Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2055 ซุปเปอร์ไก่!
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2055 ซุปเปอร์ไก่!
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2055 ซุปเปอร์ไก่!
“ผม…ผมแน่ใจว่าผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน เพียงแต่ผมเพิ่งทำลายฉนวนได้ พลังงานก็ยังร่อยหรอมาก ผมยังไม่ฟื้นตัวเลย! ทำไมคุณไม่นำยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษมาให้ผมอีก 200 เม็ดล่ะ ไม่ ไม่ใช่สิ เอาเป็นยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ดเลยดีกว่า ผมคงจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกหน่อย…”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยกระพือปีกอย่างร้อนใจ
“ยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ด? ทำไมแกไม่ไปลงนรกเสียเลยล่ะ?” จางเซวียนพูดไม่ออก
กว่าเขาจะหายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ดมาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว หมอนี่ยังจะให้เขาหายาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ดอีก…
ฉันควรจะเขี่ยความคิดนั้นออกจากหัวสมองของแกซะ!
ถึงจางเซวียนจะขัดใจ แต่ก็รู้ว่ามีโอกาสที่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวนี้จะพูดความจริง เพราะถึงอย่างไรมันก็สามารถกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้ทั้งที่ยังถูกกักขังอยู่ในฉนวน ไม่มีทางที่มันจะเป็นของธรรมดาสามัญเป็นอันขาด!
“ในเมื่อแกเป็นอสูรของฉัน แกก็ควรมีชื่อเรียกที่เหมาะสม ฉันจะเรียกแกว่าน้ำเต้าตงฉู่หรือลูกเจี๊ยบน้อยไม่ได้หรอก” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อือ!” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยพยักหน้ารับ “ผมน่าจะยังเหลือฉนวนบางส่วนที่ยังจัดการไม่ได้ จึงยังไม่รู้แน่ชัดว่าแท้ที่จริงแล้วผมเป็นอะไร แต่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจก็คือผมไม่ใช่ไก่! ผมจะต้องเป็นอสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้!”
ต่อให้ไก่ตัวหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ดังนั้น จึงดูย่ำแย่มากหากนายท่านจะเรียกมันว่าไก่
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยมองเจ้านายด้วยแววตาคาดหวัง หวังว่าจะได้ชื่อที่สง่างามเหมาะสมกับตัวมัน
“ไม่ว่าแกจะเป็นไก่จริงๆหรือไม่ เรื่องจริงก็คือตอนนี้แกดูเหมือนไก่ แกอวดอ้างตัวว่าเป็นอสูรในตำนานผู้บงการทั่วทั้งดินแดน ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเราถึงไม่เรียกแกว่า…”
จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตาโตด้วยความตื่นเต้น “ซุปเปอร์ไก่!”
…..
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยร่วงลงไปกองกับพื้น
คุณแน่ใจแล้วหรือว่าชื่อนั้นเหมาะสมกับอสูรในตำนาน?
มนุษย์ที่ทรงพลังเหนือชั้นได้ชื่อว่าเป็นซุปเปอร์แมน ดังนั้น ไก่ตัวผู้ที่ทรงพลังเหนือชั้นก็ควรได้รับการขนานนามว่าซุปเปอร์ไก่
ต้องใช้เวลาโต้แย้งถกเถียงกันยาวนานกว่าที่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยจะหว่านล้อมให้จางเซวียนยอมใช้ชื่อไก่น้อยแทน ไม่มีคำไหนจะบรรยายความสุขของมันได้
เพราะชื่อที่นายท่านตั้งให้แสนจะเลวร้าย จึงถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่แล้วที่มันได้ชื่อ ‘ไก่น้อย’ มาแทน หากมันต้องใช้ชื่อซุปเปอร์ไก่ หรือเจี๊ยบเจี๊ยบ หรืออะไรทำนองนั้น มันคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้!
ต่อไปมันจะมองหน้าเพื่อนอสูรในตำนานอย่างไรหากได้ชื่อน่าเกลียดน่าชังแบบนั้น?
“ผมคืออสูรในตำนานผู้มีอำนาจบงการสวรรค์ทั้ง 9 และทวีปทั้ง 10… มังกรโบราณดึกดำบรรพ์อ้าวเทียน!”
“ผมคืออสูรในตำนานผู้แผดเผาทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และดูดน้ำในมหาสมุทรมากมายนับไม่ถ้วน นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว, หัวเฉียนหยู่!”
จากนั้นก็ถึงตาที่มันต้องแนะนำตัวเอง…
“ผมคืออสูรในตำนาน…ซุปเปอร์ไก่!”
มันคงตัวสั่นงันงกเพราะชื่อนั้น
น่าเกลียดน่าชังอะไรอย่างนี้!
ทำไมมันถึงต้องลงเอยด้วยการมีเจ้านายที่แสนจะพึ่งพาไม่ได้
ถึงตอนนี้ ไก่น้อยได้แต่ก้มหน้างุดเพื่อสำรวจตัวมันเอง
บ้าที่สุด เราดูเหมือนไก่จริงๆ…จำพวกที่ออกไข่หรืออะไรทำนองนั้นแหละ!
แถมยังไม่มีความทรงจำหลงเหลือสักนิดว่าเราเป็นใคร เราเป็นอสูรในตำนานชนิดไหน?
ไก่น้อยครุ่นคิดหนัก
จางเซวียนไม่แยแสลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่กำลังใคร่ครวญถึงเหตุผลที่มันเกิดมา เขาพิจารณาศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 คนที่เพิ่งถูกสังหารไป
ก็เหมือนเหล่านักรบที่เขาเคยเอาชนะมาก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ไม่มีของล้ำค่าใดๆอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ สิ่งเดียวที่มีค่าก็คือร่างกายของพวกเขา
พูดกันตามตรง จางเซวียนกังวลไม่น้อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าพวกที่เล่นงานเขาเป็นใคร ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก จางเซวียนไม่เคยปรารถนาพละกำลังมากขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธ!
แต่ถ้าเขาเปลี่ยนนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เหล่านี้ให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ก็จะปลอดภัยกว่าเดิมมาก ถ้าก่อนหน้านี้เขามีพวกมันอยู่ ก็คงใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณเป็นปราการป้องกันไม่ให้ชายวัยรุ่นคนนั้นระเบิดวรยุทธของตัวเองได้
…..
ที่หอเทพเจ้า
ร่างสูงตระหง่านปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ใจกลางห้อง
“ล้มเหลวอีกแล้วหรือ?” ร่างนั้นย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาจับจ้องชายเสื้อคลุมสีดำที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
“ใช่…”
ชายเสื้อคลุมสีดำตัวสั่น
“ผมประเมินเขาต่ำไป ผู้ที่สวรรค์เลือกคือผู้ได้รับพรอันยิ่งใหญ่จริงๆ…” ร่างนั้นคำรามเสียงเย็น “คุณต้องลงมือด้วยตัวเองแล้วล่ะ ถ้าแพ้ล่ะก็ อย่าได้คิดจะบากหน้ากลับมาหาผมนะ ฆ่าตัวตายเสียตรงนั้นให้สิ้นเรื่องไป อีกอย่าง ผมอยากให้คุณตรวจสอบด้วยว่าเขาใช้ไม้ตายแบบไหนที่ทำให้เล่นงานได้แม้แต่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งสามคนของเรา!”
“ขอรับ นายท่าน!” ชายเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าก่อนจะถอยออกจากห้อง
“รอเดี๋ยว!” ร่างนั้นยกมือขึ้น “ประกาศกำหนดการของหอเทพเจ้าออกไปด้วย สะพานเบื้องบนจะปรากฏในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้!”
“ครึ่งเดือน? สะพานเบื้องบนจะลงมาก่อนเวลาหรือ?” ชายเสื้อคลุมสีดำตั้งคำถาม
โดยปกติ ต้องรอนานเอาการกว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา การที่มันจะปรากฏในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้…เร็วไปหน่อยไหม?
“ในเมื่อสำนักดาบเมฆเหินวางตัวเขาให้เป็นเจ้าสำนักแล้ว พวกนั้นก็น่าจะตั้งใจให้เขาเข้าร่วมในฐานะผู้ท้าทาย ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ กว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา เขาอาจใช้ช่วงเวลานี้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้สำเร็จ ซึ่งถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะไม่มีใครในหมู่พวกคุณที่เทียบชั้นกับเขาได้อีก” ร่างนั้นตอบ
เขาพูดต่อด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ “เราต้องทำให้เขาล้มเหลวให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้น พวกคุณทุกคนจะต้องตาย!”
“ผมเข้าใจ” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบอย่างเคร่งเครียดก่อนจะออกจากห้อง
…..
เรือรูปร่างเรียวยาวลำหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือสำนักดาบเมฆเหิน สุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ที่หัวเรือ ด้านหลังเธอคือเด็กชายวัยรุ่น
“หัวหน้าตำหนักตู้ คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับที่ด้านหน้าเรือ-หานเจี้ยนชิว
“ฉันมาขอพบเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกคุณ” สุภาพสตรีคนนั้นตอบขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้
เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ตู้ชิงหย่วน!
“เจ้าสำนักคนใหม่ของเรา?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว
“ใช่ คุณเชิญเขาออกมาพบฉันได้ไหม?” ตู้ชิงหย่วนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“คือ…” หานเจี้ยนชิวอึ้งไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าตำหนักตู้ ผมต้องขออภัยด้วย แต่ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน เขาอยู่ในช่วงสุ่มเสี่ยงของการฝึกฝนวรยุทธ คงไม่สะดวกพบแขกในเวลานี้”
เขารู้ดีว่าเรื่องสำคัญที่สุดก็คือต้องเก็บงำข่าวที่จางเซวียนออกจากสำนักไว้เป็นความลับ ไม่อย่างนั้น หากหอเทพเจ้ารู้เรื่องด้วยวิธีใดสักอย่าง พวกนั้นจะต้องเปิดการโจมตีแน่
จางเซวียนคือความหวังสูงสุดของพวกเขาในการฝ่าด่านวรยุทธที่สะพานเบื้องบน จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชายหนุ่มคนนี้
“เขากำลังปลีกวิเวกหรือ?” ตู้ชิงหย่วนขมวดคิ้ว
เธอรู้ดีว่าเจ้าสำนักดาบเมฆเหินทุกคนจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน คำพูดของหานเจี้ยนชิวไม่มีอะไรผิดปกติ เธอจึงไม่ได้สงสัย
และเมื่อหวนนึกดู หานเจี้ยนชิวก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้เช่นกัน เขาปลีกวิเวกอยู่นานถึง 15 ปี
ต่อให้จางเซวียนจะเก่งกาจแค่ไหน ก็คงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินจนเชี่ยวชาญได้ในระยะเวลาอันสั้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเลย ในฐานะหัวหน้าตำหนักคว้าดาว เธอไม่อาจรอคอยเขาเป็นเดือนเป็นปีเพื่อให้อีกฝ่ายออกจากการปลีกวิเวกได้
“คุณพอจะมีภาพเหมือนของเขาบ้างไหม ฉันอยากดูสักหน่อย?” ตู้ชิงหย่วนตั้งคำถาม
หานเจี้ยนชิวตอบด้วยสีหน้าที่ออกจะกังขา “ขออภัยด้วยเถอะ หัวหน้าตำหนักตู้ แต่ผมคงต้องถามคุณว่าอยากพบเจ้าสำนักของเราด้วยเหตุผลใด”
ในฐานะหัวหน้าตำหนักคว้าดาว, 1 ใน 6 สำนักใหญ่ ตู้ชิงหย่วนคือนักรบที่เป็นสุดยอดของทวีปที่ถูกลืม ส่วนจางเซวียน ก่อนที่เขาจะได้เป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
“ฉันรู้สึกว่าชื่อของเขาฟังดูคุ้นหู อาจเป็นคนรู้จักของฉันก็ได้ จึงอยากรู้ว่าใช่เขาจริงๆหรือเปล่า” ตู้ชิงหย่วนตอบ
ถ้าจางเซวียนอยู่ตรงนี้ ก็จะจดจำได้ทันทีว่าตู้ชิงหย่วนคือเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหย่งได้เรียกมาเมื่อตอนทำพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
ในครั้งนั้น เพื่อช่วยชีวิตอำมาตย์เฉินหย่ง จางเซวียนร้องขอให้ตู้ชิงหย่วนนำจิตวิญญาณของอำมาตย์เฉินหย่งไปด้วย ด้วยการใช้ศาสตร์ลับบางอย่าง ตู้ชิงหย่วนสร้างกายเนื้อร่างใหม่ให้อำมาตย์เฉินหย่ง ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็คือเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
“ท่านเจ้าสำนักของเราเป็นคนรู้จักของคุณหรือ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว
ถึงจะฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เขาก็อดนึกถึงไม่ได้ว่าจางเซวียนยืนกรานหนักแน่นขนาดไหนที่จะเดินทางไปทะเลพลัดดาว และหลังจากนั้นไม่นาน ตู้ชิงหย่วนก็ลงทุนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อตามหาจางเซวียน…หรือว่าทั้งคู่จะเป็นคนรู้จักมักคุ้นกันจริงๆ?
หานเจี้ยนชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนสะบัดข้อมือ
ตราหยกอันหนึ่งปรากฏในฝ่ามือของเขา เขาเคาะมันเบาๆ แล้วภาพเหมือนของจางเซวียนก็ปรากฏกลางอากาศ “นี่คือท่านเจ้าสำนักของเรา, จางเซวียน”
พูดได้เลยว่าสำนักดาบเมฆเหินกับตำหนักคว้าดาวไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนัก แต่ถึงตู้ชิงหย่วนจะทำตัวเข้าใจยากอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เท่าที่ดูจากความเป็นไปได้ต่างๆ เธอไม่น่าจะพยายามทำร้ายเจ้าสำนักของเขา
และเขาก็ไม่ได้บอกเธอด้วยว่าจางเซวียนกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน การที่เธอจะได้เห็นหน้าตาของจางเซวียนหรือไม่ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ใช่จริงๆ!” ตู้ชิงหย่วนตาโตเมื่อเห็นภาพนั้น
ส่วนหวู่เฉิน, เด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอก็ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น