Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1995 ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1995 ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1995 ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…
เขาเริ่มด้วยการกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไป 2-3 เม็ด ยาเหล่านั้นนำพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของเขา จางเซวียนขับเคลื่อนมันให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายก่อนจะขัดเกลาให้อยู่ในสภาพของพลังปราณ
วรยุทธของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว เมื่อมีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมอยู่ในมือ ก็สามารถฝ่าด่านคอขวดได้โดยปราศจากปัญหา
ขณะที่กำลังซึมซับพลังจิตวิญญาณจากยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน พลังปราณของจางเซวียนก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก
10 นาทีต่อมา เมื่อเขาสะสมพลังปราณจนถึงขีดสุด วรยุทธของเขาก็ระเบิดและทะลุเพดานที่สกัดกั้นมันไว้
จางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะแล้ว!
แต่เขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เขากินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปอีกหลายเม็ดและฝึกฝนวรยุทธต่อไป
การใช้เคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะทำให้จางเซวียนใช้พลังงานที่อยู่ในยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่คราวนี้เขามีเงินมากพอจะรักษาระดับวรยุทธไว้
ทันทีที่จางเซวียนรู้สึกได้ว่าวรยุทธเริ่มถดถอย เขาก็จะกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังงาน ด้วยการไหลเวียนของพลังปราณตามแบบของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสมือนอมตะ ระดับล่าง!
เสมือนอมตะ ระดับสูง!
เสมือนอมตะ ปฐพี!
ผ่านไป 2 ชั่วโมง จางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธได้อีก 1 ขั้น เขาเข้าถึงวรยุทธขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ!
ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเกือบ 100 เม็ดที่เขาซื้อมาก่อนหน้านี้ถูกใช้ไประหว่างการฝึกฝนวรยุทธ แต่ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานไม่มีประสิทธิภาพในการยกระดับวรยุทธของเขาอีกต่อไปแล้ว หากจางเซวียนอยากยกระดับวรยุทธขึ้นอีก ก็ต้องใช้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้
ความคิดว่องไว, จิตวิญญาณบริสุทธิ์, เปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอดดับ…นี่คือความแข็งแกร่งของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ! จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น
วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกเพียง 1 ขั้น แต่พละกำลังและความแข็งแกร่งสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติกับวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยหรือพละกำลัง ก็ล้วนแต่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ถ้าสิ่งที่เขาเคยใช้คือพลังงานต้นกำเนิด พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในทางเดินพลังปราณของเขาตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นพลังงานอมตะ มันคือพลังงานที่มีแต่ผู้เป็นอมตะเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้
โชคดีเหลือเกินที่เราได้พบไป๋เหรินชิง…จางเซวียนคิดอย่างโล่งใจ
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลในร่างกาย จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าพื้นฐานวรยุทธของตัวเขากับไป๋เหรินชิงนั้นต่างกันแค่ไหน
หากเขาไม่เริ่มโจมตีก่อนและไม่ได้โจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเป็นผู้แพ้หากไป๋เหรินชิงกลับมาตั้งตัวได้
อย่าว่าแต่นักรบอมตะตัวจริง ต่อให้เป็นแค่นักรบเสมือนอมตะ ก็แข็งแกร่งกว่านักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติอย่างน้อยเป็น 10 เท่า
ในเวลาเดียวกัน วรยุทธที่เพิ่มสูงขึ้นก็ทำให้จางเซวียนมีความเข้าใจที่ล้ำลึกกว่าเดิมว่าแท้ที่จริงแล้วเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าคืออะไร ด้วยพลังของศิลปะเพลงดาบของเขาในตอนนี้ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองน่าจะเอาชนะได้แม้แต่นักรบอมตะสรวงสวรรค์
ส่วนนักรบอมตะขั้นสูงนั้น เพราะจางเซวียนไม่เคยปะทะกับผู้ที่มีวรยุทธระดับนี้มาก่อน จึงประเมินไม่ได้แน่ชัดว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน แต่จากสถิติที่มีการบันทึกไว้ ก็ดูเหมือนว่าตัวเขาในเวลานี้น่าจะยังเทียบชั้นกับคนเหล่านั้นไม่ได้
ถึงเวลาที่ไอ้โหดกับตัวโคลนของเราจะได้ฝ่าด่านวรยุทธแล้ว จางเซวียนคิด
เขาซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมาเพิ่ม ก่อนจะปล่อยให้ตัวโคลนกับไอ้โหดได้ฝึกฝนวรยุทธ
ส่วนน้ำเต้าตงฉู่ แม้จะกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปแล้วกว่าร้อยเม็ด ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับการฟื้นคืนร่างเดิม ทันทีที่จางเซวียนปล่อยมันออกมา มันก็คร่ำครวญร้องหาอาหารทันที
เมื่อรู้สึกว่าน่ารำคาญเกินไป จางเซวียนเก็บน้ำเต้าตงฉู่กลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติอย่างไม่ลังเล
แค่คิดว่าจะต้องรับมือกับน้ำเต้าตงฉู่ที่แสนงี่เง่าอย่างไรก็ทำให้ปวดหัวหนักแล้ว ชาติก่อนเขาคงทำบาปทำกรรมไว้มากมาย ถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้!
แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่ทำอะไรได้นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำที่ได้จากการอาบตัวมันใช้เยียวยาอาการบาดเจ็บได้
บางที ต่อไปเขาน่าจะลองให้นักรบอมตะขั้นสูงปะทะกับน้ำเต้าตงฉู่ ถ้ามันยังเอาชีวิตรอดมาได้ เขาก็อาจจะพิจารณาใช้มันเป็นโล่สำหรับป้องกันตัว
…..
ขณะที่จางเซวียนยังคงฝึกฝนวรยุทธ ไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงก็กลับถึงบ้านพักของผู้อาวุโสไป๋เย่
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตั้งคำถาม
“นายหญิงน้อยทดสอบทักษะของเจ้าหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง ผมให้เธอพูดแทนดีกว่า…” ไป๋เฟิงถอยไปก้าวหนึ่ง
“ท่านปู่ ศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนน่าเกลียดน่าชังมาก เขาทำไม่ได้แม้แต่จะสำแดงศิลปะเพลงดาบขั้นพื้นฐานที่สุด ฉันลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับเขาแล้วทดสอบเขาด้วยศิลปะเพลงดาบขั้นพื้นฐานที่สุดของสำนักของเรา ซึ่งเขาก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ…เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นศิษย์ของท่านปู่หรอก” ไป๋เหรินชิงตอบ
ขณะกำลังอธิบาย เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอย่างจริงใจในตัวอาจารย์ลุงของเธอ
ในสำนักดาบเมฆเหิน มีศิษย์สายตรงมากมายที่ยอมพลีกายถวายหัวเพียงเพื่อจะได้เป็นศิษย์ของท่านปู่ของเธอ แต่ ‘อาจารย์ลุง’ กลับไม่มีความสนใจเรื่องนั้นเลย เขาถึงกับยอมจัดฉากเล่นละครเพื่อทำให้ข้อเสนอนี้ตกไป…ช่างเป็นคนที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวจริงๆ!
นักรบทุกคนควรจะยึดถือเขาเป็นแบบอย่าง
ส่วนผู้อาวุโสไป๋เย่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำอธิบายของหลานสาว
“ฉันเก็บภาพการต่อสู้เมื่อครู่นี้ไว้ด้วย ท่านปู่พิจารณาเถอะ” ไป๋เหรินชิงพูดขณะยื่นผลึกบันทึกให้
ผู้อาวุโสไป๋เย่รับผลึกบันทึกมาและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ภาพการต่อสู้เมื่อครู่นี้ปรากฏขึ้นตรงหน้า แสดงให้เห็นว่าไป๋เหรินชิงเอาชนะจางเซวียนได้อย่างง่ายดาย
“ดูเอาเถอะ! ฉันไม่ได้โกหก ท่านปู่เห็นไหม? ฝีมือของเขาย่ำแย่เกินทน ชื่อเสียงของท่านปู่มีแต่จะด่างพร้อยหากรับคนอย่างเขาเป็นศิษย์” ไป๋เหรินชิงย้ำ
“เอาเถอะ ปู่เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้ ปู่มีเรื่องจะหารือกับอาเฟิง” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตอบพร้อมกับโบกมือ
“ได้สิ ท่านปู่” ไป๋เหรินชิงหันหลังกลับแล้วออกจากห้องไป
ทันทีที่เธอออกจากห้อง ผู้อาวุโสไป๋เย่ก็หันมาถามไป๋เฟิง “คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร?”
“ผมมั่นใจในการปลอมตัวของผม แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นรู้ล่วงหน้าว่าผมจะมา สายตาและทีท่าของเขาบ่งบอกถึงความปั่นป่วนก็จริง แต่ผมสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวของความมั่นใจในตัวเขา ดูเหมือนเขาไม่ได้กังวลสักนิดว่าตัวเองจะถูกฆ่า…” ไป๋เฟิงเปิดเผยสิ่งที่ค้างคาใจ
เขาเป็นคนช่างสังเกตและละเอียดลออเสมอ ด้วยเหตุนี้ แม้จางเซวียนจะจัดฉากเล่นละครอย่างดี เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ถ้าเขาหวาดกลัวจริงๆ ก็น่าจะพยายามวิ่งหนีหรือร้องขอความช่วยเหลือ ไม่น่าจะแสดงอาการแบบนี้…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
เขาเองก็คิดแบบเดียวกับไป๋เฟิง
“ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…” ไป๋เฟิงเปรยอย่างสงสัย
“ผมตามใจเจ้าหลานคนนี้มากไปเสียแล้ว! เหรินชิงเป็นคนฉลาดและช่างสังเกต แต่ก็มักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ทำให้มีนิสัยหุนหันพลันแล่นอย่างที่เห็น เป็นไปได้ว่าเหรินชิงน่าจะไปดักเจ้าหนุ่มนั่นก่อนแล้ว แต่คราวนี้เธอรอให้คุณปรากฏตัวก่อนจะเล่นงานเขา ผมไม่เชื่อหรอกว่านี่ไม่ใช่การเล่นละครของสองคนนั่น…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ลูบเคราขณะถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“เล่นละคร? นายท่าน คุณหมายความว่า…” ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว
“ไม่นานหลังจากที่คุณออกไป เหรินชิงก็ออกจากบ้านพัก ผมให้คนสะกดรอยตามเธอ คนของผมรายงานว่าเหรินชิงไปที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แล้วใช้ห้องส่วนตัวร่วมกับจางเซวียน เธออยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองเกือบ 2 ชั่วโมง…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ยื่นตราหยกอันหนึ่งให้ไป๋เฟิงขณะอธิบาย
ไป๋เฟิงรีบรับตราหยกมา หลังจากเห็นรายละเอียด ก็อ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง
ชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในห้องส่วนตัวสองต่อสองเป็นเวลานานสองนาน…หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่?
“นายท่าน คุณกำลังสงสัยว่าจางเซวียนกับนายหญิงน้อยอาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาหรือ?” ไป๋เฟิงถาม
“ตลอดสองสามวันนับจากนี้ ผมอยากให้คุณแอบสะกดรอยตามเหรินชิงว่าเธอไปที่ไหนบ้าง รายงานสิ่งที่คุณพบให้ผมรับรู้ด้วย แล้วจับตาดูจางเซวียนให้ดี ผมไม่คิดว่าศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจะทำให้หลานสาวของผมที่ไม่เคยเกรงกลัวใครทำตัวว่านอนสอนง่ายและอยู่ในโอวาทของเขาได้ ผมอยากเห็นว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร!” ผู้อาวุโสไป๋สั่งการ
ตัวเขาเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักดาบเมฆเหิน จึงแน่นอนว่าความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ของเขาย่อมไม่ธรรมดา
เขาเกรงว่าหลานสาวคนนี้จะก่อเรื่องวุ่นวายหลังจากได้รู้ว่าเขาตั้งใจจะรับจางเซวียนเป็นศิษย์ จึงให้คนสะกดรอยตามเธอ ด้วยเหตุนี้ จึงพอรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องส่วนตัวเป็นเวลานาน อีกทั้งหลานสาวของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อไป๋เฟิงทำการทดสอบจางเซวียน ทำให้เห็นชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“อย่าตามติดเธอให้เด่นชัดจนเกินไป ไม่อย่างนั้น ถ้าเธอรู้ตัวล่ะก็ จะต้องมาอาละวาดกับผมอีก อีกอย่าง…ผมอยากให้คุณสืบเสาะภูมิหลังและตัวตนของจางเซวียนด้วย ไม่รู้สินะ ผมรู้สึกว่าไม่เคยเห็นชื่อของเขาในรายชื่อของศิษย์สายตรงฝ่ายในเลย!” ผู้อาวุโสไป๋เย่สำทับพร้อมกับโบกมือ
“ขอรับ นายท่าน!” ไป๋เฟิงพยักหน้าก่อนจะออกไป
…..
ไป๋เหรินชิงไม่รู้เลยว่าการจัดฉากเล่นละครระหว่างตัวเธอกับ ‘อาจารย์ลุง’ ถูกเปิดเผยแล้ว ในเวลานั้น เธอกำลังง่วนกับการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่ในห้อง
เมื่อถึงกระบวนท่าที่ 10 รอยย่นก็ค่อยๆปรากฏบนหน้าผากของเธอ
ศิลปะเพลงดาบที่อาจารย์ลุงถ่ายทอดให้นั้นลึกซึ้งมาก เธอทำความเข้าใจขั้นต้นได้อย่างง่ายดายและพัฒนาได้เร็ว แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ก็พลันรู้สึกว่าศิลปะเพลงดาบนี้ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้ ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่เธอยังไม่เข้าใจ ทำให้สะดุดเข้ากับด่านคอขวดอยู่หลายครั้ง
ขอปรึกษาอาจารย์ลุงหน่อยเถอะ…