Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2034 ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2034 ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2034 ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…
การหว่านล้อมให้คนเหล่านั้นยอมให้เขาดูหนังสือเทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณคงเป็นเรื่องยาก
อีกอย่าง ตอนนี้หอเทพเจ้าก็จับตาทุกการเคลื่อนไหวของเขา การออกจากสำนักดาบเมฆเหินจึงถือว่าอันตรายมาก แต่ถ้าเขาไม่ไป ก็จะไม่มีวันได้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ สุดท้าย การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงก็จะไม่สำเร็จ!
มันเป็นการเดินเกมที่เสี่ยง แต่จางเซวียนมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น การยื้อเวลาออกไปมีแต่จะทำให้หอเทพเจ้ามีโอกาสเตรียมตัว ส่งผลให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม
อีกอย่าง หินโลหิตเทพเจ้าที่เขาได้พบที่ตลาดอู๋ไห่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องเดินทางไปตำหนักคว้าดาวเพื่อสืบเสาะเรื่องนี้ให้ได้
สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้น เขายังลังเลอยู่สักหน่อยกับการที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้า แน่นอนว่าตอนนี้เขาเทียบชั้นกับคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่หากปลอมตัวให้แนบเนียนและดูให้แน่ใจว่าไม่เปิดเผยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมา การที่หอเทพเจ้าจะพบตัวเขาก็คงไม่ง่ายเช่นกัน
“ถ้าคุณยืนกรานจะเดินทางไปตำหนักคว้าดาวให้ได้ ก็ขอผมไปด้วย ถึงตู้ชิงหย่วนจะไม่ใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่ายนัก แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็พอจะหว่านล้อมให้เธอยอมให้คุณศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของพวกเขาได้” หานเจี้ยนชิวเสนอ
ด้วยวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และศิลปะเพลงดาบอันเหนือชั้นของเขา ต่อให้เขาเอาชนะเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็พอยื้อเวลาให้จางเซวียนมีโอกาสหลบหนีหากเกิดสถานการณ์คับขัน
แต่จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ผมจะไปที่นั่นคนเดียว”
ถ้าหานเจี้ยนชิวตามไปด้วย โอกาสที่ทั้งคู่จะถูกเปิดโปงก็มีสูงขึ้น เขารู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยกว่าหากไปที่นั่นอย่างเงียบๆ
ที่สำคัญกว่านั้น เขาตั้งใจจะไปสืบเสาะเรื่องที่เกี่ยวกับหินโลหิตเทพเจ้าและหลัวลั่วชิง อย่างน้อยที่สุด ในเวลานี้เขาก็ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องนี้มากเกินไป
“มันอันตรายเกินไป!” หานเจี้ยนชิวอุทานอย่างร้อนใจ
จางเซวียนเอ่ยปากแย้งข้อกังวลใจของหานเจี้ยนชิว “ผมคือผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็เหมือนอย่างที่คุณบอกไว้หลายครั้งหลายหนแล้ว ไม่ช้าไม่นานผมก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ ผมจะมีวุฒิภาวะเพียงพอได้อย่างไรหากยังอยู่ภายใต้การปกป้องของคุณตลอดเวลาแบบนี้? นักดาบควรมีความแข็งแกร่งของกระทิงดุ พุ่งเข้าใส่ศัตรูโดยปราศจากความลังเล ความหวาดกลัวมีแต่จะทำให้ความลังเลเข้าปะปนในศิลปะเพลงดาบของผม”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
หานเจี้ยนชิวอยากทักท้วง แต่รู้ว่าที่จางเซวียนพูดมาก็มีเหตุผล
บ่อยครั้งที่ช่วงเวลาของการเสี่ยงอันตรายทำให้เหล่านักรบมีวุฒิภาวะมากขึ้นและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด หากไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูและไม่ได้ทดสอบศิลปะเพลงดาบของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นสุดยอดได้
ไม่ใช่ว่าการระมัดระวังตัวนั้นไม่สำคัญ แต่ทุกอย่างจะสำเร็จได้ก็ด้วยจิตวิญญาณและความมุ่งมั่น ทันทีที่นักดาบสูญเสียความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นไป ศิลปะเพลงดาบของเขาก็จะไร้ความตื่นเต้นและเป็นไปตามรูปแบบเดิมๆ
เคยมีกรณีแบบนี้ในสำนักดาบเมฆเหินเหมือนกัน เมื่อพันปีก่อน เจ้าสำนักคนหนึ่งมีศิลปะเพลงดาบที่อยู่ในระดับเหนือชั้น ถึงขนาดที่ในโลกนี้ไม่มีใครแข่งขันกับเขาได้ แต่ความผิดพลาดเล็กน้อยครั้งหนึ่งทำให้เขาพลั้งมือทำร้ายเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาโทษตัวเองอย่างมากและเกิดความสงสัยแคลงใจในเส้นทางที่เลือก เมล็ดพันธุ์ของความแคลงใจนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สั่นคลอนความศรัทธาในเพลงดาบของเขา สุดท้าย เจตจำนงเพลงดาบของเจ้าสำนักผู้นั้นก็แหลกสลาย ส่งผลให้วรยุทธของเขาตกฮวบ
ในที่สุดเขาก็ตายอย่างคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
ในชีวิตหนึ่งย่อมมีความยากลำบากและความสูญเสียมากมายหลายครั้ง ซึ่งการเรียนรู้ที่จะข้ามผ่านมันไปให้ได้คือวิถีทางที่คนคนหนึ่งจะมีวุฒิภาวะและเจริญเติบโต หากใครสักคนที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จไม่อาจเผชิญหน้ากับอันตรายได้ ก็จะไม่มีวันกลายเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่
การปกป้องใครสักคนไม่ได้หมายถึงการคุ้มกันเขาจากจากภัยอันตรายทุกรูปแบบในโลก แต่คือการจัดหาเงื่อนไขและสภาวะที่จำเป็นต่อการพัฒนาวุฒิภาวะให้กับอีกฝ่าย และสุดท้ายเขาก็จะได้ดำรงชีวิตอย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะให้คุณยืมอสูรอมตะบินได้ตัวที่บินเร็วที่สุดในสำนักของเราก็แล้วกัน” หานเจี้ยนชิวยังคงครุ่นคิดหนัก แต่รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เขาทำได้เพียงแค่เรียนรู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
“ไม่ต้องหรอก นั่นจะสะดุดตาเกินไป” จางเซวียนตอบ เขานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถาม “แถวนี้มีอสูรอมตะบินได้ตัวอื่นๆไหม? ผมอยากลองทำให้มันยอมจำนนด้วยตัวผมเอง”
เขาไม่รู้ว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่การขี่อสูรอมตะบินได้ของสำนักดาบเมฆเหินไปย่อมเป็นที่สะดุดตา ไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้พวกนั้นรู้ว่าเขากำลังออกจากเขตปลอดภัยของสำนักดาบเมฆเหิน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะแอบออกไปเงียบๆและทำให้อสูรอมตะบินได้สักตัวยอมจำนน แบบนั้นจะไม่เป็นการเปิดเผยการเดินทางของเขามากเกินไป
“คุณคิดจะทำให้อสูรอมตะบินได้ยอมจำนนด้วยตัวเองหรือ?” หานเจี้ยนชิวถึงกับผงะ “อสูรอมตะนั้นขึ้นชื่อว่าหยิ่งผยองมาก และการทำให้มันยอมจำนนก็ต้องใช้เวลานาน มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ”
อสูรอมตะบินได้ที่สำนักดาบเมฆเหินมีล้วนถูกส่งมาจากหอนานาอสูร เหล่าสมาชิกของสำนักดาบเมฆเหินล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบมากกว่า และแทบไม่รู้อะไรในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการทำให้อสูรยอมจำนนเลย
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็พอรู้ว่าความพยายามในการทำให้อสูรอมตะสักตัวยอมจำนนนั้นยากเย็นแค่ไหน
ขนาดเหล่าศิษย์สายตรงของหอนานาอสูรซึ่งอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนทักษะการฝึกอสูรให้เชื่องจนเชี่ยวชาญก็ยังต้องใช้เวลานานจนแทบไม่น่าเชื่อกว่าจะทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้สักตัว!
“ผมเข้าใจ ก็แค่อยากลองดูเท่านั้น” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
“เอ่อ…ผมดูออกว่าคุณตัดสินใจแล้ว ก็จะไม่ห้ามปรามละนะ นี่คือตราหยกพิทักษ์ที่ผมหลอมไว้ ถ้าเกิดอันตรายใดๆขึ้น ก็ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปในนั้น มันจะสร้างปราการแสงที่มีอานุภาพป้องกันตัวไว้รอบตัวคุณ ช่วยป้องกันการโจมตีของนักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้”
เห็นจางเซวียนตัดสินใจแล้ว หานเจี้ยนชิวส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะยื่นตราหยกอันหนึ่งให้
“ขอบคุณมาก” จางเซวียนตอบขณะรับตราหยกพิทักษ์ไว้
“ส่วนเรื่องอสูรอมตะบินได้ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ บนภูเขาเมฆเหินที่ห่างออกไปจากที่นี่ราวหมื่นลี้ มีอสูรอมตะขั้นสูงและอสูรอมตะตัวจริงอยู่มากมาย…หอนานาอสูรเคยส่งสมาชิกของพวกเขาไปที่นั่นหลายครั้งแล้วเพื่อทำให้อสูรยอมจำนน แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ คุณต้องระวังตัวให้ดีนะถ้าอยากไปที่นั่น” หานเจี้ยนชิวแนะนำ
จางเซวียนพยักหน้า
เขาศึกษาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักคว้าดาวและตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ เมื่อได้ทุกคำตอบที่ต้องการแล้ว ก็รีบกลับไปยังที่พักของตั้นเฉี่ยวเทียน
ในตอนนี้ ไป๋เหรินชิงได้รับข้อความจากผู้อาวุโสไป๋เย่แล้วและกลับมาจากเมืองอู๋ไห่เป็นที่เรียบร้อย
“เฉี่ยวเทียน ผมรับไป๋เหรินชิงเป็นศิษย์สายตรงของผมแล้ว นับจากวันนี้ไป เธอจะเป็นศิษย์พี่ของคุณ”
“คารวะศิษย์พี่!” ตั้นเฉี่ยวเทียนประสานมือและทักทายไป๋เหรินชิง
“นี่คือเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่พวกคุณจะต้องฝึกฝนในอนาคต ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามได้เลย” จางเซวียนพูดขณะยื่นตราหยก 2 อันให้ทั้งคู่ด้วยการสะบัดข้อมือ
ที่บรรจุอยู่ภายในตราหยกคือเทคนิควรยุทธและคำชี้แนะบางส่วนที่ช่วยบอกแนวทางที่ทั้งคู่จะต้องให้ความสำคัญในอนาคต
ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราหยก ไม่ช้าทั้งคู่ก็จมดิ่งอยู่กับสิ่งที่กำลังอ่าน
เทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่บันทึกอยู่ในตราหยกนั้นเป็นผลงานชั้นยอด ขอแค่พวกเขาตั้งใจฝึกฝนมันอย่างจริงจัง จะต้องยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็วแน่
ไม่ช้า ทั้งคู่ก็อ่านทุกอย่างที่บันทึกอยู่ในตราหยกจนจบและเริ่มมีความไม่แน่ใจบางอย่างเกิดขึ้น
จางเซวียนตอบข้อสงสัยทีละข้ออย่างอดทน
จากนั้น เขาก็รีบเข้าสู่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินและซื้อยาเม็ดอมตะขั้นสูงกับยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษมา 2 ขวด จางเซวียนมอบให้ศิษย์สายตรงทั้งสองและพูดว่า “นี่คือยาเม็ดอมตะที่พวกคุณต้องใช้สำหรับการฝึกฝนวรยุทธ หวังว่าคราวหน้าที่เราพบกัน คุณจะทำได้ตามความคาดหมายของผมนะ”
กว่าจางเซวียนจะเสร็จสิ้นการสั่งเสียของเขา ดวงอาทิตย์ก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า
ยังไม่ทันจะรู้ตัว เขาก็ใช้เวลาอยู่ในสำนักดาบเมฆเหิน 2 วันแล้ว ถือเป็นระยะเวลายาวนานไม่น้อย
แต่ก็โชคดีที่เวลาที่จางเซวียนเสียไปที่นี่ได้รับผลตอบแทนอย่างงาม เขายกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้แล้ว ทั้งยังได้ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจนสำเร็จด้วย ในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้อาวุธระดับอมตะขั้นสูงยอมจำนนได้ถึง 2 ชิ้น และหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่ทำจากศพของนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้อีก 3 ตัว…
รวมแล้ว จางเซวียนมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก และจะไม่อับจนอีกต่อไปหากต้องเผชิญหน้ากับนักรบชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม
“พวกเราจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง!” ไป๋เหรินชิงกับตั้นเฉี่ยวเทียนโค้งคำนับอย่างงามด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นภาพนั้น
ความมุ่งหมายในการออกเดินทางสู่มิติเบื้องบนของเขาคือการเดินทางระยะสั้นที่เป้าหมายหลักคือการตามหาหลัวลั่วชิง การรับศิษย์สายตรงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาเลย แต่ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป
ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความแข็งแกร่งอดทน และจางเซวียนก็พึงพอใจในตัวทั้งคู่อย่างมาก
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยเหมือนกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ และไม่มีโอกาสได้สั่งสอนอย่างถี่ถ้วน ต่อไปทั้งสองจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
“เฉาเฉิงลี่ เมื่อผมจากไปแล้ว ผมอยากให้คุณดูแลเฉี่ยวเทียนกับเหรินชิงให้ดี นี่คือเทคนิควรยุทธและยาเม็ดของคุณ เลิกหมกมุ่นกับผู้หญิงทั้งวันทั้งคืนและหันมาใส่ใจฝึกฝนวรยุทธได้แล้ว แทนที่จะต้องฟังคุณพล่ามถึงการบริหารเสน่ห์และการเด็ดดอกไม้ให้ได้ร้อยดอกหรืออะไรทำนองนั้น ผมหวังว่าในครั้งหน้าที่เราพบกัน คุณจะพัฒนาวรยุทธได้อีกมากนะ เข้าใจใช่ไหม?” จางเซวียนเรียกจอมโจรเฉาเฉิงลี่มาเทศนา