Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2153 คุณหมายถึงใคร?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2153 คุณหมายถึงใคร?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2153 คุณหมายถึงใคร?
ขณะที่กำลังจะถูกฆ่า จู่ๆจางเซวียนก็ยกมือขึ้นและพูดว่า “มีบางอย่างที่ผมอยากพูดสักหน่อย”
พลังจากฝ่ามือของปรมาจารย์ขงกำลังพุ่งตรงเข้ามา แต่ก็หยุดชะงักเมื่ออยู่ห่างจากจางเซวียนเพียงไม่ถึงครึ่งเมตร เขามองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาเยาะหยัน
“พูดสิ ผมจะฟังคำพูดสุดท้ายของคุณ”
“นั่นเป็นเรื่องที่ผมยินดีมาก” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นเขาก็ตั้งต้นนับถอยหลัง
“10 9 8 7 6 5 4…”
“ฮะ?” ปรมาจารย์ขงผงะ
หมอนี่กลัวจนเสียสติไปแล้วหรือไง?
เขายังสงสัยว่าคำพูดสุดท้ายแบบไหนที่จางเซวียนจะพูดออกมา แต่หมอนี่กลับนับถอยหลัง…น่าจะเสียสติหรืออะไรสักอย่าง?
“คุณทำอะไรน่ะ?” ปรมาจารย์ขงตวาดก้อง
“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนี่ แค่นับถอยหลัง อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย” จางเซวียนตอบยิ้มๆก่อนจะนับถอยหลังต่อไป “…3 2 1!”
เมื่อนับถึงเลขตัวสุดท้าย รอยยิ้มที่เจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ จางเซวียนยืดหลัง สีหน้าของเขาสดชื่น
“ว่าไง? ในเมื่อพูดคำสุดท้ายจบแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะพร้อมรับการโจมตีนะ!”
บึ้มมมม!
ทันทีที่ปรมาจารย์ขงพูดจบ เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ
ราวกับมีมังกรตัวมหึมาโอบล้อมร่างของเขา เสียงคำรามลั่นราวพายุใหญ่ดังจากร่างของจางเซวียน แผ่รังสีอันทรงพลังออกไปโดยรอบ
ในเวลานี้ ชายหนุ่มปล่อยมือจากเสาหินแล้ว แต่แทนที่จะร่วงลงสู่ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เขากลับลอยสูงขึ้นกลางอากาศ
บินได้!
“คะ-คุณ…คุณฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้วหรือ?” ปรมาจารย์ขงแทบไม่เชื่อสายตา
ตัวเขาฝึกฝนวรยุทธทันทีที่ได้รังสีสวรรค์มา แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะฝ่าปราการด่านสุดท้ายได้สำเร็จ
แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะได้ครอบครองเศษเสี้ยวของสวรรค์และสามารถยกระดับวรยุทธได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ก็เหมือนไอ้สารเลวนั่น ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยไม่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ!
ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาไม่กังวลกับสถานการณ์มากนัก
ขอแค่จับตัวจางเซวียนได้ภายใน 1 วัน หมอนั่นก็ไม่เป็นอันตรายต่อเขาแล้ว
แต่จู่ๆ…อีกฝ่ายเข้าถึงระดับของเทพเจ้าได้อย่างไร?
รวมแล้ว ก็เพิ่งผ่านไป 5 นาทีเท่านั้นตั้งแต่จางเซวียนได้รับรังสีสวรรค์และเตลิดหนีมาที่นี่! เป็นไปได้หรือที่ใครคนหนึ่งจะฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในเวลาเพียง 5 นาที?
ต่อให้เจ้าชั่วช้าคนนั้นก็ไม่อาจทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้!
“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่มีทางที่จะเป็นความจริง!” ปรมาจารย์ขงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะพุ่งเข้าใส่และปล่อยพลังจากฝ่ามือ
“สายไปแล้วล่ะ…” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ขง นัยน์ตาของเขาร้อนรุ่มด้วยเจตนาสังหาร
ตัวเขาคือผู้สุขุมและมีเหตุผลมาตลอด แต่การได้เห็นความตายของไก่น้อยต่อหน้าต่อตาทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจระงับได้
จางเซวียนกระดิกนิ้วเบาๆ
ฟิ้ววววว!
ปรมาจารย์ขงถ่ายทอดพละกำลังเต็มพิกัดเข้าสู่ฝ่ามือเพื่อปล่อยการโจมตี แต่การกระดิกนิ้วของจางเซวียนก็ส่งเขากระเด็นไปราวกับสายฟ้าฟาด
ปรมาจารย์ขงเซถลาไปหลายร้อยเมตรก่อนในที่สุดจะตั้งตัวได้อีกครั้ง เขาสูดหายใจเต็มปอด จากนั้นก็จับจ้องชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ สีหน้าของเขาซีดเผือด
การกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียวนั่นไม่ใช่แค่ปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป ยังเกือบจะเล่นงานวรยุทธของเขาด้วย!
ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วจากการต่อสู้คราวก่อน และพละกำลังจากการโจมตีของจางเซวียนก็เหนือความคาดหมาย ถ้าอีกฝ่ายรักษาพละกำลังระดับนี้ไว้ได้ เขาก็ไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะ
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วจริงๆหรือ?” ปรมาจารย์ขงกำหมัดแน่น
แม้จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าสถานการณ์จะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้
ปรมาจารย์ขงกัดฟันกรอดและคำราม “คุณเข้าถึงระดับของเทพเจ้า…ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะใช้พละกำลังอย่างเชี่ยวชาญได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!”
พละกำลังของเทพเจ้านั้นแตกต่างกันมากกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ซึ่งการทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับมันต้องใช้ระยะเวลายาวนาน
เป็นไปไม่ได้ที่จะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดของเทพเจ้าออกมาได้ทันทีหลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!
แม้เขาจะปลีกวิเวกถึง 1 เดือน แต่เรื่องจริงก็คือเขาต้องใช้เวลาถึง 20 วันกว่าจะเข้าถึงระดับของเทพเจ้า และอีก 10 วันที่เหลือก็หมดไปกับการขัดเกลาวรยุทธและสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังของเทพเจ้าที่ได้รับมาใหม่
ต่อให้จางเซวียนใช้ศาสตร์ลับบางชนิดเพื่อเร่งอัตราเร็วในการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะคุ้นเคยกับพละกำลังของเทพเจ้าได้รวดเร็วขนาดนี้!
เมื่อคิดขึ้นได้ ปรมาจารย์ขงปล่อยหมัดเข้าใส่จางเซวียนพร้อมส่งเสียงคำรามก้อง
ทันใดนั้น ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าปรมาจารย์ขงก็ดูจะหม่นหมองไป ราวกับโลกทั้งโลกกำลังแสดงอาการยอมจำนนต่อสิ่งมีชีวิตที่เหนือชั้นกว่า
เทพเจ้าที่สำแดงพละกำลังเต็มพิกัดไม่ใช่สิ่งที่จะสบประมาทได้
ส่วนจางเซวียนก็ยกนิ้วขึ้น
ฟึ่บ!
เรี่ยวแรงอันน่าทึ่งจากหมัดของปรมาจารย์ขงหยุดกึกด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว ราวกับมีปราการโลหะขวางไว้ ทำให้เข้าใกล้ไม่ได้กว่านั้น
“สลายตัว” จางเซวียนกระดิกนิ้วอีกครั้ง
พลั่ก! พลั่ก!
ปรมาจารย์ขงถูกสอยกระเด็นไปหลายสิบลี้ กระดูกแขนของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เลือดสดๆกระอักออกจากปาก แรงปะทะของกระบวนท่าเดียวนี้เกือบทำให้เขาเสียชีวิต
“เป็นไปได้อย่างไร?” ปรมาจารย์ขงพึมพำอย่างพรั่นพรึงก่อนจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน
จากการปะทะครั้งนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้าถึงระดับเทพเจ้าเฉพาะในแง่ของวรยุทธ แต่ยังสามารถสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังที่ได้มาใหม่ ถึงขนาดที่ใช้มันได้ราบรื่นกว่าเขาเสียอีก!
ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
นี่มันเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!
ปรมาจารย์ขงถึงกับจังงัง แววตาของเขาบ่งบอกความสับสน
เทพเจ้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ นั่นคือระดับขั้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้ใครสักคนได้รังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ ก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเชี่ยวชาญในพละกำลังของเทพเจ้า
ดังนั้น ปรมาจารย์ขงจึงคิดว่าเขามีโอกาสเอาชนะจางเซวียนได้หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ
แต่ความหวังครั้งนี้ก็ถูกจางเซวียนทำลายอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ขงอย่างเย็นชา
หลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยตัวเอง เขารู้ทันทีว่าเทพเจ้าทรงพลังแค่ไหน
ไม่น่าแปลกแล้วที่ปรมาจารย์ขงฉีกกระชากมิติและเดินทางข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิติได้อย่างอิสระ หากเปรียบเทียบกัน นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ถือว่าอ่อนแอมาก!
ขอแค่เขาต้องการ ต่อให้จ้าวหย่ากับพรรคพวกผนึกกำลังกันก็ไม่มีทางยับยั้งเขาได้แม้เพียงอึดใจ!
“ผมไม่เชื่อ! ผมไม่เชื่อหรอก!” ปรมาจารย์ขงร่ำร้องอย่างสิ้นหวังขณะรวบรวมพลังงานทั้งหมดและปล่อยหมัดเข้าใส่จางเซวียน
เขาเคยคิดว่าจะจับตัวจางเซวียนทั้งเป็นและดึงเอามลทินสวรรค์ออกจากร่าง แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายมีพละกำลังทัดเทียมกับเขาแล้ว ก็ไม่อาจทำได้อีกต่อไป
ถึงตอนนี้ ทุกอย่างกลายเป็นการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เขารู้ดีว่าต้องหาวิธีสังหารจางเซวียนให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางได้เอาชีวิตรอดออกจากที่นี่
ปรมาจารย์ขงจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไว้ในกระบวนท่าเดียว
มิติที่อยู่โดยรอบหอเทพเจ้าแข็งแกร่งมั่นคงกว่ามิติเบื้องบนมาก แต่ก็อาจถูกทำลายภายใต้ความแข็งแกร่งของเทพเจ้า
จางเซวียนไม่แสดงทีท่าว่าจะถอย เขายิ้ม จากนั้นก็สกัดกั้นการโจมตีที่ปรมาจารย์ขงปล่อยออกมาด้วยความสุขุม
2-3 นาทีต่อมา ร่างของปรมาจารย์ขงถูกตรึงอยู่กับที่ พละกำลังชนิดหนึ่งสกัดกั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาไว้ เขาถูกดึงกระจกดำล้ำเลิศกับรองเท้าเลือนหายออกไปด้วย ทำให้หมดหนทางหลบหนีอย่างสิ้นเชิง
หลังจากทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ได้สำเร็จ แม้แต่ตัวโคลนของจางเซวียนก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ถึงปรมาจารย์ขงจะไม่ได้อ่อนแอ แต่อย่างเก่งก็แค่ทัดเทียมกับตัวโคลนของเขา
แถมปรมาจารย์ขงยังถูกไก่น้อย หน้าหนังสือสีทอง และการผนึกกำลังกันโจมตีของจ้าวหย่ากับพรรคพวกบั่นทอนพละกำลังของเขาไปด้วย ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพอ่อนแอมาก
หลังจากตรึงปรมาจารย์ขงไว้กับที่แล้ว จางเซวียนก็จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างสุขุม
ผลการต่อสู้ถือว่าชัดเจน ด้วยสิ่งนี้ โชคชะตาของปรมาจารย์ขงถูกปิดตายแล้ว
“สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าและเชี่ยวชาญพละกำลังของมันได้ด้วย…ขนาดเจ้าสารเลวนั่นก็ยังทำไม่ได้เลย…” ปรมาจารย์ขงยังอยู่ในสภาพที่รับความจริงไม่ได้
ความสงสัยแคลงใจในหัวใจของเขากัดกร่อนความสุขุมเยือกเย็นของเขาอย่างไม่ลดละ ทำให้ไม่อาจเข้าสู่โลกของความเป็นจริง
“เจ้าสารเลวนั่น?” จางเซวียนรู้สึกได้ว่าคำนั้นของปรมาจารย์ขงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ได้ยิน “คุณหมายถึงใคร?”
“เจ้าสารเลวนั่นก็มีเศษเสี้ยวของสวรรค์ แต่แม้ตัวเขาก็ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วเท่าคุณ…” ปรมาจารย์ขงพึมพำ
“ดูเหมือนคุณจะยอมรับแล้วนะว่าคุณไม่ใช่ปรมาจารย์ขง” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “ผมควรเรียกคุณว่าอะไร? ตัวโคลนของปรมาจารย์ขง? หรือคุณพอใจชื่ออื่น?”
การที่ปรมาจารย์ขงโจมตีเขาที่สะพานเบื้องบนทำให้เขางุนงงอย่างหนัก นำไปสู่ความเชื่อที่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นตัวปลอม
แต่ทุกอย่างก็กระจ่างชัดหลังจากที่เขาเข้าสู่หอเทพเจ้า การที่ตัวโคลนของเขาไม่อาจเข้าสู่หอเทพเจ้า การต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าและลิขิตสวรรค์…เขาคงโง่เต็มทีหากเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังเดาความจริงไม่ออก
มีความเป็นไปได้สูงว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง
เศษเสี้ยวของสวรรค์มีเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ตัวโคลนของจางเซวียนจะใช้จิตวิญญาณดวงเดียวกันกับเขา อีกฝ่ายก็ไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ได้
เป็นไปได้ว่าเพราะเหตุนี้ ธรรมชาติของจิตวิญญาณของทั้งคู่จึงเริ่มแยกตัวออกจากกัน ความคิดของพวกเขาไม่เป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไป สามารถพูดคุยกันได้ราวกับเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง
ในเมื่อสำหรับจางเซวียนเป็นแบบนั้น ปรมาจารย์ขงก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน
ตัวโคลนที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะเป็นผลพวงจากการควบคุมของเจตจำนงที่ไม่สมบูรณ์ภายในจิตวิญญาณของปรมาจารย์ขง มันถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความรู้สึกชั่วร้าย และบางทีอาจเกิดความอิจฉาริษยาปรมาจารย์ขงตัวจริงจนพยายามสุดหัวใจที่จะให้ได้เศษเสี้ยวของสวรรค์มา
เพราะทั้งคู่มีต้นกำเนิดเดียวกัน ตัวโคลนจึงมองว่ามันคือปรมาจารย์ขง และดูเหมือนจะภาคภูมิใจในตัวตนนั้น