Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2127 เผ่าพันธ์ุเสมือนมังกร
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2127 เผ่าพันธ์ุเสมือนมังกร
ตอนที่ 2127 เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร
เห็นเหล่าศิษย์สายตรงของเขาเติบโตขึ้นมาก จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขาโบกมือและยื่นขวดหยก 9 ใบให้ทั้งกลุ่ม
“ดื่มซะ”
“ได้ ท่านอาจารย์!”
ทั้ง 9 คนดื่มซุปไก่ลงไป ครู่ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานปริมาณมหาศาลอย่างน่าทึ่งที่ชำระล้างทางเดินพลังปราณของพวกเขา เพียง 2-3 อึดใจ อาการบาดเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“นี่…พวกเขาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 กันหมดเลยหรือ?” อู๋เจียงเฉิงกับจางหย่วนไว่แทบลมจับด้วยความตกใจ
โดยเฉพาะอู๋เจียงเฉิง เขาแทบปล่อยโฮออกมา
ขนาดท่านเจ้าเมืองซึ่งเป็นชายผู้ทรงพลังที่สุดในเมืองชวนเจียงก็เป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 4 แต่เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นแล้ว…
โชคดีที่เจ้าสำนักจางมาทันเวลา ไม่อย่างนั้น ด้วยสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป ทั้ง 9 คนคงโกรธเกรี้ยวจนบั่นหัวเขาแน่!
จางเซวียนพิจารณาบรรดาศิษย์สายตรงของเขาอย่างตั้งใจ
สำหรับเขา เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงเดือนเดียว แต่เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วสำหรับเด็กกลุ่มนี้ เขาเห็นร่องรอยของวุฒิภาวะและความมุ่งมั่นบนใบหน้าอ่อนเยาว์เหล่านั้น และในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็ยกระดับวรยุทธได้สูงขึ้นอีกมาก
เด็กๆไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ไปกันเถอะ!”
จางเซวียนโบกมือ แล้วทั้ง 9 คนก็โผขึ้นสู่กลางอากาศพร้อมกัน จางเซวียนใช้นิ้วแตะกระสอบอสูรของเขาเบาๆ มังกรอสรพิษปรากฏตัวกลางอากาศ มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุใหญ่ ในชั่วพริบตาก็ยาวกว่า 100 เมตร
จางเซวียนกับศิษย์สายตรงของเขารีบปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของมัน
“เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร?”
“มีตัวอะไรแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”
ประชากรนับไม่ถ้วนในเมืองชวนเจียงต่างมองเห็นมังกรอสรพิษ จากเริ่มแรกที่ตกตะลึง พวกเขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
เผ่าพันธุ์เสมือนมังกรเคยปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของทวีปที่ถูกลืม ทุกคนจึงพากันคาดเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ตามมาแน่เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้ง
“เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร…” อู๋เจียงเฉิงยิ่งอยากปล่อยโฮมากขึ้นอีก
การปรากฏตัวของมันยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายคือชายผู้ทรงพลังที่สุดของทวีปที่ถูกลืม
เขาบังอาจสงสัยแคลงใจในตัวศิษย์สายตรงของชายหนุ่ม ไม่เพียงเท่านั้น ยังกล้าอวดอ้างว่าเป็นอาจารย์ของอีกฝ่ายด้วย!
ถึงตอนนี้ อู๋เจียงเฉิงอยากจะหาอิฐสักก้อนมาโขกศีรษะให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด!
อู๋เจียงเฉิงตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง เกรงว่าเจ้าสำนักจางเซวียนจะอาฆาตมาดร้ายตัวเขาเพราะพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องที่ทำลงไปเมื่อครู่
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ “จางหย่วนไว่ คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผมที่ช่วยศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของผมไว้ ขอแค่ทายาทของคุณไปที่สำนักดาบเมฆเหินพร้อมกับตราสัญลักษณ์อันนี้ คุณก็วางใจได้เลยว่าพวกเขาจะได้รับทรัพยากรชั้นยอดจากสำนักของเรา”
ตราสัญลักษณ์อันหนึ่งร่วงลงมาจากกลางอากาศ เข้าสู่ฝ่ามือของจางหย่วนไว่
“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง!” จางหย่วนไว่โค้งคำนับอย่างงามด้วยความสำนึกในบุญคุณ
แน่นอนว่าตราสัญลักษณ์อันนี้จะต้องเป็นตราที่ไร้เทียมทานในเมืองชวนเจียง จะไม่มีกลุ่มอำนาจหรือตระกูลไหนกล้าหาเรื่องเขา และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาส่งทายาทที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินพร้อมกับตราดังกล่าว ก็ย่อมรับประกันได้ว่าตระกูลของเขาจะต้องรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่
รู้ดีว่าตราสัญลักษณ์มีความสำคัญแค่ไหน จางหย่วนไว่กำไว้แน่นขณะแหงนมอง แต่ก็ไม่พบอะไรอยู่กลางอากาศ เผ่าพันธุ์เสมือนมังกรหายลับไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ความดีย่อมหวนกลับมาตอบแทน เราจะต้องทำความดีและมอบพลังบวกให้โลกใบนี้มากขึ้นอีก จางหย่วนไว่คิดขณะทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม
จริงอยู่ว่าเขาช่วยชีวิตเด็กทั้ง 9 ไว้เพราะมีแรงบันดาลใจบางอย่าง แต่พูดกันตามตรง ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับผลตอบแทนขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าโอกาสที่สิ่งที่เกิดกับตั้นเฉี่ยวเทียนจะมาเกิดกับเขาด้วยนั้นมีน้อยมาก
แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้รับรางวัลขนาดนี้
“น้องจาง คุณเปลี่ยนชะตาชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันนี้ไป ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” อู๋เจียงเฉิงเอ่ยอย่างอิจฉาขณะมองเพื่อนสนิทของเขา
ลำพังแค่ความดีความชอบที่ช่วยชีวิตศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางไว้ก็เกินพอจะแผ้วถางเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ให้ตัวเองแล้ว
“ผมโชคดีมาก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับพวกเราก็คือการมีน้ำใจและทำความดีให้มากขึ้นอีก” จางหย่วนไว่ยิ้ม
เพื่อเฉลิมฉลองลาภลอยครั้งใหญ่ของเขา คืนนั้นจางหย่วนไว่จัดงานเลี้ยง และแน่นอนว่าอู๋เจียงเฉิงก็เข้าร่วมการเฉลิมฉลอง แต่เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงคืนนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
ดูเหมือนเราจะตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งมากไป จนมองโลกด้วยความระแวงสงสัยไปหมด เราหลงลืมแก่นสารของความเป็นมนุษย์…อู๋เจียงเฉิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงปฏิกิริยาแรกของตัวเองหลังจากได้ฟังเรื่องราวของจางหย่วนไว่ เขาไม่คิดว่า การตั้งข้อสงสัยของตัวเขาไม่ถูกต้อง แต่รู้สึกราวกับสูญเสียความเชื่อมั่นต่อโลกที่เคยมีมาในอดีตไปทั้งหมด
หรือว่า…ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเปลี่ยนแปลง?
บึ้มมมม!
ขณะที่อู๋เจียงเฉิงกำลังครุ่นคิดหนัก ก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นในพุ่มไม้ที่ไม่ห่างออกไป
เขาหันขวับไปมองอย่างระแวง เห็นชายร่างอ้วนคนหนึ่งนอนแผ่อยู่กับพื้น ร่างนั้นมีหญ้าแห้งติดเต็มไปหมด
“สหายที่อยู่ตรงนั้นน่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” อู๋เจียงเฉิงรีบเข้าไปช่วยชายร่างอ้วนคนนั้น
ส่วนอีกฝ่ายก็นวดท้ายทอยขณะลุกพรวด เขาตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความอัศจรรย์ใจ “ที่นี่คือมิติเบื้องบนใช่ไหม?”
“มิติเบื้องบน?” อู๋เจียงเฉิงกระพริบตาปริบๆ
“คุณมาจากมิติเบื้องบน เคยได้ยินชื่อสำนักดาบเมฆเหินบ้างหรือเปล่า?” ชายร่างอ้วนตั้งคำถาม
“ผมเคยได้ยิน” อู๋เจียงเฉิงพยักหน้าอย่างงงๆ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร
“เยี่ยมเลย! ตอนนี้นายน้อยของผมเป็นเจ้าสำนักของที่นั่น ผมอยากให้คุณช่วยพาผมไปสำนักดาบเมฆเหินหน่อย ขอแค่ผมได้พบนายน้อย ก็รับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม”ชายร่างอ้วนปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมขณะเชิดหน้ามองอู๋เจียงเฉิง
“นายน้อยของคุณเป็นเจ้าสำนัก? หรือว่า…” อู๋เจียงเฉิงนัยน์ตาเบิกโพลงจนม่านตาขยายเป็นรูปวงกลม “คุณหมายถึงเจ้าสำนักจางเซวียนใช่ไหม?”
“ใช่เลย! ผมคือพ่อบ้านของเจ้าสำนักจาง” ชายร่างอ้วนตอบอย่างภาคภูมิใจ
เขาคือซุนฉาง ซึ่งเข้าสู่มิติเบื้องบนผ่านทางเดินแห่งมิติ เขาใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะผ่านทางเดินแห่งมิติมาได้ แต่เพราะความแตกต่างของกระแสกาลเวลา เวลาในมิติเบื้องบนจึงผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประกอบกับได้ดื่มซุปไก่ที่จางเซวียนมอบให้ ซุนฉางจึงรอดพ้นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติมาได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
ด้วยวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ถือได้ว่าเขาเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่งในเมืองชวนเจียง
“คุณเป็นพ่อบ้านของเจ้าสำนักจางหรือ?” อู๋เจียงเฉิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ไม่น่าใช่นะ ผมได้ยินว่าพ่อบ้านของเจ้าสำนักจางคืออดีตจอมโจรชื่อเฉาเฉิงลี่ และจำได้ว่าเฉาเฉิงลี่ไม่ได้อ้วนท้วนแบบนี้…”
“เฉาเฉิงลี่?”
โลกของซุนฉางเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขามีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็ยกมือกุมหน้าอกไว้และร่ำร้องกับฟ้าดิน “นายน้อย…ผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น คุณก็หาคนอื่นมาแทนที่ผมเสียแล้ว! ผม, ซุนฉาง ไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้! เฉาเฉิงลี่คนนั้นอยู่ไหน? ผมจะไปจัดการเขาเดี๋ยวนี้เลย!”
“….” อู๋เจียงเฉิง
…..
ขณะที่ซุนฉางกำลังกระฟัดกระเฟียดกับการได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งมาแทนที่เขา จางเซวียนกับศิษย์สายตรงทั้ง 9 ก็มาถึงสำนักดาบเมฆเหิน
“ท่านอาจารย์!” ตั้นเฉี่ยวเทียนตรงเข้ามาต้อนรับ
“อือ นี่คือศิษย์พี่ของคุณ” จางเซวียนบอกตั้นเฉี่ยวเทียน จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ “ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์สายตรงที่ผมรับไว้เมื่อตอนอยู่ที่นี่, ตั้นเฉี่ยวเทียน”
“ศิษย์น้อง คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณสูงสุดจากพวกเราที่ช่วยชีวิตท่านอาจารย์!”
ระหว่างการเดินทาง จ้าวหย่ากับพรรคพวกได้ฟังเรื่องราวของจางเซวียนหลังจากที่อีกฝ่ายมาถึงมิติเบื้องบน ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนช่วยชีวิตท่านอาจารย์ไว้ตั้งแต่แรก ก็คงบอกได้ยากว่าตอนนี้ท่านอาจารย์จะเป็นอย่างไร
ทั้ง 9 คนจึงโค้งคำนับอย่างงามให้ตั้นเฉี่ยวเทียนเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณ
“ศิษย์พี่ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ได้โปรด! พวกคุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว!”
ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย
“นี่คือยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษและหนังสือเทคนิควรยุทธ ผมออกแบบเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของพวกคุณแต่ละคนไว้แล้ว ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธและก้าวเข้าสู่วรยุทธอมตะขั้นสูงให้เร็วที่สุดนะ พวกคุณจะได้ช่วยเหลือผมได้!” จางเซวียนพูดขณะนำยาเม็ดและตราหยกจำนวนหนึ่งออกมา
ด้วยสถานภาพของเขาในเวลานี้ เขาไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอีกต่อไป ขอแค่ต้องการ ก็สามารถรวบรวมยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวนหลายร้อยเม็ดได้อย่างง่ายดาย
หลังจากได้รับคำสั่งของท่านอาจารย์ ทุกคนก็รีบเข้าที่พักเพื่อตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ
จ้าวหย่ากับพรรคพวกมีศักยภาพสูง ทำให้ยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เหรินชิงก็กลับถึงสำนักดาบเมฆเหินหลังจากเสร็จสิ้นการออกไปปฏิบัติภารกิจกับท่านปู่ของเธอ ในเวลานี้ วรยุทธของเธอเข้าถึงระดับอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้ว
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูง
จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงที่เขาปรับปรุงใหม่ให้ไป๋เหรินชิง และสั่งการให้เธอรีบยกระดับวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลังจากเสร็จสิ้นธุระกับบรรดาลูกศิษย์ จางเซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนจะออกไปกับหวู่เฉิน เขาหาห้องเงียบๆห้องหนึ่งเพื่อฝึกฝนวรยุทธเช่นกัน
จางเซวียนได้แท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเขาสามารถประกอบพิธีกรรมและทะลุมิติตรงไปยังสถานที่ที่แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่ได้ แต่เขาไม่คิดว่าเวลานี้จะเหมาะสม
เพราะนอกจากปรมาจารย์ขง หอเทพเจ้ายังมีผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นอีกมากมาย แถมดูเหมือนทุกคนจะมีไม้ตายอันทรงพลังในถิ่นฐานที่มั่นของตัวเองด้วย หากเขาอยากช่วยตู้ชิงหย่วนและแก้ปัญหาทั้งหมดให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ก่อน