Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2057 ไปทะเลพลัดดาว
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2057 ไปทะเลพลัดดาว
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2057 ไปทะเลพลัดดาว
“นอกจากเรื่องกิน แกมีความสามารถในการโจมตีแบบอื่นๆไหม? ฉันจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นน้ำเต้า แกเล่นงานนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวให้ยอมจำนนได้ แล้วตอนนี้ยังมีกระบวนท่าทรงพลังแบบนั้นอยู่หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“เอ่อ ผมไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้นได้นะ เหตุผลเดียวที่ผมเล่นงานนกตัวนั้นได้เพราะน้ำเต้าที่ขังตัวผมอยู่แข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้น การปลดปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระคงไม่ยากเย็นแบบนั้นหรอก…เดี๋ยวก่อน ตอนนั้นผมกลืนลูกไฟที่เจ้านกนั่นพ่นออกมาด้วยใช่ไหม? ผมคิดว่าผมน่าจะยังทำแบบเดิมได้” ไก่น้อยพูด
“อ้อ แกยังกินลูกไฟได้หรือ?” จางเซวียนพยักหน้า
เขาเคาะกระสอบอสูรและเรียกนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวออกมา
“ฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว ปล่อยลูกไฟใส่ไก่น้อยที!” จางเซวียนสั่งการ
“ขอรับ นายท่าน”
เปลวเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้างระเบิดออกจากหัวทั้ง 9 ของนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว มันเข้ารุมล้อม ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่ยืนอยู่กับพื้น แผดเผามันด้วยความร้อนแสนสาหัส
ผ่านไปหลายนาทีกว่าเปลวเพลิงจะมอดดับ
ลูกบอลขี้เถ้าลูกจ้อยแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านสีดำ ได้กลิ่นเนื้อย่างอันโอชะโชยออกมา
“ฮะ?” จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ
เจ้าไก่นั่น…สุกดีแล้วหรือ?
หมอนั่นเพิ่งบอกนี่นาว่ายังกินลูกไฟได้ ทำไมถึงถูกย่างง่ายๆแบบนั้น?
แถมกลิ่นเนื้อก็หอมอบตลบอบอวลด้วย เล่นเอาน้ำลายไหลเลยทีเดียว…
“นายท่าน ผมไม่รู้ว่ามันจะอ่อนแอขนาดนี้…” นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง
ในเมื่อเจ้าไก่เหลืองตัวนี้ออกมาจากน้ำเต้า มันก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอสูรที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่เอาไหน แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นไก่ย่างที่ส่งกลิ่นหอมทันทีที่ถูกไฟเผา?
มันไม่ได้ตั้งใจจะย่างอสูรของนายท่านเลยจริงๆ!
“ผมก็ไม่รู้…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกอย่างจนปัญญา
เขายื่นแขนออกไปตรวจดูว่าไก่น้อยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ามันตายจริงๆ เขาคงต้องฝังมันเพราะความเกรงอกเกรงใจ แม้จะเป็นการเสียอาหารไปเปล่าๆก็ตาม…
ทันทีที่นิ้วของจางเซวียนสัมผัสไก่ดำปิ๊ดปี๋ เสียงเหมือนกระเบื้องแตกก็ดังทั่วทั้งห้อง
ครืดดดดด!
เกิดรอยร้าวรอบบริเวณที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ร่างสีเหลืองอีกร่างหนึ่งผลุบออกมาจากข้างใน
คราวนี้ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยดูจะตัวกลมกว่าเก่าเล็กน้อย ไม่เพียงเท่านั้น ยังแผ่รังสีออกมาด้วย มันกระพือปีกและโผขึ้นสู่กลางอากาศโดยไม่ลำบากยากเย็นอะไร จากนั้นก็ร่อนลงเกาะไหล่ของจางเซวียน
“แก…แกสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก
หลังจากถูกย่างด้วยลูกไฟของนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว เจ้าไก่เหลืองตัวนี้เปลี่ยนจากลูกเจี๊ยบตัวจ้อยมาเป็นไก่ที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์
มันมีวรยุทธขั้นเดียวกันกับนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวแล้ว!
“ใช่!” ไก่น้อยพยักหน้าอย่างลิงโลด
“ถ้างั้น กุญแจของการปลดล็อควรยุทธของแกก็คือจับแกย่าง? เข้าใจแล้ว จัดการต่อเลย!”
จางเซวียนตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาสั่งการให้นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวพ่นไฟใส่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยต่อไป
แต่ไม่ช้า ทั้งคู่ก็หยุด
ดูเหมือนวรยุทธของไก่น้อยจะเพิ่มสูงขึ้นเฉพาะเมื่อถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงเป็นครั้งแรกเท่านั้น การย่างซ้ำไม่ส่งผลอะไร
“ช่างมันเถอะ แกมีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ดีแล้ว แถมยังกลืนอาวุธได้” จางเซวียนพูด
เขาลองทดสอบต่อไป แต่แล้วก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของไก่น้อยไม่ได้ต่างไปจากเดิม แม้จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว แต่ด้วยปีกและกรงเล็บเล็กจ้อยนั้น มันสู้ไม่ได้แม้แต่กับนักรบอมตะตัวจริง เมื่อเห็นแบบนี้ จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
อันที่จริง ถือว่าไม่เลวนักที่ไก่น้อยสามารถกลืนกินอาวุธได้ ความสามารถนี้จะช่วยได้มากในระหว่างการต่อสู้ เขาไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรให้มากเกินไป
จางเซวียนเก็บไก่น้อยเข้าสู่จุดตันเถียน และให้นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวกลับเข้าไปในกระสอบอสูรก่อนจะออกจากห้อง
เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่ของหอนิรันดร์และพูดว่า “ผมอยากเช่าอสูรอมตะบินได้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าต้องไปที่ไหน?”
มังกรอสรพิษของเขาแทบจะมีป้ายแปะหัวแล้วว่า ‘ผมคืออสูรที่หัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่ทำให้ยอมจำนน’ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะนำอีกฝ่ายออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แม้อสูรอมตะทั่วไปจะบินได้ช้ามากก็ตาม
เมื่อลองนึกดู เขาน่าจะทำให้อสูรอมตะบินได้ยอมจำนนไว้สัก 2-3 ตัวเมื่อตอนอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหิน แต่ตอนนั้นจางเซวียนไม่คิดว่าเขาจะมีความจำเป็นต้องใช้อสูรมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วเตรียมตัวไว้น่าจะดีกว่า
“คุณอยากเช่าอสูรอมตะบินได้หรือ? ที่เมืองปี้หยวนของเรามีไม่มากนักหรอก และส่วนใหญ่ก็มีเส้นทางบินที่กำหนดตายตัว ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหน?” เจ้าหน้าที่ย้อนถามพร้อมกับยิ้มให้อย่างสุภาพ
“ผมจะขึ้นเหนือ ไปทะเลพลัดดาว” จางเซวียนตอบ
“ขึ้นเหนือ?” เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาวหรอก จึงมีอสูรอมตะบินได้ไม่มากนักที่เดินทางไปที่นั่น ขอฉันตรวจสอบให้คุณก่อน…”
จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงพลิกหนังสืออย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็พูดยิ้มๆ “อสูรอมตะบินได้ที่มีวรยุทธอมตะตัวจริงระดับล่างตัวหนึ่งจะเดินทางไปทะเลพลัดดาวในอีก 3 วันจากนี้ คุณจะถึงที่หมายโดยใช้เวลาราว 1 เดือนเท่านั้น”
“1 เดือน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ไม่มีอสูรที่บินได้เร็วกว่านั้นแล้วหรือ?”
เขาไม่อยากเสียเวลาเดินทางยาวนานขนาดนั้น
หอเทพเจ้าตามตัวเขาเจอแล้ว และไม่มีทางรู้เลยว่าการลอบสังหารครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เขาต้องมุ่งหน้าไปตำหนักคว้าดาวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณให้เพียงพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ
ถ้าเขาขี่มังกรอสรพิษไปได้ อย่างมาก 7 วันก็คงถึงที่หมาย…1 เดือนมันนานเกินไป!
ได้ยินคำนั้น เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าและพูดต่อ “ฉันเกรงว่าจะไม่มีทางเลือกอื่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในทะเลพลัดดาวไม่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ จึงแทบไม่มีใครเดินทางไปที่นั่น อีกอย่าง ค่าโดยสารของอสูรอมตะบินได้ก็แพง จึงมีผู้คนใช้บริการไม่มาก…”
กลุ่มอำนาจส่วนใหญ่มีอสูรบินได้ของตัวเอง และผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงแล้วก็บินได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้อสูรเดินทางไปไหนมาไหน
อีกอย่าง ผู้คนในท้องถิ่นของทะเลพลัดดาวมักเป็นปฏิปักษ์กับคนแปลกหน้า มีแต่เมืองใหญ่อย่างเมืองปี้หยวนเท่านั้นที่จะมีเส้นทางการบินมุ่งตรงไปที่นั่น
“ถ้าผมเช่าอสูรระดับอมตะขั้นสูงตัวหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่” จางเซวียนถาม
“เอ่อ…” เจ้าหน้าที่ไม่มีคำตอบให้ “ฉันไม่เคยเจอคำถามแบบนี้มาก่อน จะไปตรวจสอบกับผู้อาวุโสให้นะ”
เธอหันหลังกลับและจากไป
ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับผู้อาวุโสคนหนึ่ง
“คุณจะเดินทางไปทะเลพลัดดาวหรือ?” ผู้อาวุโสตั้งคำถาม
จางเซวียนพยักหน้า “คุณมีอสูรอมตะขั้นสูงให้ผมเช่าไหม?”
“อสูรอมตะขั้นสูงที่เปิดให้เช่านั้นมีไม่มาก แต่ผมรู้มาว่าพวกสำนักดาวเจ็ดดวงตั้งใจจะมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาวเหมือนกัน พวกเขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้ และอสูรที่พวกเขาขี่จะไปถึงที่หมายภายใน 5 วัน!” ผู้อาวุโสตอบยิ้มๆ
“5 วัน!” จางเซวียนถึงกับผงะ
เร็วกว่ามังกรอสรพิษเสียอีก!
เป็นไปได้ว่าอสูรอมตะตัวนั้นจะมีวรยุทธระดับอมตะสรวงสวรรค์ขั้นสูงเช่นกัน
“ใช่” ผู้อาวุโสพยักหน้า
“ผมคงต้องรบกวนให้คุณช่วยอธิบายหน่อยว่าผมจะขอโดยสารไปกับพวกเขาได้อย่างไร?” จางเซวียนประสานมือ
ความเร็วของอสูรอมตะทำให้เขาสนใจมาก แถมสิ่งนี้ยังหมายความว่าระดับของผู้ที่จะเดินทางไปกับอสูรตัวนี้ย่อมไม่ธรรมดา เขาคงต้องจ่ายค่าโดยสารในราคาสูงลิ่ว
จากการท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเมื่อครั้งอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหิน จางเซวียนได้เงินเหรียญสำนักดาบมากมาย แต่เพราะคิดว่าไม่มีเหตุให้ต้องใช้มากนัก จึงใช้เงินนั้นซื้อหายาเม็ดอมตะให้ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงเกือบหมด
ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะไม่ถึงกับจนกรอบ แต่เงินที่มีก็ไม่มากพอจะขอโดยสารไปกับสำนักดาวเจ็ดดวง
แต่ในเมื่อเป็นที่แน่ใจแล้วว่าเขาจะได้เดินทางไปกับอสูรอมตะหากมีเงินมากพอ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาก เขาแค่ต้องหาเงินเท่านั้น
เมื่อคิดได้ จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโส “ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
“มันเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง และด้วยความห่างไกลของทะเลพลัดดาว สนนราคาก็น่าจะอยู่ที่อย่างน้อย 20,000 เหรียญนิรันดร์” ผู้อาวุโสตอบหลังจากคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
“20,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ขนาดตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของนักรบอมตะตัวจริงยังมีราคาแค่ 2,700 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น หากมีเงิน 20,000 นิรันดร์ ก็คงสามารถซื้อหาได้แม้แต่อาวุธระดับอมตะขั้นสูง
ช่างแพงเสียจริงๆ
“ใช่” ผู้อาวุโสพยักหน้า “บอกคุณตามตรงนะ ผมได้ค่าคอมมิชชั่นครึ่งหนึ่ง เพราะคุณก็คงรู้ว่าหากไม่มีการแนะนำจากผม ต่อให้มีเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์ คุณก็ขอโดยสารไปกับสำนักดาวเจ็ดดวงด้วยตัวเองไม่ได้!”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า
เขาเป็นคนนอก ไม่รู้จักใครสักคนในสำนักดาวเจ็ดดวง หากไม่มีผู้อาวุโส อย่าว่าแต่จะเจรจากับพวกนั้นเลย คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามารถทำแบบนี้ได้
“ผมเข้าใจ จะไปเตรียมเงินเดี๋ยวนี้แหละ” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของหอนิรันดร์
ความปลอดภัยต้องมาก่อน ขอแค่เขาหลบซ่อนสายตาของหอเทพเจ้าได้ การใช้เงินจำนวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ส่วนเขาจะหาเงินได้อย่างไรนั้น ที่ไหนก็ตามที่มีหอนิรันดร์ ย่อมมีการดวลที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม ในเมื่อเขาคือผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน การหาเงินก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!
ขอแค่เขาไม่เปิดเผยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า หอเทพเจ้าก็ไม่มีทางหาตัวเขาเจอ
จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลปิดกั้นสองสามอันในห้องส่วนตัวนั้น ก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล
การวางผังของหอนิรันดร์เสมือนจริงไม่ต่างกับในโลกของความเป็นจริง จางเซวียนรุดหน้าสู่สังเวียนประลอง
ในฐานะเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปที่ถูกลืม เมืองปี้หยวนมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แม้นักรบอมตะตัวจริงจะถือได้ว่าเป็นนักรบชั้นนำในเมืองเล็กๆอย่างเมืองอู๋ไห่ แต่สำหรับที่นี่ มีนักรบระดับนั้นอยู่มากมาย จนแทบไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาคือคนกลุ่มน้อยของทวีปที่ถูกลืม
ด้วยเหตุนี้ สังเวียนประลองจึงมีผู้คนแน่นขนัด