Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2132 นี่มันที่ไหน?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2132 นี่มันที่ไหน?
ตอนที่ 2132 นี่มันที่ไหน?
เมื่อได้รับภูมิปัญญาเกี่ยวกับศิลปะเพลงดาบจากจางเซวียน หานเจี้ยนชิวก็รีบชักดาบออกมาและตั้งต้นฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ ตัวเขาเข้าถึงศิลปะเพลงดาบขั้นสูงอยู่แล้ว การจะพัฒนาให้สูงขึ้นอีกจึงยากเย็นไม่น้อย แต่ศิลปะเพลงดาบที่เขาสำแดงออกมาก็ดูจะเฉียบคมกว่าเดิม แต่ละกระบวนท่าไม่อาจคาดเดาได้
สุดท้ายก็มาถึงจุดที่ทุกอย่างดูเหมือนจะแตกสลาย พลังงานในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน ทั้งเนื้อทั้งตัวดูจะแปรสภาพเป็นดาบที่คมกริบและเยือกเย็น
ในที่สุดเราก็มาถึงขั้นนี้…หานเจี้ยนชิวมือสั่น
เพื่อทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า เขาทุ่มเทเวลากว่า 100 ปีเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ แต่ความสำเร็จก็ดูเหมือนจะมาไม่ถึง สุดท้ายเขาก็นึกปลงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันนั้น
“ท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของผม!” หานเจี้ยนชิวทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงามเพื่อแสดงความเคารพ
เห็นภาพนั้น จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แต่หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าหนังสือสีทองไม่ปรากฏ
เขาขมวดคิ้ว
โดยปกติ หน้าหนังสือสีทองจะปรากฏหลังจากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขากำลังต้องการมัน ทำไมคราวนี้ถึงผิดพลาด?
จางเซวียนแอบถอนหายใจ เขารีบเดินเข้าไปพยุงหานเจี้ยนชิวให้ลุกขึ้น “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก”
จากนั้นก็หันไปมองเจียงเหยา ฉิงหย่วน และคุ่ยเฉี่ยว
จางเซวียนทดลองใช้วิธีเดียวกันกับคนเหล่านั้น เขาถ่ายทอดทั้งความเข้าใจเรื่องวรยุทธ การฝึกอสูร และเทคนิคการต่อสู้ให้อีกฝ่าย ซึ่งทั้งสามก็ได้ประโยชน์มากจากคำชี้แนะของเขา ทุกคนพัฒนาตัวเองได้อีกมากและต่างก็แสดงความสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุดที่จางเซวียนช่วยชี้แนะ
โชคดีที่คราวนี้เกิดหน้าหนังสือสีทองขึ้น 1 หน้าจากเจียงเหยา
นึกแล้วเชียว…ความสำนึกในบุญคุณไม่ใช่ปัจจัยเดียวของการเกิดหน้าหนังสือสีทอง เป็นไปได้ว่าน่าจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาอันล้ำลึกของอีกฝ่ายด้วย จางเซวียนครุ่นคิดขณะถอนหายใจ
หานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และฉิงหย่วนต่างก็สำนึกในบุญคุณของเขา แต่ในฐานะผู้นำของสำนัก ประกอบกับการเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ความปรารถนาที่จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นจึงลดน้อยลงไปมาก แม้พวกเขาจะแสดงความขอบคุณต่อจางเซวียน แต่ความรู้สึกที่มีก็ไม่ได้เข้มข้นเท่าไหร่
ก็เหมือนกับการที่คุณให้ความรู้เรื่องการปรุงอาหารกับพ่อครัวของวังหลวง และอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับคำชี้แนะของคุณมากนัก แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณมอบอมยิ้มอันหนึ่งให้เด็กน้อย เด็กคนนั้นก็จะรู้สึกว่าคุณคือคนดีที่สุดในโลกใบนี้
ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจะค่อยๆปล่อยความปรารถนาของตัวเองไป
เจียงเหยาไม่ได้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาว และเธอก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย จึงรู้ดีว่าในช่วงเวลาที่เธอต้องการพละกำลังแล้วไม่ได้มันมา จะรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหน เธอจึงรู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างมากต่อจางเซวียนที่ยื่นมือเข้าช่วยเธอไว้ในเวลาที่เธออับจนหนทาง เรื่องนี้จึงพอเข้าใจได้
การเกิดขึ้นของหน้าหนังสือสีทองมีเงื่อนไขมากมาย แต่นี่คือสิ่งที่เขาพอจะสรุปได้ในเวลานี้
เมื่อลองคิดดู ความสำนึกในบุญคุณก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกที่ประเมินค่ามิได้ของมวลมนุษย์ จางเซวียนรุ่นคิด
บางที ถ้าเขาใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยให้มากกว่านี้ ก็อาจทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ได้นานแล้ว คงไม่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานหลายปีเค้นหัวสมองกว่าจะเข้าใจ
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง จางเซวียนหันไปพูดกับหวู่เฉิน “เริ่มกันเถอะ”
หวู่เฉินโบกมือ แล้วเครื่องบรรณาการก็เรียงรายเต็มแท่นบูชา เขาดีดนิ้ว ทุกอย่างเริ่มมอดไหม้ ในเวลาเดียวกัน แท่นบูชาก็เริ่มลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ แผ่รังสีเข้มข้นที่ดูจะทำให้ทุกคนหยุดหายใจ
หวู่เฉินเริ่มร่ายมนต์เสียงดัง
เปลวเพลิงบนแท่นบูชาลุกโชน มิติที่อยู่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว ค่อยๆก่อตัวเป็นสิ่งหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนประตู
“ท่านอาจารย์ ผมเข้าไปก่อนดีไหม เผื่อมีอันตราย? ถ้ามีอันตรายอยู่อีกฝั่ง เราจะได้เตรียมหาวิธีตอบโต้” หานเจี้ยนชิวเสนออย่างร้อนใจ
“ผมไปเอง พละกำลังของผมอาจเทียบชั้นกับคุณไม่ได้ แต่ผมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอยู่มากมาย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด
เห็นความกังวลใจของทั้งคู่ จางเซวียนส่งยิ้มอย่างมั่นใจและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ผมจะเข้าไปก่อน ถ้าพวกคุณอยากตามผมไปก็เข้าไปได้ ต่อให้ศัตรูคือหอเทพเจ้า เราก็จะแสดงให้พวกเขาเห็น ว่าการเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราจะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียอะไรบ้าง!”
“ดี!”
คนอื่นๆตอบรับด้วยอาการฮึกเหิม
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาบุกหอเทพเจ้านั้นเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว? เหล่าบรรพบุรุษเคยทำสำเร็จ บางทีนี่อาจจะเป็นเวลาของตำนานคนใหม่
ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อหอเทพเจ้ารุกรานพวกเขาก่อน ทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็จะต้องยืนหยัดเพื่อแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย!
จางเซวียนเดินไปที่ประตูและเปิดเข้าไป
เขาเห็นมิติที่อยู่รอบตัวบิดเบี้ยวไปหมด จางเซวียนยิ้ม จากนั้นก็นำตัวโคลนออกมาก่อนที่ตัวเขาเองจะเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ
เป็นอย่างที่คนอื่นๆพูดไว้ หอเทพเจ้าเต็มไปด้วยอันตราย มีความเป็นไปได้สูงที่ปรมาจารย์ขงจะวางกับดักไว้เล่นงานเขา ซึ่งในเมื่อตัวโคลนไม่อาจถูกทำลายได้ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเหมาะสมกว่านี้
ตัวโคลนขับเคลื่อนพลังปราณ จากนั้นก็เดินเข้าประตู
“เอ๊ะ? นี่มันที่ไหน?”
ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ทั้งหอเทพเจ้าหรือสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ที่ถูกทำลาย กลับเป็นทางเดินแคบๆที่ทอดยาวสู่ความว่างเปล่า
แท่นบูชาที่เขาถูกส่งทะลุมิติมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
“ไม่มีอะไรอยู่ที่นี่เลยหรือ?”
ร่างหนึ่งที่เหมือนกันเป๊ะปรากฏตัวขึ้นข้างตัวโคลนของจางเซวียน
เขาคิดว่าจะต้องเจอกับการโจมตีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนทันทีที่ถูกส่งทะลุมิติมา แต่กลับไม่เจอใครสักคน
แต่ที่นี่ก็ดูน่าสงสัย ยิ่งพินิจพิจารณามากเท่าไหร่ก็ยิ่งค้างคาใจมากขึ้นเท่านั้น
จางเซวียนกระโจนลงจากแท่นบูชา ตั้งใจจะรอให้คุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆข้ามมา ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงกระแสความเย็นเยือกที่ถาโถมเข้าใส่กระดูกสันหลัง เขารีบยื่นมือออกไปคว้าแท่นบูชาไว้
แต่ยังไม่ทันที่มือจะได้แตะแท่นบูชา กระแสดาบฉีก็ระเบิดขึ้นจากด้านล่าง พลังงานมหาศาลฉีกกระชากแท่นบูชาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
การที่แท่นบูชาถูกทำลายทำให้ประตูมิติที่กั้นระหว่างแท่นบูชาทั้งสองหายวับไป
พลั่ก!
ที่อีกด้านหนึ่งของประตู หวู่เฉินกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา เขาหน้าซีดเผือดเพราะความอ่อนแรง ตัวสั่นไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้น?”
เห็นสภาพของหวู่เฉิน คุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆรีบหันมามอง
“ใครคนหนึ่งทำลายแท่นบูชาที่อยู่อีกฟากและตัดขาดการเชื่อมโยง ปรมาจารย์จางจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว…” หวู่เฉินพึมพำ นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความพรั่นพรึง
“คุณหมายความว่าอย่างไร?”
ทุกคนถึงกับจังงัง
“แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวมีเพียงหนึ่งเดียว การที่มันถูกทำลาย ก็หมายความว่าเส้นทางเดียวที่นำไปสู่หอเทพเจ้าถูกตัดขาดไป เราไม่อาจเข้าไปช่วยชีวิตเขาได้อีกแม้จะอยากทำก็ตาม และเขาก็ไม่อาจกลับมาที่นี่โดยผ่านทางแท่นบูชาได้อีกแล้วเช่นกัน” หวู่เฉินตอบ
“เอ่อ…”
เมื่อรับรู้ความรุนแรงของสถานการณ์ ทุกคนมองหน้ากันอย่างอัศจรรย์ใจ
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความร้อนรน
นี่หมายความว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงใช่ไหม?
ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเรา! ถ้าพวกเราไม่อ่อนแอ ท่านอาจารย์ก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงแบบนี้
เราต้องยกระดับวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้ช่วยชีวิตเขา!
นัยน์ตาของจ้าวหย่ากับพรรคพวกฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวออกมา
ที่อีกฟากหนึ่งของประตู จางเซวียนมองแท่นบูชาที่ถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาขณะกำหมัดแน่น
ไม่ใช่ปฏิกิริยาโต้ตอบของเขาไม่เร็วพอ แต่เป็นเพราะศัตรูทิ้งค่ายกลไว้ใต้แท่นบูชาเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะถูกทำลายทันทีที่เขามาถึง ส่งผลให้สกัดเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเขาได้
พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าศัตรูจะเตรียมอะไรไว้เล่นงานเขา นับจากนี้ไปเขาก็ทำได้แค่เดินหน้าและท้าชนอะไรก็ตามที่ขวางทาง การล่าถอยไม่ใช่ทางเลือกของเขาอีกแล้ว
“ผมนึกว่าคุณอยากได้หอสมุดเทียบฟ้าของผม มาทำลายแท่นบูชาเสียแบบนี้ แล้วจะประกอบพิธีกรรมได้อย่างไร?” จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกขณะสำรวจพื้นที่โดยรอบ
เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงส่งฟู่เฉิงสื่อกับคนอื่นๆไปจับตัวตู้ชิงหย่วนก็เพื่อให้ได้แท่นบูชาสำหรับการประกอบพิธีกรรมมา แต่หลังจากได้มาแล้ว ก็กลับทำลายมันโดยปราศจากความลังเล
หรือว่าเป้าหมายของปรมาจารย์ขงเปลี่ยนไป? เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว?
เสียงของจางเซวียนดังก้องไปทั่วทางเดิน
แต่หลังจากรออยู่ระยะหนึ่ง ก็ยังไม่เกิดอะไร
ราวกับที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลยนอกจากตัวเขา
“ก็คงต้องเดินหน้าอย่างเดียว”
เมื่อคาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จางเซวียนรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าถ้ำสิงโต เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็เดินหน้าต่อไปอย่างระแวดระวัง
ตัวโคลนตามหลังไปติดๆ
ทางเดินนั้นไม่ยาวนัก ไม่ช้าพระราชวังขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า
มันโอ่อ่าอลังการกว่าหอเทพเจ้าที่เขาเคยเห็นเสียอีก ทั้งยังสูงตระหง่านเสียดฟ้า
จางเซวียนชะงักไปเล็กน้อย
ภาพตรงหน้าเขาดูคล้ายกับแอ่งน้ำวนที่ถูกปีศาจตัวมหึมาปิดกั้นไว้ ไม่ว่าน้ำวนจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ปีศาจตนนั้นสะทกสะท้าน เช่นเดียวกันกับความยิ่งใหญ่ของพระราชวังนี้
กระแสบรรยากาศสีดำสนิทดูเหมือนจะพุ่งเข้าสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไม่อาจหยั่งถึง ทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและขยะแขยง แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรมันได้
เราต้องลองเข้าไป
ไม่ว่าปรมาจารย์ขงจะคิดอะไรอยู่ เขาก็ทำได้แค่พุ่งเข้าใส่และพยายามเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้ ทุกปัญหาไม่อาจคลี่คลายได้เองหากเขาเอาแต่รออยู่ข้างนอก
จางเซวียนเดินไปที่ประตูทางเข้าพระราชวังพร้อมกับตัวโคลน เห็นเสาหินขนาดมหึมาสองต้นตั้งตระหง่าน พุ่งทะยานขึ้นสู่ความว่างเปล่า ราวกับมันกำลังตรึงพระราชวังให้อยู่กับที่ ป้องกันไม่ให้ลอยละล่องไปตามกระแสของบรรยากาศ
ด้วยความงุนงง จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อเพ่งดูใกล้ๆ
“มันเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” เขาตั้งข้อสังเกตอย่างประหลาดใจ
จางเซวียนอดนึกถึงไม่ได้ว่าประตูของหอเทพเจ้าก็เป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เช่นกัน
เขาชักดาบถงซังออกมากวัดแกว่งเบาๆ
บึ้มมมมม!
กระแสดาบฉีระเบิดและพุ่งฝ่ากระแสบรรยากาศออกไป ตรงเข้าใส่เสาหินทั้งสองต้น
เกิดประกายไฟเมื่อกระแสดาบฉีกระทบเสาหิน แต่ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆไว้ได้เลย
“แม้แต่เสาหินของที่นี่ก็แสนจะไร้เทียมทาน…มันคือที่ไหนกัน?” จางเซวียนพึมพำอย่างประหลาดใจ