Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2071 คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2071 คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2071 คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?
“ตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่ใจกลางเกาะ ถ้าเราบินตรงไปที่นั่นเลย จะต้องเกิดเรื่องแน่ เพราะฉะนั้นเราจะร่อนลงตรงนี้ก่อน” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวบอกจางเซวียน
อสูรอมตะบินได้ลดความเร็วลง ไม่ช้าก็ร่อนลงบนลานแห่งหนึ่ง
ทันทีที่ลงจอด องครักษ์ในชุดเกราะเต็มยศกลุ่มหนึ่งก็ตบเท้าเข้ามา
ผู้อาวุโสหงอู่เดินเข้าไปและแสดงตราสัญลักษณ์ของเขา เหล่าองครักษ์พิจารณาตราสัญลักษณ์นั้นก่อนจะเปิดทางให้
จางเซวียนประเมินองครักษ์ 2 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างถี่ถ้วน
เป็นอย่างที่คิดไว้ พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอท
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนยังแต่งกายเหมือนเหล่าเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ที่ลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์
หรือว่าคนเหล่านี้คือปลายทางของพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเทพเจ้าสุภาพสตรีที่นำตัวอำมาตย์เฉินหย่งไปและกล่าวว่า เธอรู้ว่าหลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของตำหนักคว้าดาว?
ดูเหมือนต่อไปเขาต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้
“ผู้อาวุโสหลิว สำนักดาวเจ็ดดวงของเรามีสาขาอยู่ที่นี่ ผมจะพาคุณไปที่นั่น แล้วจะช่วยคุณจัดหา ทรัพยากรที่คุณต้องการสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด
จางเซวียนพยักหน้ารับ
ทั้งกลุ่มรุดหน้าไปตามถนน
เมืองนี้ใหญ่โตมาก น่าจะใหญ่กว่าเมืองปี้หยวนหลายเท่า ถ้าก่อนหน้านี้จางเซวียนยังไม่แน่ใจ การลัดเลาะไปตามถนนก็ทำให้เขาแน่ใจแล้ว
ทุกคนที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวแห่งนี้ล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
ความดุร้ายและกระหายเลือดของพวกเขาถูกพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทกำจัดออกไป แต่คนเหล่านี้ยังคงมีความหวงแหนในเผ่าพันธุ์ จึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนกับคนแปลกหน้า
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเห็นจางเซวียนมองไปรอบๆ จึงส่งโทรจิตหา “ถึงสำนักดาวเจ็ดดวงจะมีสาขาที่นี่ แต่ก็ยังถูกมองเป็นคนนอกอยู่ดี เราทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกับพวกเขา แต่ไม่มีสายสัมพันธ์วงในที่แน่นแฟ้นใดๆ พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายที่นี่มากเท่าไหร่ เพราะมันอาจเป็นไฟที่ย้อนกลับมาเล่นงานเราเอง”
จางเซวียนพอเข้าใจคำพูดนั้น ไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจและรู้จักแค่การเข่นฆ่า แต่เรื่องจริงก็คือพวกนั้นมีสัญชาตญาณของความกระหายสงคราม
ถ้าอะไรๆไม่เป็นไปอย่างที่คิด สัญชาตญาณเบื้องต้นของคนเหล่านี้ก็คือการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกัน ดังนั้น การสานสัมพันธ์กับพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ด้วยเหตุนี้ มีปฏิสัมพันธ์ให้น้อยเข้าไว้จึงดีที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหา
สำหรับจางเซวียนก็ไม่ต่างกัน เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาคือนักรบผู้ไร้เทียมทาน แต่สำหรับที่นี่ มีนักรบมากมายที่ปราบเขาได้ ทำตัวเงียบหงิมไว้จึงดีที่สุด
หลังจากเดินไปได้อีกราว 2 ชั่วโมง สาขาของสำนักดาวเจ็ดดวงก็ปรากฏตรงหน้า ที่นี่ไม่ต่างกับสำนักงานใหญ่ในเมืองปี้หยวน มีทรัพย์สมบัติตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่ระดับขั้นของพวกมันดูจะอ่อนด้อยกว่า
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไป ผู้จัดการก็รีบมาต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกับจัดเตรียมที่พักที่ดีที่สุดให้
“ผู้อาวุโสหลิว ระหว่างนี้คุณพักที่นี่ไปก่อนนะ ผมจะไปจัดเตรียมทรัพยากรที่คุณต้องการ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด
“ขอผมถามได้ไหมว่าคุณคิดจะเตรียมอะไร?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยความสงสัย “ถึงวรยุทธอมตะขั้นสูงระดับล่างกับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จะเป็นวรยุทธขั้นเดียวกัน แต่การจะก้าวจากขั้นย่อยหนึ่งไปสู่อีกขั้นย่อยหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เท่าที่ผมฟัง…ดูเหมือนคุณจะมีวิธีที่ทำให้ผมฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว”
การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธอมตะขั้นสูงนั้นเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ เส้นทางของมันไม่ได้ราบรื่น การจะก้าวจากวรยุทธอมตะขั้นสูงระดับล่างไปเป็นอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไม่ใช่งานง่ายเลย
หากเปรียบวรยุทธอมตะตัวจริงเป็นสระน้ำ วรยุทธอมตะขั้นสูงก็จะเทียบเท่ากับมหาสมุทร การเติมสระน้ำให้เต็มไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่การเติมมหาสมุทรถือเป็นเรื่องใหญ่มาก นักรบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วหากอยากเร่งกระบวนการทั้งหมดให้เร็วขึ้น
อีกอย่าง สิ่งที่เขาขาดอยู่ในเวลานี้ไม่ได้มีเพียงแค่ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ แต่เป็นหนังสือเทคนิควรยุทธด้วย
ต่อให้มหาสมุทรกว้างใหญ่แค่ไหน ขอแค่มีแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องเต็ม
แต่จางเซวียนยังไม่ได้สร้างแม่น้ำที่จะไหลลงสู่มหาสมุทรของเขาเลย ถ้าเขาอาศัยแต่น้ำฝน จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนมันถึงจะเต็ม?
สถานการณ์เป็นแบบนี้ แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกลับพูดราวกับว่าจะช่วยเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ จางเซวียนจึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น
“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เคยปรากฏตัวในทะเลพลัดดาว ถ้าผมจับตัวมันและนำเลือดกับแก่นอสูรของมันมาได้ การที่คุณจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ไม่ยากเกินไป” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเปิดเผยความคิดของเขา
“อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ก็คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่านักรบจะต้องเข้าท้าทายสะพานเบื้องบนเพื่อให้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”
ตามที่เขาได้ฟัง ดูเหมือนโอกาสของการได้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบนจะถูก 6 สำนักยึดครองแล้ว เผ่าพันธุ์อสูรไม่น่ามีโอกาสเข้าถึง
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองรอบตัวอย่างระแวดระวังก่อนจะส่งโทรจิตหาจางเซวียน “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งมีข้อยกเว้น เมื่อ 2 เดือนก่อน…ที่อาณาบริเวณส่วนหนึ่งของทะเลพลัดดาว ท้องฟ้าได้พังทลายลงมาและมีบางอย่างตกลงสู่พื้น มันกระแทกกับก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆและเปลี่ยนก้อนหินเหล่านั้นให้กลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่มีเปลวเพลิงและอาวุธใดทำอันตรายพวกมันได้ ถ้าอสูรระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เข้าใกล้ ก็จะมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ”
“ก้อนหิน? หรือว่าจะเป็นหินโลหิตเทพเจ้า?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างอัศจรรย์ใจ ตัวเกร็งขึ้นมาทันที
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาอยากมาเยือนทะเลพลัดดาวก็คือเพื่อเสาะหาต้นกำเนิดของหินโลหิตเทพเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะรู้เรื่องนี้
ถ้าการที่หินเหล่านั้นแปรสภาพเป็นหินโลหิตเทพเจ้าไม่ได้มีนัยอะไร แต่การที่แม้แต่อสูรอมตะก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้นั้น อย่างน้อยที่สุดก็บ่งบอกอะไรบางอย่าง
“คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวย้อนถาม
“ผมเคยได้ยินเรื่องของมัน” จางเซวียนพยักหน้า
“ผมเคยอ่านเรื่องหินโลหิตเทพเจ้าในบันทึกโบร่ำโบราณ ก้อนหินพวกนั้นน่าจะเป็นหินโลหิตเทพเจ้า ถ้าเราจับตัวอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และนำเลือดกับแก่นอสูรของมันมาได้ ต่อให้ไม่มากพอจะทำให้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเพียงพอให้คุณได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด
ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง เขามีความรอบรู้เรื่องของล้ำค่าและทรัพย์สมบัติต่างๆ
ต่อให้ไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ชายหนุ่มก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ด้วยเลือดและแก่นอสูร
เพียงแต่…
การล่าตัวอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่การพูดถึงง่ายกว่าลงมือทำมาก นอกจากความแข็งแกร่งของมัน หากพวกมันพยายามหลบหนี เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะตามจับมันได้สำเร็จ
อีกอย่าง มันก็เป็นแค่ความเป็นไปได้ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น
“ไม่ทราบว่าก้อนหินพวกนั้นอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
เขาแทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง
“ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องตำแหน่งที่แน่นอนของมัน แต่ผมเห็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดนี้มากนัก ถ้าเราอยากรู้ตำแหน่งของหินโลหิตเทพเจ้าล่ะก็ จับตัวมันมาซักถามก็ได้ ผมตั้งใจจะไปทดสอบพละกำลังของมันเดี๋ยวนี้แหละ คงจะดีถ้ามันอ่อนแอพอที่ผมจะเอาชนะมันได้” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด
แม้ในหมู่นักรบที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกันก็ยังมีความเหลื่อมล้ำของพละกำลังอยู่
เขาสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาหลายปีแล้ว แม้จะยังสู้หานเจี้ยนชิวไม่ได้ แต่อสูรที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เมื่อ 2 เดือนก่อนก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่เขารับมือไหว
ขอแค่อสูรเหล่านั้นไม่ได้มีสายเลือดที่ทรงพลังเกินไป เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็มั่นใจว่าจะจับพวกมันได้
“ผมอยากตามไปดูด้วย” จางเซวียนพูด
“คุณอยากไปด้วยหรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว
“วางใจเถอะ ถึงผมจะเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่ก็มีวิธีการของตัวเอง ต่อให้อสูรนั่นแข็งแกร่งกว่า ผมก็มั่นใจว่าจะรับมือกับมันได้สบาย” จางเซวียนให้ความมั่นใจกับเจ้าสำนักคุ่ย
“งั้นหรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ตามนั้นก็ได้!”
เขาเคยคิดว่าคงเป็นโอกาสดีสำหรับชายหนุ่มคนนี้ที่จะได้เห็นพละกำลังของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เพื่อต่อไปจะได้เตรียมตัวรับมือกับพวกมันได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ให้อีกฝ่ายเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เพื่อกันไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เจ้าสำนักคุ่ยพูด
เขาลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ก่อนจะโผขึ้นสู่กลางอากาศ
จางเซวียนตามไปติดๆ
ตัวเขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว ดังนั้น ต่อให้ไม่ใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าก็สามารถบินได้
ทั้งคู่บินไปราว 4 ชั่วโมง จนกระทั่งรอบตัวมีแต่ผืนน้ำ
ฟ้ามืดแล้ว และเป็นอย่างที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวบอกไว้ ท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษเปล่งประกายสะท้อนกับพื้นมหาสมุทร จนดูเหมือนหมู่ดาวร่วงลงไปในพื้นน้ำ ดวงดาวเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับว่าเพียงเอื้อมมือไปก็จะเก็บมันได้
ทั้งคู่รอคอยอย่างอดทน ก่อนที่เรือเล็กลำหนึ่งจะแล่นมา
“เจ้าสำนักคุ่ย…”
ที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือคือผู้อาวุโสคนหนึ่งในชุดสีเขียว
จางเซวียนมองผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ ผู้อาวุโสสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เหมือนกัน และน่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสที่ 1
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสประสานมือ “เจ้าสำนักคุ่ย เมื่อเดือนก่อน ผมนำสิ่งที่คุณมอบให้ผมไปไว้ที่ก้นมหาสมุทร และมันทำงานได้ผลดีมาก สองสามวันที่ผ่านมานี้ อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวนั้นมาที่นี่ แต่มันดูหวาดระแวงมาก ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว”
“ดี อสูรตัวไหนก็ตามที่เอาตัวรอดได้ในมหาสมุทรแห่งนี้และสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ย่อมมีสัญชาตญาณที่ไวต่อสิ่งอันตราย ไม่อย่างนั้นมันคงตายไปนานแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดยิ้มๆ ไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน