Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2079 ผมเต็มใจยอมจำนนให้เขา
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2079 ผมเต็มใจยอมจำนนให้เขา
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2079 ผมเต็มใจยอมจำนนให้เขา
จางเซวียนรีบกระโจนใส่ไก่น้อยที่ตัวบวมเป่งและเขย่ามัน “คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“ก็ได้ ก็ได้!”
ไก่น้อยคำรามอย่างขัดใจขณะขย้อนเต่าหลังดำออกมา
ถึงตอนนี้ เต่าหลังดำรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย มันยืดหัวออกจากกระดองด้วยสีหน้างุนงงอย่างหนัก
นี่เราเป็นใคร? เราอยู่ที่ไหน?
“ยอมจำนนให้ผมซะ” จางเซวียนออกคำสั่ง
คำพูดนั้นกระชากเต่าหลังดำออกจากภวังค์ มันคำรามด้วยอาการหงุดหงิด “คุณน่ะฝันกลางวันแล้วล่ะ!”
“ก็ได้” จางเซวียนหันไปพูดกับไก่น้อย “แกกินมันต่อก็แล้วกัน”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยอ้าปากกว้างอีกครั้ง
“ดะ-ดะ-เดี๋ยว…ผม…ผมยอมจำนนให้คุณแล้ว!” เต่าหลังดำละล่ำละลักอย่างสิ้นหวัง
มันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจำนน มันไม่ได้กลัวตาย แต่ถ้าใครๆรู้ว่ามันถูกไก่น้อยตัวนี้กิน ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเนิ่นนานหลายปีคงป่นปี้!
“ต้องแบบนี้สิ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะรีบดำเนินการทำสัญญา
ภาพนั้นทำให้เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงอ้าปากค้าง
แค่นี้ก็ยอมจำนนแล้วหรือ? ลูกเจี๊ยบตัวจ้อยนั่นจะเก่งกาจไปหน่อยไหม?
พูดกันตามตรง พวกเขาเคยคิดว่าชายหนุ่มนำลูกเจี๊ยบตัวนั้นออกมาเพื่อทำให้เต่าหลังดำขยะแขยง แต่ใครจะไปรู้ว่าอสูรตัวเล็กจ้อยขนาดนั้นจะกลืนเต่าหลังดำตัวเบ้อเร่อได้? โดยสภาพร่างกายแล้วไม่น่าเป็นไปได้เลย!
และเมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้…หรือว่าลูกเจี๊ยบนี่คือเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มฉกฉวยโซ่โลหะขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงได้?
จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากเสร็จสิ้นการทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ เขามองเต่าหลังดำขณะเปรย “ตอนนี้แกตัวใหญ่ไปหน่อยนะ ทำตัวให้เล็กลงซะ”
“ขอรับ นายท่าน!”
เต่าหลังดำรีบหดตัวจนมีขนาดราว 2 เมตร
จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็นำซุปไก่ออกมา 2-3 ขวด “ดื่มเสีย”
เต่าหลังดำไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของเจ้านาย มันกลืนซุปไก่ลงไปทันที เพียงครู่เดียวก็ตาค้างด้วยความประหลาดใจ
อันที่จริง ร่างกายของมันอยู่ในสภาพย่ำแย่หลังผ่านการต่อสู้อันยืดเยื้อ การที่มันพุ่งเข้าชนคู่ต่อสู้ซ้ำๆทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำอย่างหนัก อีกทั้งการโจมตีไม่หยุดหย่อนของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินก็ทำให้มันเจ็บปวดไม่น้อย
เต่าหลังดำนึกไม่ถึงว่าอาการทั้งหมดจะหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังจากดื่มซุปไก่เพียงไม่กี่ขวด
มันแทบจะรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตไหลพล่านไปทั่วทั้งตัว นี่คือซุปไก่ที่เพิ่มพลังชีวิตได้จริงๆ!
หรือว่าลูกเจี๊ยบตัวจ้อยนั่นเป็นอสูรสวรรค์? เจ้านายของเราเป็นเทพเจ้าหรือเปล่า?
สายตาที่เต่าหลังดำมองเจ้านายของมันเปลี่ยนไปจากเดิม
เหตุผลแรกที่มันยอมจำนนก็เพราะรู้สึกว่าการถูกไก่ตัวหนึ่งหยามหน้าช่างเลวร้ายกว่าการยอมจำนนให้มนุษย์เสียอีก…แต่ตอนนี้ มันรู้แล้วว่าชายหนุ่มมีอะไรมากกว่าที่เห็น
การที่ลูกเจี๊ยบตัวจ้อยกลืนมันลงไปได้อย่างง่ายดายหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อสูรอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ธรรมดา ในแง่ของความเก่งกาจ เจ้านั่นเหนือชั้นกว่ามันมาก
และในเมื่อตัวมันเป็นอสูรขั้นกึ่งสวนสวรรค์ อสูรตัวไหนก็ตามที่แข็งแกร่งกว่ามันหลายเท่าก็น่าจะเป็นอสูรสวรรค์ตัวจริง
นายท่านของมันทำให้อสูรสวรรค์ยอมจำนนได้ ถึงพละกำลังของเขาจะยังอ่อนด้อย แต่ก็แน่ใจได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา!
จางเซวียนไม่ใส่ใจเต่าหลังดำที่กำลังงุนงง เขากระโจนลงสู่ก้นมหาสมุทรและคีบดาบระดับอมตะขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 3 เล่มของไป่ซวนเฉิงไว้ จากนั้นก็กวัดแกว่งไปมาหลายครั้ง เพียงครู่เดียว เสียงกึกก้องของโลหะกระทบกันก็ดังขึ้นจากดาบ เป็นเสียงที่บ่งบอกความปีติยินดี
ดาบทั้ง 3 เล่มยอมจำนนให้เขาแล้ว
ฟึ่บ!
จางเซวียนเก็บพวกมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ
จากนั้นเขาก็นำกระสอบอสูรออกมาเพื่อเก็บเต่าหลังดำกับไก่น้อยเข้าไป แล้วหันไปพูดกับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว “คริสตัลเพชรคือสิ่งที่คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วเพื่อให้ได้มันมา ผมจะคืนมันให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ”
ถึงเขาจะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้การล่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่ล้ำเส้นด้วยการทำให้เต่าหลังดำยอมจำนน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตั้งใจจะทิ้งเต่าหลังดำไว้ให้ทำหน้าที่อารักขาสำนักดาวเจ็ดดวงเมื่อเขาออกจากมิติเบื้องบนไปแล้ว ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อสำนักดาวเจ็ดดวงมาก
เพราะถึงอย่างไร เงินมากขนาดไหนก็ไม่อาจซื้อหาองครักษ์ที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเขาเก็บคริสตัลเพชรไว้ก็คงจะรู้สึกผิดมาก จึงตัดสินใจคืนเจ้าของ
“คือ…”
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรับคริสตัลเพชรมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เขามั่นใจในพละกำลังและแผนการที่วางไว้ เคยคิดว่าคงเล่นงานเต่าหลังดำได้สบาย ไม่รู้เลยสักนิดว่าเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ส่วนชายหนุ่มคนนี้ใช้แค่ค่ายกลอันหนึ่งกับลูกเจี๊ยบอีกตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนเขาประเมินความเก่งกาจของอีกฝ่ายต่ำไปมาก
“เราจะทำอย่างไรกับเจ้าสำนักไป่?” จางเซวียนถาม
ไป่ซวนเฉิงยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติกลางปลักโคลนก้นมหาสมุทร เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกเต่าหลังดำพุ่งชน และยังไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้ในตอนนี้
“ถ้าเขารู้ว่าพวกเราเป็นเจ้าของเต่าหลังดำแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 สำนักจะต้องย่ำแย่ เรารีบออกไปเถอะ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบ
พวกเขาปรากฏตัวหลังจากที่ไป่ซวนเฉิงสลบไปแล้ว นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรู้ว่าใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ถึงอย่างไร สำนักป้อมปราการกระจกดำก็เป็นพันธมิตรที่ทำการแลกเปลี่ยนค้าขายกับสำนักดาวเจ็ดดวง การมีเรื่องกับอีกฝ่ายย่อมไม่ดีแน่
แถมพวกเขา…ยังนำของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของไป่ซวนเฉิงไปด้วย ถ้าหมอนั่นร้องแรกแหกกระเชอเมื่อฟื้นขึ้นมา พวกเขาคงไม่รู้จะทำอย่างไร
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น รีบหลบไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า!
“ออกไปตอนนี้?” จางเซวียนคิดหนักก่อนจะเดินไปที่ร่างของไป่ซวนเฉิง ดึงอีกฝ่ายออกจากปลักโคลนและดึงแหวนเก็บสมบัติของเขาออกมา
“ใครบังอาจ…” ไป่ซวนเฉิงได้สติเมื่อรู้สึกว่าใครคนหนึ่งกำลังถอดแหวนเก็บสมบัติของเขา เขาตวาดก้อง แต่ยังไม่ทันจะได้ลืมตา ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอย
พลั่ก!
ไป่ซวนเฉิงสลบไปอีกรอบ
จางเซวียนชักมือกลับ เขาหันไปบอกเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขณะยังถือแหวนเก็บสมบัติไว้ในมือ “ไปกันเถอะ”
ในเมื่อหมอนี่มีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ถึง 3 เล่ม ก็แน่ใจได้เลยว่าจะต้องร่ำรวยมาก
น่าเสียดายแย่ถ้าจะทิ้งทรัพย์สมบัติไว้แบบนี้!
“เอ่อ…”
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาไม่คิดว่าจางเซวียนจะละโมบโลภมาก แต่สุดท้ายก็ยั้งปากไว้ ไม่พูดอะไร
ทั้งสามแหวกว่ายกลับสู่ผิวน้ำ
ตอนที่ขึ้นจากทะเลคันฉ่องน้อย พวกเขาเห็นเงาสะท้อนของพระจันทร์เต็มดวงอยู่บนผืนน้ำสีเงิน ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นเยือก
แมลงเม่าใบไม้สีเงินพวกนั้นดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วพวกมันแสนจะน่าสะพรึง?
เมื่อรวมตัวกันเป็นกองทัพ ก็สามารถทำลายของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!
ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายพวกเขารู้เรื่องเหล่านี้ล่วงหน้า ทั้งคู่ก็คงลงเอยในสภาพเดียวกันกับไป่ซวนเฉิง หรือไม่ก็อาจได้กลับบ้านเก่า!
ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามา เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองชายหนุ่ม
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวหันไปถามผู้อาวุโสเฟิง “คุณมีความเห็นอย่างไร?”
“เขาเก่งกาจเหนือชั้นกว่าที่ผมคิดไว้มาก” ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้า “ผมเต็มใจยอมจำนนให้เขา”
“ดี” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบยิ้มๆ
จากนั้นเขาก็ถามจางเซวียน “ผู้อาวุโสหลิว ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณเรื่องหนึ่ง”
จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ไม่ทราบว่าคุณเต็มใจจะรับตำแหน่งของผมในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงไหม?”
นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำร้องขอแบบนี้ จางเซวียนถึงกับผงะก่อนจะรีบส่ายหน้า “ขออภัยด้วย แต่ผมคุ้นชินกับการเดินทางตระเวนไปทั่วดินแดนมากกว่า เกรงว่าคงไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจตำแหน่งเจ้าสำนัก เพราะถึงอย่างไรสำนักดาวเจ็ดดวงก็ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่มั่งคั่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม! แต่เขาเป็นหัวหน้าหอนานาอสูรแล้ว คงไม่เหมาะหากจะรับตำแหน่งผู้นำของสำนักดาวเจ็ดดวงอีก
“แบบนั้นไม่ใช่แน่ ถ้าอย่างคุณเรียกว่าไม่มีความสามารถล่ะก็ ตัวผมก็คงแสนน่าอับอาย” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบเบาๆ
ผู้นำที่แข็งแกร่งย่อมคู่ควรกับองค์กรที่ทรงอำนาจ ในเมื่อชายหนุ่มทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่มีตัวเลือกไหนจะเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว
“ผู้อาวุโสหลิว ผมขอวิงวอนคุณให้รับตำแหน่งเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงของเราด้วย” ผู้อาวุโสเฟิงประสานมือ
“คือ…” จางเซวียนทำอะไรไม่ถูก
เริ่มแรกก็หอนานาอสูร คราวนี้แม้แต่สำนักดาวเจ็ดดวงก็ยังทำแบบเดียวกันอีก
ให้เขาเป็นแค่ผู้อาวุโสธรรมดาๆไม่ได้หรือไง ทำไมมันยากเย็นนัก?
การที่เขาโดดเด่นแบบนี้เป็นความผิดของเขาหรือเปล่า?
แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วน ถึงอย่างไรสำนักดาบเมฆเหินก็จัดว่าดีที่สุด เพราะเขายังคงทำตัวเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ที่ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆได้ ไม่ต้องแบกรับภาระของทั้งสำนักเอาไว้
เห็นความลังเลของจางเซวียน เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรุกคืบ “อายุขัยของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มีจำกัด ผมจึงไม่อาจปกป้องสำนักดาวเจ็ดดวงไปได้อีกนานนัก แต่อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นขึ้นชื่อเรื่องอายุยืน โดยเฉพาะเต่าหลังดำที่ใครๆร่ำลือกันว่ามันมีชีวิตอยู่กว่าหลายพันปีแล้ว ถ้าคุณรับตำแหน่งเจ้าสำนักและสั่งการให้เต่าหลังดำทำหน้าที่อารักขาสำนักของเราล่ะก็ พวกเราคงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของสำนักดาวเจ็ดดวงไปอีกหลายพันปี!”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า
มิติเบื้องบนเป็นเพียงจุดแวะพักระหว่างทางเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานเขาก็จะต้องเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อตามหาหลัวลั่วชิง แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทิ้งเต่าหลังดำไว้ให้ทำหน้าที่อารักขาสำนักดาวเจ็ดดวง
เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังเป็นหนี้บุญคุณเหล่าสมาชิกสำนักดาวเจ็ดดวงที่เคยให้ความช่วยเหลือ
จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ผมไม่รังเกียจที่จะรับตำแหน่งเจ้าสำนักหรอก แต่ผมเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระของสำนักดาวเจ็ดดวงให้มากนัก”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา บทบาทของเจ้าสำนักคือรับหน้าที่เป็นด่านหน้า คอยสร้างความยำเกรงให้กับคนนอก ส่วนกิจธุระต่างๆของสำนักนั้น คุณมอบหมายให้ผู้อาวุโสที่ 1 ได้เลย” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตาโตเมื่อได้ยินจางเซวียนตอบรับ เขาหัวเราะลั่นอย่างสบายใจ
ผู้อาวุโสเฟิงนำเรือออกมาอีกครั้ง จากนั้นทั้งสามก็ลงเรือและมุ่งหน้าสู่เกาะคว้าดาว