะร้องขอแบบนั้น สิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นแค่การได้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง?
แม้แต่ไป๋เหรินชิงก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบเจ้าหนุ่มถังแตกคนนี้หากทำเพียงแค่นั้นเพื่อแลกเปลี่ยนกับยาที่แสนล้ำค่า จึงตอบกลับไปว่า “เลือกอย่างอื่นเถอะ เรื่องนั้นมันง่ายเกินไป”
จางเซวียนประสานมือ “นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ!”
สำหรับเขา ไม่มีอะไรจะล้ำค่าไปกว่าหนังสือ
ขอแค่เขามีหนังสือมากพอ การฝ่าด่านวรยุทธก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ไป๋เหรินชิงมองจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”
ทุกคนรู้ดีว่าความรู้นั้นหาได้จากหนังสือ แต่การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยยากและสิ้นเปลืองเวลา คนส่วนใหญ่จึงพยายามหาทางลัด ยากเหลือเกินที่จะได้พบใครสักคนที่เห็นคุณค่าของการอ่านมากขนาดนี้
“ศิษย์พี่ไป๋!”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกจากบริเวณนั้นไป หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และทักทายไป๋เหรินชิง
“พวกคุณยังศึกษาศิลปะเพลงดาบของผมน่ะถ่อมตัวอยู่หรือเปล่า?” ไป๋เหรินชิงตั้งคำถาม
เธอได้ทบทวนการต่อสู้ระหว่างตัวเธอกับผมน่ะถ่อมตัวที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์หลายต่อหลายครั้งหลังจากพ่ายแพ้ยับเยินในคราวนั้น ซึ่งเมื่อครู่นี้ ตอนที่เธอลงจากหลังอสูร ก็ได้เห็นทั้งคู่กำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ จึงรู้ทันทีว่าพวกเขากำลังพยายามทำอะไร
“ใช่แล้ว” หลิวลู่จี่พยักหน้า
“แล้วพบอะไรบ้างหรือยัง?” ไป๋เหรินชิงถาม
“ก็พอได้บ้าง แต่พวกเรายังมีข้อสงสัยมากมายที่อยากขอปรึกษาคุณ, ศิษย์พี่ไป๋” หลิวลู่จี่ตอบ
เขาอาจเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่สาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นถึงศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและหลานสาวของ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ แถมยังมีความเป็นไปได้สูงที่เธออาจเป็นนักรบขั้นอมตะตัวจริง ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเธอน่าจะสูงกว่าเขามาก
“บอกมาเลย!” ไป๋เหรินชิงพูด
“การฟาดฟันในแนวราบที่ผมน่ะถ่อมตัวแสดงออกมานั้นทั้งลื่นไหลและเรียบง่าย แม้จะมีความเร็วไม่มาก แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบเลี่ยงมัน หวังเจี้ยนตงกับผมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กันระยะหนึ่งแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังมันได้…”
ขณะที่หลิวลู่จี่พูด เขาก็ชูดาบขึ้นและฟาดฟันในแนวราบ เขาสำแดงกระบวนท่านั้นซ้ำถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งก็ดูจะไม่ใกล้เคียงกับท่วงท่าของผมน่ะถ่อมตัวเลย
เห็นภาพนั้น จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก
นั่นไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบ เป็นแค่การขยับดาบแบบง่ายๆ การฟาดฟันดาบในแนวราบทำให้เขา ทำลายกระแสดาบฉีที่พุ่งเข้ามาได้ง่าย พร้อมกับปัดป้องการโจมตีได้พร้อมๆกันด้วย ทำให้ประหยัดพลังงานได้มาก กุญแจของเทคนิคนี้ไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว แต่อยู่ที่องศาและความหนักหน่วงของกระแสดาบฉี
มันเป็นแค่การเคลื่อนไหวแบบง่ายๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจทั้งๆที่ใช้เวลาเนิ่นนานในการศึกษามัน
ไม่น่าเชื่อว่าเขาเคยเรียกคนเหล่านี้ว่าอัจฉริยะ!
“เทคนิคนั้นประสานเอาการโจมตีและการป้องกันตัวไว้ด้วยกันได้อย่างไร้ที่ติ มีแต่นักดาบที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นถึงจะทำความเข้าใจมันได้ ไม่แปลกหรอกที่พวกคุณยังไม่เข้าใจ” ไป๋เหรินชิงพูด
“ขนาดฉันแลกเปลี่ยนความรู้กับท่านปู่เฟิงแล้ว ก็ยังออกจะสับสนกับแนวคิดของมัน แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ก็พอจะสำแดงมันได้บ้าง”
หลังจากพูดจบ ไป๋เหรินชิงก็ชูดาบขึ้นและปล่อยการฟาดฟันในแนวราบออกมา แม้จะมีพละกำลังไม่เท่ากับกระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัว แต่ก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 50%
“การโจมตีนี้ไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบ เป็นแค่กระบวนท่าแบบง่ายๆที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมา” ไป๋เหรินชิงทบทวนสิ่งที่ท่านปู่เฟิงบอกไว้
“น่าทึ่งมากที่แม้แต่การเคลื่อนไหวง่ายๆของเขายังทรงพลังขนาดนี้ ฉันสงสัยเหลือเกินว่าผมน่ะถ่อมตัวสำเร็จความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบระดับไหน ถ้าพวกคุณหาเจอว่าเขาเป็นใครล่ะก็ รายงานฉันทันทีนะ เขาคือคนคนเดียวที่ฉันจะยกย่องไปตลอดชีวิต ฉันสาบานกับสวรรค์ไว้แล้วว่าต่อไปฉันจะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้!”
“แต่งงาน?”
จางเซวียนหน้าถอดสีขณะถอยกรูดอย่างพรั่นพรึง นี่มันเกินไป!
พี่สาว คุณจะมาล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ
หัวใจของผมมันรับไม่ไหว!
พูดกันตามตรง ไป๋เหรินชิงเป็นสาวสวยคนหนึ่ง ช่วงขาเรียวยาวของเธอดึงดูดสายตาใครต่อใคร ทำให้ชายหนุ่มมากมายเก็บไปฝันถึง
แต่เขาคือชายที่มีคนรักแล้ว! แถมยังลือกันให้แซดว่าไป๋เหรินชิงคือไดโนเสาร์ตัวเมียที่พร้อมจะเล่นงานใครต่อใครหากไม่ได้ดั่งใจ ต่อให้ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดก็ทนไม่ไหว
อย่างน้อย จางเซวียนก็ไม่คิดว่าเขามีนิสัยชื่นชอบความรุนแรง
“มีอะไร?” เห็นสีหน้าหวาดผวาของจางเซวียน ไป๋เหรินชิงที่จมดิ่งอยู่กับความฝันเมื่อครู่หันขวับมามองด้วยความสงสัย
ฉันก็แค่พูดว่าจะแต่งงานกับผมน่ะถ่อมตัว แล้วคุณทำท่าแบบนั้นทำไม?
“เอ่อ ไม่มีอะไรมากหรอก” จางเซวียนปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับตัดสินใจว่านับจากนี้จะฝังตัวตนของผมน่ะถ่อมตัวให้หายสาบสูญไปจากโลก
ไป๋เหรินชิงมองจางเซวียนด้วยสีหน้าแปลกๆครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับหลิวลู่จี่และหวังเจี้ยนตง
“ท่านปู่เฟิงอธิบายเรื่องศิลปะเพลงดาบให้ฉันฟัง ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนี้…”
ได้ฟังคำอธิบายของไป๋เหรินชิง หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพากันตาโต
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางเซวียนก็รู้สึกอยากจะอาเจียนหลังจากได้ยินเพียงแค่สองสามประโยคแรก จึงรีบเบือนหน้าไปอีกทางและเลิกฟังสิ่งที่ไป๋เหรินชิงพูด
ช่างปวดใจเหลือเกินที่ต้องเห็นศิลปะเพลงดาบของเขาถูกบิดเบือนอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ หากเขาทนฟังต่อไป คงได้กลายเป็นไดโนเสาร์ผู้เกรี้ยวกราดเสียเองแน่!
พูดกันตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะวรยุทธที่อ่อนด้อย เขาก็อยากจะแงะฝาโลงของผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินเต็มที เพื่อดูว่าอีกฝ่ายทำอีท่าไหนถึงบ่มเพาะผู้สืบทอดมรดกของตัวเองให้กลายเป็นแบบนี้
เราต้องหาโอกาสชี้แนะพวกเขาให้ได้ จางเซวียนคิด
ครู่ต่อมา ไป๋เหรินชิงก็เสร็จสิ้นการบรรยายกับศิษย์น้องทั้งสอง เธอยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็บุ้ยใบ้ให้จางเซวียนขึ้นขี่หลังอสูรของเธอ
ยอดเขาที่บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดพำนักอยู่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก มันโดดเด่นเป็นสง่ากว่ายอดเขาที่เป็นที่พำนักของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก บริเวณส่วนยอดของมันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง
จางเซวียนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในบริเวณที่พำนักของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นเข้มข้นกว่าบริเวณของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก ทำให้การฝึกฝนวรยุทธเป็นไปได้เร็วขึ้น
“หอสมุดอยู่ตรงหน้านี้เอง นี่คือตราสัญลักษณ์ประจำตัวฉัน คุณเข้าไปในนั้นได้ แล้วฉันจะมารับคุณในอีก 6 ชั่วโมงข้างหน้า” ไป๋เหรินชิงสั่งการขณะที่อสูรร่อนลงหน้าอาคารสูงตระหง่านหลังหนึ่ง
ด้วยชื่อเสียงกระฉ่อนของเธอในฐานะไดโนเสาร์ตัวเมีย แม้เธอจะชื่นชมผู้ที่มีความรู้กว้างขวางจากการอ่าน แต่ตัวเธอเองก็ไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านหนังสือ แทนที่จะเข้าไปนั่งเบื่อหน่ายอยู่ในหอสมุด ก็ย่อมดีกว่าหากจะรีบนำยากลับไปมอบให้ท่านปู่เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บของเขา
“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม” จางเซวียนประสานมือ
ย่อมดีกว่ามากหากไป๋เหรินชิงจะไม่คอยตามติดเขา เพราะถึงอย่างไร จางเซวียนก็มีวิธีการอ่านหนังสือที่ไม่ธรรมดา
ทุกอย่างดำเนินไปแบบเดียวกับที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาเข้าสู่หอสมุดได้หลังจากแสดงตราสัญลักษณ์และมอบเหรียญสำนักดาบให้เจ้าหน้าที่ตามอัตราที่กำหนดไว้
ค่าใช้จ่ายที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในคือสองเหรียญสำนักดาบต่อชั่วโมง แต่สำหรับที่นี่ ราคาสูงขึ้นไปอีกสิบเท่า ทุก 1 ชั่วโมงจะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 20 เหรียญสำนักดาบ
โชคดีที่ตอนนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา จางเซวียนจ่ายเงิน 120 เหรียญสำนักดาบและเข้าสู่หอสมุด
หนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือศิลปะเพลงดาบที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นลึกซึ้งกว่าที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก มีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นเสมือนอมตะอยู่เต็มไปหมด
จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกาย เขากวาดสายตาไปทั่วชั้นหนังสือที่มองเห็นและถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
ด้วยเงินที่เขามีและหนังสือเทคนิควรยุทธเหล่านี้ เขาย่อมยกระดับวรยุทธของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
…..
ไป๋เหรินชิงกลับถึงที่พักและตรงไปอยู่ข้างๆท่านปู่ของเธอที่ยังคงอ่อนเพลียอยู่
“ท่านปู่ ฉันนำยากลับมาแล้ว” ไป๋เหรินชิงพูดขณะนำขวดหยก 3 ใบที่เธอเพิ่งได้รับออกมา
“เป็นยาชนิดเดียวกันกับที่เจ้าเคยให้ปู่หรือเปล่า?” ผู้อาวุโสไป๋เย่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยขณะเปิดจุกขวดเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่ภายใน
น่าประหลาดเหลือเกิน
นายแพทย์มากมายของสำนักดาบเมฆเหินได้หลอมยาเม็ดล้ำค่าหลายขนานให้เขากิน แต่ไม่มียาชนิดไหนที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ เขาเคยคิดว่าสิ่งที่จะช่วยให้เขาฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมได้คงจะต้องมีมูลค่าสูงมาก แต่กลับกลายเป็นว่ามันแทบไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า เขาไม่รู้สึกถึงพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในยานั้นเลยสักนิด
จะว่าไป แม้แต่พลังงานที่มีฤทธิ์ทางยา เขาก็ยังไม่รู้สึก!
แล้วมันจะใช้ได้ผลกับเขาจริงๆหรือ?