Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2154 ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2154 ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!
ตอนที่ 2154 ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!
“ฮึ่มมม! ก็เราเป็นคนคนเดียวกัน ทำไมหมอนั่นถึงเป็นคนเดียวที่ได้ครอบครองลิขิตสวรรค์และฝึกฝนวรยุทธได้เร็วกว่าคนอื่น? ทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่ได้รับเกียรติยศศักดิ์ศรีมากมายถึงขนาดที่ทั้งโลกยกย่องให้เป็นครูบาอาจารย์? มันเรื่องอะไรผมถึงถูกบีบให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่แม้แสงอาทิตย์ก็สาดส่องไปไม่ถึง ถูกขังไว้ตั้งเนิ่นนานหลายพันปี?” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงคำรามลอดไรฟัน
“คุณก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนสวนกลับอย่างเย็นชา
เท่าที่เห็น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นเจตจำนงไม่สมบูรณ์ที่ปรมาจารย์ขงตัดออกมาจากจิตวิญญาณของเขา
เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงได้รับความเคารพยกย่องให้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกไม่ใช่เพราะพละกำลังมหาศาลหรือความเก่งกาจ แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาและอ่อนโยนที่เขามีต่อผู้คนและเผ่าพันธุ์ต่างๆ
ในทางตรงกันข้าม ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงคือใครคนหนึ่งที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ คนแบบนั้นจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นได้อย่างไร?
“ถ้าผมสังหารคุณและทุกคนที่เคยทรยศผม ผมก็จะรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไว้ได้ และยังคงเป็นบุคคลที่ใครๆเคารพยกย่อง…” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด
“คุณยังไม่เข้าใจสินะ ใช่ไหม?” จางเซวียนส่ายหน้า “คุณสามารถปราบโลกทั้งใบและบีบบังคับทุกคนให้ยอมจำนนได้โดยใช้พละกำลังที่มี แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ความไม่พอใจของผู้คนจะยิ่งสะสมและมีพลังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จะระเบิดใส่คุณและเล่นงานคุณจนแหลกเป็นชิ้นๆ!”
อำนาจและการบงการทำให้คนคนหนึ่งมีสิทธิพิเศษมากมาย แต่ก็อาจทำให้ใครๆเกิดอาการต่อต้าน
การปิดปากผู้คนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นับประสาอะไรกับการบีบบังคับจิตวิญญาณของพวกเขา
จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “แม้แต่ผู้ทรงพลังอย่างปรมาจารย์ขงยังลงเอยด้วยการมีตัวโคลนที่ชั่วร้าย…แล้วตัวโคลนของเราล่ะ?”
เขาอยู่กับตัวโคลนมาระยะหนึ่งแล้ว แม้หมอนั่นจะขี้โม้และชอบโชว์เหนือ แต่ก็ไม่เคยแสดงความอิจฉาริษยาหรือเจตนาชั่วร้ายออกมา แล้วทำไมตัวโคลนของปรมาจารย์ขงถึงลงเอยแบบนี้?
“บางที…อาจเป็นเพราะปีศาจใต้สำนึก เรามีหอสมุดเทียบฟ้า เทคนิควรยุทธที่เราฝึกฝนจึงปราศจากข้อบกพร่อง ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากปีศาจใต้สำนึก เทคนิควรยุทธที่ปรมาจารย์ขงฝึกฝนดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบด้วยลิขิตสวรรค์ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดทุกกฎเกณฑ์ของโลกก็จริง แต่อันที่จริง…นั่นคือข้อบกพร่องใหญ่หลวงที่สุด!”
ลิขิตสวรรค์ทำให้ผู้นั้นสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆของโลก ทำให้ทุกชีวิตเป็นไปตามเจตจำนงของเขา
แม้อำนาจนั้นจะดูทรงพลัง แต่การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของโลกที่มีมายาวนานทำให้ความมั่นคงและรากฐานของโลกเกิดการสั่นคลอน ระเบียบที่มีอยู่เดิมจะสูญเสียไป ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจของปรมาจารย์ขงจึงทำให้เขาอ่อนแอต่อปีศาจใต้สำนึก
ด้วยเหตุนี้ ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงจึงเกิดขึ้นจากอารมณ์และความรู้สึกด้านลบของเขา
ตัวโคลนไม่กล้าทำร้ายปรมาจารย์ขง แต่ทันทีที่อีกฝ่ายออกจากมิติเบื้องบนเพื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์ ตัวโคลนก็รู้ทันทีว่าในเวลานี้มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและมีอำนาจสูงสุดในมิติเบื้องบน
การได้ครอบครองอำนาจอย่างกะทันหันปลดปล่อยความชั่วร้ายในจิตวิญญาณของมันออกมาทั้งหมด
“ถ้าปรมาจารย์ขงตัดอารมณ์และความรู้สึกแง่ลบในจิตวิญญาณของเขาออกมาเป็นตัวโคลน แล้วสิ่งที่เราตัดออกจากจิตวิญญาณของเรามาเป็นตัวโคลนคืออะไร?” จางเซวียนอดสงสัยไม่ได้
ชั่วหรือดีนั้นเปลี่ยนกันได้ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว
การตัดเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณออกมาเพื่อสร้างเป็นตัวโคลนไม่ต่างอะไรกับการมอบความเป็นตัวตนส่วนหนึ่งออกไป เมื่อมองจากมุมนี้ ก็พอเข้าใจได้ที่ตัวโคลนมีบุคลิกภาพตรงกันข้ามกับร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง
ปรมาจารย์ขงปล่อยเจตจำนงชั่วร้ายทั้งหมดของเขาเข้าสู่ตัวโคลน เหลือไว้แต่ความอ่อนโยนและความเมตตากรุณาที่โลกทั้งโลกรู้จักกันว่าเป็นตัวเขา
แล้วถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เขาให้ตัวโคลนของเขาไปคืออะไร?
เท่าที่เห็น…นอกจากความกระหายที่จะคุยโม้และโชว์เหนือ ก็ดูเหมือนจะไม่มีนิสัยที่เลวร้ายอะไรมากมาย!
“เอ่อ…เราคิดว่าเราคงตัดนิสัยคุยโวโอ้อวดออกไปให้ตัวโคลนแล้วล่ะ นั่นคือเหตุผลที่เราถ่อมเนื้อถ่อมตัวกว่าเดิมหลังจากมีตัวโคลนแล้ว…”
จางเซวียนพยักหน้าเมื่อนึกได้
เรื่องนี้อธิบายนิสัยที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างเขากับตัวโคลนได้อย่างดี
จางเซวียนไม่ได้คิดอะไรมากนักกับการตัดเศษเสี้ยวจิตวิญญาณออกไปเพื่อสร้างตัวโคลน เรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำให้เขาคิดหนัก
นั่นแหละ…ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็อยากคุยโวโอ้อวดอยู่บ่อยๆ แต่ความนอบน้อมถ่อมตัวก็ฝังรากลึกอยู่ในกระดูกของเขาเสียแล้ว!
นั่นคือคุณลักษณะที่เขายืดอกรับได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! โลกจะรับฟังก็แต่ผู้ชนะเท่านั้นแหละ ในเมื่อตอนนี้คุณชนะแล้ว พูดอะไรออกมาก็เป็นความจริงทั้งนั้น”
รู้ดีว่าถกเถียงเรื่องนี้กับจางเซวียนก็ไม่มีประโยชน์ ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงจับจ้องชายหนุ่มและพูดต่อ “แต่ผมยังไม่เข้าใจว่าคุณฝ่าด่านวรยุทธรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร? เดี๋ยวนะ…”
ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา มันตาโต “คุณมีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงหรือ?”
ด้วยการใช้ลิขิตสวรรค์กับมิติและกาลเวลา ปรมาจารย์ขงตัวจริงได้สร้างของล้ำค่าพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง
หากใครสักคนพยายามกำหนดระดับขั้นของมัน ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูง แต่ก็เหมือนกับกระจกดำล้ำเลิศและรองเท้าเลือนหาย มันมีความสามารถพิเศษ
ด้วยสายตาหลายคู่ของตัวโคลนที่จับจ้องทวีปแห่งปรมาจารย์ เขารู้ว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงถูกเทพเจ้าที่ชื่อหลัวลั่วชิงนำไป
แล้วมันมาอยู่ในมือของจางเซวียนได้อย่างไร?
ถ้าเขารู้ว่าหมอนี่มีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในครอบครอง จะไม่มีวันลดความระแวดระวังของตัวเองเลย บางที…ตอนที่จางเซวียนได้รังสีสวรรค์มา เขาคงจะใช้พละกำลังเต็มพิกัดสังหารอีกฝ่ายไปแล้ว!
“คุณพูดถูก มันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” จางเซวียนตอบ
กระแสของกาลเวลาในมหาคัมภีร์คือ 1 ใน 10 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ เท่ากับ 1 ใน 100 ของมิติเบื้องบน
“ผมเข้าใจแล้ว…” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงหน้าซีดเผือด ขณะที่ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงพ่ายแพ้
สมมุติว่าจางเซวียนมีความปราดเปรื่องเท่ากับปรมาจารย์ขงตัวจริง ก็จะใช้เวลา 24 ชั่วโมง, 1440 นาที หรือ 86,400 วินาที
แต่ถ้าเขาฝึกฝนวรยุทธในมิติเบื้องบน ด้วยกระแสกาลเวลาของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก็จะใช้เวลาเพียง 14 นาทีเท่านั้นในการฝ่าด่านวรยุทธ
เรื่องนี้น่าทึ่งมาก แต่ก็ยังไม่ดีพอจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงเลือกที่จะทะลุมิติไปที่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่
ที่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่ กระแสกาลเวลาคือ 10 เท่าของมิติเบื้องบน ซึ่งหมายความว่ากาลเวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะเร็วขึ้นเป็นพันเท่า พูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องการเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้นเพื่อฝ่าด่านวรยุทธที่นั่น
แต่จางเซวียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เร็วพอ เขาจึงปีนป่ายเสาหินขึ้นไปเพื่อมุ่งหน้าสู่หอเทพเจ้า
ทันทีที่ผ่านเส้นแบ่งเขตแดน กระแสกาลเวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็จะต่างกันเป็นหมื่นเท่ากับสภาพแวดล้อมภายนอก
ดังนั้น ในจำนวน 86,400 วินาทีที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนจึงต้องการเวลาแค่ 8 วินาทีเท่านั้น!
นั่นคือเหตุผลที่เขานับถอยหลังลงไปจากสิบ
10 วินาทีอาจดูไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาเข้าถึงระดับของเทพเจ้าเมื่ออยู่ในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แถมยังมีเวลาพอสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังใหม่ได้ด้วย
ตัวโคลนหน้าเขียวหน้าเหลืองด้วยความเสียใจ มีคำว่า ‘ถ้า’ มากมายอยู่ในหัวของเขาที่ทำให้เขาแทบบ้า
เขาพยายามดิ้นรนเล็กน้อย แต่ไม่อาจหลุดจากพันธนาการของจางเซวียนได้ สุดท้ายก็สูดหายใจลึกแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า “คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมแพ้แล้ว!”
เขาคิดว่าเขาคงพัฒนาตัวเองไปจนเหนือชั้นกว่าร่างต้นแบบได้หากได้มลทินสวรรค์มา แต่สุดท้ายก็จบด้วยความล้มเหลว
การเอาชนะผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย!
“ผมเกลียดคุณจับใจ แต่จะไม่ฆ่าคุณหรอก คุณคือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง ผมจะปล่อยให้เขาตัดสินชะตาของคุณเอง แต่รับประกันได้เลยว่านับจากนี้ไปคุณจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียว” จางเซวียนตอบอย่างเย็นชาขณะปล่อยพลังเข้าใส่ร่างของตัวโคลน
ฟึ่บ!
พลังงานนั้นสกัดกั้นวรยุทธของตัวโคลนไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ จากนั้นเขาก็โยนอีกฝ่ายเข้าไปในมิติลี้ลับที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติ
จางเซวียนยืนนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าชั่วระยะหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้หัวใจของเขาแสนจะหนักอึ้ง
รู้ดีว่าสงครามที่เกาะคว้าดาวน่าจะสงบลงได้เมื่อมีตัวโคลนกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขาเข้าช่วย ตอนนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น
“ในเมื่อเราเข้าถึงระดับของเทพเจ้าแล้ว ก็ควรจะไปตรวจสอบพลังงานวนสีดำที่อยู่ใต้หอเทพเจ้าเสียหน่อยว่ามันคืออะไร” จางเซวียนพึมพำขณะมองลงไป
สายตาของเขาดูจะพุ่งทะลุความว่างเปล่า เข้าสู่หอเทพเจ้าที่ตั้งตระหง่าน
หอเทพเจ้าตั้งตระหง่านอยู่เหนือพลังงานวนสีดำ จางเซวียนอยากสำรวจมันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ด้วยระดับวรยุทธที่จำกัด จึงไม่อาจเข้าถึงมันได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาคือเทพเจ้าตัวจริง ต่อให้พละกำลังของพลังงานวนสีดำนั้นจะน่าสะพรึงแค่ไหน เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
คราวก่อนเขาต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงในการเข้าสู่หอเทพเจ้า แต่คราวนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาที
หอเทพเจ้ายังโอ่อ่าอลังการเหมือนเดิม กลุ่มหมอกสีดำอ้อยอิ่งอยู่โดยรอบ ซึ่งหากใครจ้องมองเข้าไปในกลุ่มพลังงานวนที่อยู่ด้านล่าง ก็จะเห็นรอยแยกแห่งมิติอยู่ในนั้น
จางเซวียนบินขึ้นไปที่ส่วนยอดของพลังงานวน และรู้สึกได้ว่ามีพลังแปลกประหลาดบางอย่างพยายามไขว่คว้าเพื่อเกาะกุมเขา ตั้งใจจะกลืนกินเขาทั้งตัว
“ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!”
จางเซวียนใช้พลังจากสรวงสวรรค์ที่ได้มาใหม่ห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ จากนั้นก็ดำดิ่งเข้าสู่พลังงานวน คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่อยู่ภายในพลังงานวนตรงเข้าปะทะเขาอย่างไม่ลดละ เป็นเรี่ยวแรงที่ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ต้านทานไม่ไหว แต่สำหรับจางเซวียนในเวลานี้ เรี่ยวแรงนั้นไม่มากพอจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ