Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2054 หรือว่าจะเป็นกลลวง?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2054 หรือว่าจะเป็นกลลวง?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2054 หรือว่าจะเป็นกลลวง?
ตลอดชีวิต เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขามาแล้วมากมาย และเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสู้ไม่ได้แม้แต่กับนักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่า
“อย่างน้อยที่สุด ผมก็ต้องดึงคุณให้ล่มจมไปด้วยให้ได้!”
เห็นจางเซวียนกับตัวโคลนผนึกกำลังกันได้ดี ชายวัยรุ่นรู้ตัวว่าไม่มีทางหนีพ้น มีโอกาสสูงที่อาจต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว เขากู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็รวบรวมพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่จุดตันเถียน ชายวัยรุ่นตั้งใจจะระเบิดวรยุทธของเขา!
ถ้าเขาหนีไปไหนไม่ได้ ก็จะต้องใช้วิธีนี้เพื่อบอกนายท่านว่าหมอนี่น่าสะพรึงกว่าที่คิดไว้มาก!
“เวรแล้ว!”
จางเซวียนหรี่ตาอย่างประหลาดใจ เขารีบสำแดงศิลปะเพลงดาบเพื่อการป้องกันตัว เกิดกระแสดาบฉีรูปทรงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเขา
เขาไม่อาจคาดหวังว่าจะยับยั้งการระเบิดของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือลดความบอบช้ำที่จะได้รับให้น้อยลงที่สุด
ก่อนที่การระเบิดจะเริ่มต้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่เกิดจากพลังปราณเข้มข้นภายในร่างของชายวัยรุ่น มันหนักหน่วงเสียจนแม้เขาจะถือดาบให้กระชับมือก็ยังลำบาก
เลือดในร่างกายของเขาปะทะกับเส้นเลือด แรงกดดันนั้นเหมือนจะทำให้มันระเบิดในไม่ช้า
“นี่คืออานุภาพจากการระเบิดวรยุทธของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ระเบิดวรยุทธของตัวเอง มันรุนแรงกว่าที่เขาคิดไว้มาก
แม้จางเซวียนจะถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ศิลปะเพลงดาบเพื่อป้องกันตัวแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้นหากการระเบิดนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
แรงกดดันที่เกิดขึ้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อจางเซวียนถอดใจ บรรยากาศตึงเครียดทั้งหมดก็หายวับไปราวกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง
“หรือว่าจะเป็นกลลวง?”
จางเซวียนรีบเงยหน้าดูอย่างหวาดระแวง
เขาเพิ่งคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจแกล้งทำเป็นระเบิดวรยุทธเพื่อหาโอกาสหลบหนี
จางเซวียนหันไปมองชายวัยรุ่นอย่างร้อนรน แต่เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายเพียงแวบเดียว นัยน์ตาก็เกือบทะลุออกจากเบ้า
ชายที่กำลังพยายามระเบิดวรยุทธมีชิ้นส่วนหนึ่งของน้ำเต้าปักฉึกอยู่ที่ศีรษะ…แถมศีรษะอีกครึ่งหนึ่งของเขาก็ระเบิดหายไป!
เขาถูกน้ำเต้าเล่นงานจนตายตั้งแต่ยังไม่ทันรวบรวมพละกำลังได้มากพอสำหรับการระเบิดวรยุทธ
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมการระเบิดถึงหยุดลงอย่างปุบปับ
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…” ชายวัยรุ่นพึมพำอย่างสิ้นหวังขณะใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
พลั่ก!
ศพของเขาร่วงลงมาจากกลางอากาศ
เขามองว่าตัวเองมีโอกาสถูกจางเซวียนสังหาร แต่ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะถูกชิ้นส่วนน้ำเต้าเล่นงานจนเสียชีวิตแบบนี้…
น่าอับอายเหลือเกิน!
ส่วนจางเซวียน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าชายวัยรุ่นเสียชีวิต ก็รีบหันไปมองน้ำเต้าตงฉู่ด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายวาววับอย่างตื่นเต้น “มันปลดปล่อยตัวเองจากฉนวนได้แล้วหรือ?”
จากนั้น เขาเห็นรังสีสีทองที่เจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์แผดเผาอยู่โดยรอบ แล้วร่างหนึ่งที่เหมือนกับนกคีรีบูนก็ค่อยๆสยายปีก
เพราะมีเปลวไฟรุมล้อมอยู่ จึงไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่ามันอยู่ตรงนั้นหรือไม่ แต่ด้วยบรรยากาศของความสง่างามที่แผ่ออกมา ผู้พบเห็นย่อมรู้สึกได้ว่ามันคืออสูรพิเศษที่ทรงพลัง
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงกลืนกินอาวุธระดับอมตะขั้นสูงสวรรค์และแม้แต่ของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย…น้ำเต้าตงฉู่ไม่ได้คุยโม้เลย แม้มันจะไม่ใช่อสูรในตำนานที่มีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน แต่ในมิติเบื้องบน ก็คงมีนักรบและอสูรจำนวนน้อยเต็มทีที่ทำลายมันได้
“ผมทำสำเร็จแล้ว! ผมออกจากเปลือกงี่เง่าอันนี้ได้เสียที…”
เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นกลางอากาศขณะเงาพาดผ่านรังสีนั้น ไม่ช้า แสงเจิดจ้าก็ค่อยๆเลือนหาย ร่างที่อยู่กลางอากาศพลันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ตัวโคลนของจางเซวียนก็รีบหันไปมอง มันรู้จักน้ำเต้าตงฉู่มาระยะหนึ่งแล้ว และอยากรู้เหลือเกินว่าปีศาจชนิดไหนที่ถูกขังไว้ในน้ำเต้าลูกนั้น
ฟึ่บ!
ในที่สุด แสงเจิดจ้าก็เลือนหายไปหมด เหลือไว้แต่ร่างหนึ่งที่ปรากฏให้เห็น
“แกคือ…อสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดนหรือ?”
เมื่อเห็นสภาพของน้ำเต้าตงฉู่ชัดๆ จางเซวียนแทบกัดลิ้นตัวเอง
“ทำไมล่ะ? ผมดูไม่เหมือนหรือไง?”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่ดูเหมือนเพิ่งฟักออกจากไข่เดินเตาะแตะเข้ามา มันเชิดหน้า ทำท่าราวกับนกยูงผู้สูงศักดิ์
จางเซวียนกับตัวโคลนขยี้ตา แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน ความบ้าบอของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่แทบทึ้งผมตัวเอง
มังกรสวรรค์ดึกดำบรรพ์อยู่ไหน?
เต๋าตี้อยู่ไหน?
แล้วปี่เซียะล่ะอยู่ไหน?
แทนที่จะเป็นอะไรสักตัวหนึ่งที่ว่ามา แท้ที่จริงแล้วแกคือลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย!
บอกผมมาซิ แกคิดว่ามีตรงไหนในตัวแกที่เหมือนอสูรในตำนาน?
“ไก่นี่ถือเป็นอสูรในตำนานด้วยหรือ?” จางเซวียนพึมพำอย่างทึ่งจัด
ที่ผ่านมา น้ำเต้าตงฉู่คุยโวไว้มากมายจนสร้างความคาดหวังให้เกิดขึ้นในหัวใจของเขาโดยไม่รู้ตัว
แต่ลงท้าย มันกลับกลายเป็นแค่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวหนึ่ง? ให้นรกกินเถอะ!
ถ้ามันเป็นมังกรหรืออะไรทำนองนั้น จะน่าเกรงขามแค่ไหนหากเขาได้ขี่มันแล้วเล่นงานทุกคนที่บังอาจเข้ามาขวางทาง ต่อให้หอเทพเจ้าก็คงไม่กล้าวุ่นวายกับเขา
ว่าแต่…เขาควรจะทำอย่างไรกับลูกเจี๊ยบตัวนี้? โยนมันใส่ศัตรูแล้วหวังว่ามันจะกระพือปีกพึ่บพั่บใส่พวกนั้นจนตายหรือ?
“คุณต่างหากที่เป็นไก่ เป็นไก่กันทั้งตระกูลเลย!” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยคำรามก้อง มันเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งขณะพูดต่อ “ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน ผมคือ…ส่วนผมจะเป็นอะไรนั้น ผมยังได้ความทรงจำกลับคืนมาไม่หมด จึงบอกไม่ได้แน่ชัด แต่แน่ใจอย่างยิ่งว่า…ผม ไม่ ใช่ ไก่!”
“จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ” จางเซวียนโบกมืออย่างจนปัญญา
เขาไม่อยากคิดหรือโต้แย้งเรื่องนี้อีกแล้ว รู้สึกเหมือนอกจะแตกเสียก่อนหากต้องถกเถียงต่อ
จางเซวียนหันไปมองมิติลี้ลับที่อยู่โดยรอบ และเห็นว่ามันใกล้แตกสลายเต็มที จึงรีบเก็บตัวโคลน เหล่าอสูร และศพของชายวัยรุ่นทั้ง 3 เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ
จากนั้นก็เหลือบตาดูลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
จางเซวียนคำรามอย่างหมดความอดทน “ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้กลับเข้าจุดตันเถียนของฉันก่อน”
“ผมเป็นอิสระจากฉนวนบ้าบอนั่นแล้ว ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในจุดตันเถียนของคุณอีก” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตอบห้วนๆ
“ย้ายก้นของแกกลับไปที่นั่นซะ!” จางเซวียนใช้ 2 นิ้วคีบลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่อย่างนั้น แกก็ต้องเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของฉัน!”
“ก็ได้…”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยยอมกลับเข้าสู่จุดตันเถียนของจางเซวียน
ฟึ่บ!
ทันทีที่เสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนก็พบว่าตัวเขากลับมาอยู่ที่ถนนด้านนอกหอนิรันดร์ ซึ่งก็เหมือนที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้อันดุเดือดเพิ่งเกิดขึ้นที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน
จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วรีบกลับไปหาศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูร เห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสแต่ยังมีลมหายใจ จึงป้อนน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ขวดหนึ่งให้และสั่งการให้เขาเยียวยาตัวเอง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็เริ่มทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา
เขาแน่ใจว่าปลอมตัวจนแนบเนียนแล้วทุกด้าน ถึงขนาดที่ไม่เหลือร่องรอยของจางเซวียนคนเดิมอยู่ในตัวเขาเลยสักนิด แต่คนจากหอเทพเจ้าก็ยังควานหาตัวเขาจนเจอ…
พวกนั้นใช้วิธีค้นหาแบบไหน?
แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าเล่นงานถูกคน?
ตราบใดที่จางเซวียนยังหาคำตอบไม่ได้ ก็จะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไหร่จะตกอยู่ในอันตรายอีก
หลังจากที่ศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูรฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งเครียด “คุณกลับหอนานาอสูรเถอะ ผมดูแลตัวเองได้”
จากนั้นเขาก็แทรกตัวไปตามฝูงชน ไม่ช้าก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง
จางเซวียนอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงหรือไม่ จึงอ้อยอิ่งอยู่ในบริเวณที่เคยถูกลอบสังหารอีกกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่มีความพยายามลอบสังหารเกิดขึ้นอีก ถ้าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงๆ ก็น่าจะเจอตัวเขาและเล่นงานไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่…จางเซวียนคิด
เมื่อลองนึกดู ถ้าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงๆ ก็น่าจะเล่นงานเขาตั้งแต่ตอนแรกที่เขาออกจากสำนักดาบเมฆเหินแล้ว
เราคิดไม่ออกเลย…แต่ในเมื่อพวกนั้นมองไม่เห็นการปลอมตัวของเรา ระหว่างนี้เราคงยังปลอดภัย จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขากลับสู่หอนิรันดร์และจองห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่ง
จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลปิดกั้นอีกหลายอันไว้โดยรอบ ก่อนจะนำลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยออกมา
“แกทำอะไรได้บ้าง และตอนนี้แกแข็งแกร่งแค่ไหน?”
เขารู้สึกว่าไม่ควรด่วนสรุปเรื่องต่างๆของเจ้านี่ น่าจะดีที่สุดหากจะทำความเข้าใจรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะถึงอย่างไร น้ำเต้าตงฉู่ก็แข็งแกร่งกว่าที่เห็นมาก
ถ้าเขารู้ว่าลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยทำอะไรได้ ก็จะรู้ว่าจะสามารถใช้มันในการต่อสู้ได้อย่างไร
“ความสามารถของผม?” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยเอียงคอ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แกบินได้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยพยายามกระพือปีกเล็กจิ๋วของมัน
พลั่ก!
มันร่วงลงมากองกับพื้น
“ผมคิดว่าไม่ได้นะ” มันตอบ
“แล้วประสิทธิภาพการต่อสู้ของแกล่ะ?”
เพียะ!
พริบตาต่อมา แรงตบก็ปะทะร่างของลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย มันถูกสอยจนม้วนกลิ้งกลางอากาศก่อนจะกระแทกกับผนัง
“ก็ไม่อีกนั่นแหละ แล้วความแข็งแกร่งของแกล่ะ?”
จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับจ้องหลุมดำของความสิ้นหวัง เขานำศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งออกมาแล้วโยนใส่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย
อีกฝ่ายล้มลงกระแทกพื้นทันที กรงเล็บขนาดจิ๋วของมันสั่นสะท้านอยู่ข้างๆศพนั้น…
10 นาทีต่อมา จางเซวียนก็แทบเสียสติ
“นี่คือพละกำลังที่แกพูดว่า ‘มีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน’?”
หมอนี่คุยโม้ไว้มากมายว่าเมื่อนานมาแล้วมันเคยทรงพลังขนาดไหน แต่แล้วก็กลับกลายเป็นอสูรที่น่ารักน่าชังและไม่มีพิษภัย…แถมที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือดูเหมือนมันจะไม่มีพละกำลังใดๆเลยด้วย ไม่ว่านักรบคนไหนก็คงกระทืบมันให้ตายได้!
แต่พูดก็พูดเถอะ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ถือว่าน่าสนใจ คือความสามารถในการเยียวยาของมัน แม้มันจะถูกนักรบอมตะขั้นสูงเล่นงาน แต่ก็เยียวยาตัวเองให้หายจากอาการบอบช้ำได้อย่างรวดเร็ว