Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2179 อสูรเกราะเรืองแสง
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2179 อสูรเกราะเรืองแสง
ตอนที่ 2179 อสูรเกราะเรืองแสง
ในเมื่อเธอกำลังทำธุรกิจกับทายาทของจอมราชันย์ ก็ชัดเจนแล้วว่าควรทำอะไร
ต่อให้ชายหนุ่มไม่ได้มาจากตระกูลหลัก แต่ในฐานะผู้ครอบครองสายเลือดของจอมราชันย์ ในอนาคตก็น่าจะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้น…คนระดับเขาจะไม่มีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยปกป้องข้างกายได้อย่างไร?
มีแต่คนที่อยากตายเต็มทีเท่านั้นถึงจะกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง!
“ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สุภาพสตรีวัยกลางคนรีบออกจากห้อง
ฉีหลิงเอ๋อมองภาพลวงตาทั้งสามที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มอีกครู่หนึ่ง แววตาของเธอบ่งบอกความสับสน ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้น
…..
“เธอถึงกับทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้บนนี้ด้วย…”
หลังจากกลับถึงเมืองตะวันรอน จางเซวียนนำบัตรสรวงสวรรค์ออกมาขณะที่เดินออกจากตึกและใช้ดวงตาหยั่งรู้ตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
รอยประทับของจิตวิญญาณถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่มีทางหลุดรอดการตรวจจับของเขา
จางเซวียนถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าสายหนึ่งเข้าสู่บัตรสรวงสวรรค์เพื่อทำลายรอยประทับนั้น
เขาเดินไปตามถนนพร้อมกับยืดหลังบิดขี้เกียจ สีหน้าที่ซีดเผือดค่อยๆมีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย หลังจากเดินไปได้สักครู่ จางเซวียนครุ่นคิด “ทันทีที่ได้เลือดอสูรหม่าหยางมา เราคงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ควรหาทางยกระดับวรยุทธให้กายเนื้อ”
ตอนนี้จางเซวียนมียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในปริมาณที่มากพอแล้ว เขามั่นใจว่าจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ก็ควรบ่มเพาะกายเนื้อและยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณด้วย
“วิธีที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะกายเนื้อคือใช้เลือดอสูรสวรรค์!”
เหล่านักรบเห็นพ้องต้องกันว่าการบ่มเพาะกายเนื้อเป็นเรื่องยาก ถ้าอาศัยแค่การซึมซับพลังจิตวิญญาณเพื่อขัดเกลากายเนื้อเพียงอย่างเดียว คงต้องใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สักครั้ง
แต่หากได้เลือดของอสูรสวรรค์มา กระบวนการนั้นจะเร็วขึ้นอีกมาก
ในเมื่อต้องใช้พละกำลังของสายเลือดอสูรสวรรค์ ยิ่งสายเลือดนั้นทรงพลังขึ้นเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็จะโดดเด่นตามไปด้วย
และอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดในสรวงสวรรค์ก็คือมังกรเลือดบริสุทธิ์!
ปัญหาก็คือ ลำพังแค่จะหาเลือดของอสูรหม่าหยางที่เป็นอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็ยากพอแล้ว นับประสาอะไรกับเลือดของมังกรเลือดบริสุทธิ์
“ช่างมันเถอะ ไปดูที่ตลาดค้าอสูรสวรรค์ก่อนก็แล้วกัน!”
ในสรวงสวรรค์แห่งนี้มีตลาดหลายแห่งที่ขายอสูรสวรรค์ แต่อสูรที่ถูกนำมาวางขายเหล่านั้นล้วนแต่อ่อนแอและแปลงร่างไม่ได้ เช่นฝูงกระต่ายที่เขาล่าพวกมันไม่สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อครั้งอยู่ที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่
ส่วนอสูรสวรรค์ทรงพลังที่แปลงร่างได้นั้น ไม่มีใครกล้านำมาขายในตลาดที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะหากใครสักคนบังอาจแตะต้องมัน เหล่าอสูรสวรรค์ที่เหลือจะตรงเข้าแก้แค้นทันที!
ตลาดค้าอสูรสวรรค์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ในเวลานี้ จางเซวียนขึ้นหลังม้าและควบไป ราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย
บริเวณชายขอบของเมืองตะวันรอนเป็นโซนที่ราคาที่ดินต่ำกว่า ซึ่งตลาดอสูรสวรรค์ก็ครอบคลุมเนื้อที่กว้างใหญ่
สำหรับอสูรสวรรค์ที่ถูกนำมาวางขาย ส่วนใหญ่เหล่านายพรานเป็นผู้ล่าและนำมา แต่ก็มีบางส่วนที่ยอมถูกนำมาขายด้วยความเต็มใจ
พลังจิตวิญญาณที่อยู่นอกกำแพงเมืองนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าแร้นแค้นเต็มที ซึ่งหากอสูรสวรรค์สักตัวอยากแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องหาทางเข้าเมืองให้ได้…และการยอมเป็นอสูรของมนุษย์สักคนคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ทำแบบนั้น
ในสรวงสวรรค์ไม่มีอาชีพที่เรียกว่านักฝึกอสูร ขอแค่นักรบสักคนเต็มใจมอบโอกาสในการฝึกฝนวรยุทธให้ ก็มีอสูรสวรรค์มากมายที่พร้อมกระโจนเข้าใส่โอกาสนั้น
จางเซวียนหาตัวผู้จัดการตลาดจนพบและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าคุณมีอสูรสวรรค์ตัวไหนที่มีสายเลือดมังกรบ้าง?”
“สายเลือดมังกร? คุณลูกค้าที่รัก คุณล้อเล่นแล้วล่ะ!”
ผู้จัดการตกตะลึงกับคำพูดของจางเซวียน
จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมพูดจริง”
เห็นชายหนุ่มไม่รู้อะไรเลย ผู้จัดการกระซิบกระซาบอธิบาย “คนที่อยู่ในธุรกิจซื้อขายอสูรสวรรค์น่ะรู้กันทั่วว่าเผ่าพันธุ์มังกรเป็นเชื้อสายของน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ อสูรตัวไหนก็ตามที่ถูกพบว่ามีสายเลือดมังกรจะถูกส่งไปที่นั่น ใครที่บังอาจขายทายาทของเผ่าพันธุ์มังกรจะถูกประหารโดยไม่มีข้อยกเว้น!”
“เชื้อสายของน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องแบบนี้ รายละเอียดส่วนใหญ่ของสรวงสวรรค์ที่เขารู้มาจากคำอธิบายของโม่หย่วนและที่มีอยู่ในหนังสือของสายเทา
ถ้าน่านฟ้ามังกรเมฆมีคำสั่งแบบนั้น ก็ไม่น่ามีใครกล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา
หรือว่า…จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆคือมังกรเลือดบริสุทธิ์? จางเซวียนครุ่นคิด
เขารู้มานานแล้วเรื่องประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์มังกร รู้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยพบมังกรเลือดบริสุทธิ์ตัวจริง จึงประเมินไม่ถูกว่าพวกมันทรงพลังแค่ไหน
เมื่อพิจารณาถึงสมญานามน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกรถือเป็นเชื้อสายของพวกเขา ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าจอมราชันย์ของที่นี่คือมังกรเลือดบริสุทธิ์
จางเซวียนรู้ดีว่าผู้จัดการคงไม่เต็มใจปริปากเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้เพราะเกรงจะกระทบความปลอดภัยของตัวเอง จึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น “ผมต้องการเลือดอสูรสวรรค์เพื่อนำมาบ่มเพาะกายเนื้อของผม คุณพอจะมีไหม?”
ในเมื่อไม่มีทางหาอสูรที่มีสายเลือดมังกรได้ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีอื่น ขอแค่เขายกระดับวรยุทธของกายเนื้อให้เข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูง ก็น่าจะยกระดับวรยุทธของตัวเองได้
ครั้งล่าสุดที่เขาฝึกฝนวรยุทธ ก็รู้แล้วว่า ‘สายสัมพันธ์พี่น้อง’ ที่เขาได้ทำความเข้าใจมีความลึกซึ้งเพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูง
หญ้าโบราณอสูรเขียวและเลือดอสูรหม่าหยางจะทำให้จางเซวียนยกระดับไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ และเขาก็มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในปริมาณมากพอสำหรับการยกระดับวรยุทธของพลังปราณแล้ว ดังนั้น ขอแค่ได้สิ่งที่ต้องการสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อ ก็น่าจะพุ่งพรวดไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ในรวดเดียว
“บ่มเพาะกายเนื้อของคุณ?”
ผู้จัดการคิดหนักก่อนจะส่ายหน้า
“เกรงว่าเราคงไม่มีอะไรที่ตรงตามความต้องการของคุณหรอก แต่ผมรู้มาว่ามีอสูรเกราะเรืองแสงตัวหนึ่งซึ่งเป็นอสูรระดับเทพเจ้าขั้นสูงอยู่ในหุบเขาเมฆบัง มันขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันตัวและกายเนื้อที่ทรงพลัง ขนาดเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างท่านเจ้าเมืองของเราก็ฝ่าการป้องกันตัวของมันไม่ได้! สายเลือดของมันน่าจะมีอานุภาพเหนือชั้นในการบ่มเพาะกายเนื้อของนักรบ พวกเราพยายามจับตัวมันหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล้มเลิกความคิด ถ้าคุณอยากได้อะไรสักอย่างที่ช่วยบ่มเพาะกายเนื้อของคุณจริงๆล่ะก็ บางทีคุณควรจะลองดู”
“อสูรเกราะเรืองแสง?”
“ใช่ แต่การหาตัวเจ้านั่นน่ะไม่ง่ายนะ แถมมันยังโหดเหี้ยมดุร้ายด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่พยายามทำให้มันยอมจำนนต้องลงเอยด้วยการถูกมันกินทุกราย” ผู้จัดการพูด
“ภูเขาเมฆบังอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนตั้งคำถาม
“อยู่ทางทิศเหนือของที่นี่ ถ้าคุณขี่อสูรสวรรค์บินได้ไปล่ะก็ ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมงเท่านั้น” ผู้จัดการตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ “แต่คุณไม่มีอสูรสวรรค์บินได้นี่ ใช่ไหม? ทำไมไม่ซื้อจากผมสักตัวล่ะ? ในสต๊อกของผมมีเจ๋งๆอยู่หลายตัวนะ”
“อย่างนั้นหรือ? ผมขอตัวเร็วๆสักตัวหนึ่งก็แล้วกัน” จางเซวียนตอบ
สรวงสวรรค์กว้างใหญ่กว่ามิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ คงสะดวกกว่ากันมากหากเขาเดินทางด้วยอสูรสวรรค์บินได้
ไม่ช้าการซื้อขายก็เสร็จสิ้น
จางเซวียนใช้เงินราว 20 เหรียญสวรรค์ซื้ออสูรสวรรค์บินได้ที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ
ผู้จัดการเฝ้ามองจางเซวียนจากไป เขาเหยียดฝีปากเย้ยขณะคำราม “ไอ้โง่อีกตัว! คิดหรือว่าจะจับอสูรเกราะเรืองแสงได้ง่ายขนาดนั้น ถ้ามันง่ายล่ะก็ ท่านเจ้าเมืองคงทำไปนานแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้ทรัพย์สมบัติล้ำค่าลอยนวลหรอก”
หลังจากพูดจบ ผู้จัดการก็หันไปพูดกับเด็กฝึกงานที่อยู่ข้างๆ “คุณเห็นไหม? นั่นแหละคือวิธีที่จะขายของได้! ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าพร้อมกับหาโอกาสโปรโมทสินค้าของคุณ จำไว้ให้ดีล่ะเวลาที่ต้องติดต่อกับลูกค้า!”
…..
จางเซวียนขี่หลังอสูรสวรรค์ เขาหลับตาและฝึกฝนวรยุทธ
ก่อนหน้านี้ เขากินยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไป 2-3 เม็ดแล้วเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ซึ่งระหว่างกระบวนการนั้น ก็รู้ตัวว่าหากพยายามผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ระดับเทพเจ้าขั้นกลาง จะต้องเสี่ยงกับการผลักภาระหนักให้กายเนื้อของเขา จางเซวียนจึงหยุดการฝึกฝนวรยุทธไว้ก่อนพร้อมกับถอนหายใจอย่างจนปัญญา
สรวงสวรรค์แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มาก
ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เหล่าเทพเจ้าดูจะไม่ได้มีความสุขอย่างที่เขาคิดไว้ ในทางกลับกัน ดูเหมือนผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์จะมีความสุขและพอใจกับชีวิตของตัวเองมากกว่า
เมื่อออกจากเมือง พลังจิตวิญญาณในอากาศก็ลดน้อยลงจนแทบไม่น่าเชื่อ ในเวลาเดียวกัน กระแสลมก็เกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่อสูรสวรรค์ไม่ได้บินสูงเกินไป และจางเซวียนก็ไม่กระเสาะกระแสะแบบเดิมแล้ว กระแสลมเกรี้ยวกราดจึงไม่เป็นปัญหากับทั้งคู่มากนัก
4 ชั่วโมงต่อมา หุบเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า ดวงอาทิตย์ตกที่ใจกลางหุบเขา สาดส่องสองหน้าผาของหุบเขาด้วยสีแดงก่ำเจิดจ้า
อสูรสวรรค์บินได้ร่อนลงตรงหน้าหุบเขา จางเซวียนสั่งให้มันหาที่พักผ่อนแถวนั้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปในหุบเขา
เท่าที่เขาได้ฟังจากผู้จัดการ อสูรเกราะเรืองแสงน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในละแวกนี้ ขอแค่เขาพบตัวมันและได้เลือดของมันมาบางส่วน ก็คงยกระดับวรยุทธได้ทันที
หุบเขานี้กว้างใหญ่กว่าที่เห็นจากภายนอก
จางเซวียนเดินลึกเข้าไปอีก 2 ชั่วโมงจนดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไร เขาผิดหวังและกำลังคิดจะกลับเมืองตะวันรอน ก็พอดีกับที่เห็นเปลวไฟสว่างจางๆอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นกองไฟ
จางเซวียนขมวดคิ้ว หรือว่ามีนักรบคนอื่นกำลังตามหาอสูรเกราะเรืองแสงเหมือนกัน?
หุบเขานี้ไกลปืนเที่ยง ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ และไม่มีสมุนไพรล้ำค่าหรือสิ่งอื่นใด ไม่น่าเป็นไปได้ที่ใครสักคนจะก่อกองไฟและมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับเขา
แต่แม้ผู้จัดการตลาดค้าอสูรสวรรค์ก็ยังรู้เรื่องอสูรเกราะเรืองแสง และดูเหมือนเขาก็ไม่ลำบากใจที่จะบอกใครๆ จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้คนจำนวนหนึ่งในเมืองตะวันรอนรู้เรื่องนี้เช่นกัน