Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2203 นักรบสามเครา
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2203 นักรบสามเครา
อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 2203 นักรบสามเครา
“ราชันย์เทพเจ้า?” จางเซวียนพยักหน้า
เขาอ่านหนังสือมามาก จึงพอมีความเข้าใจระดับหนึ่งว่าราชันย์เทพเจ้าเก่งกาจอย่างไร
จอมราชันย์ส่วนใหญ่แทบไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ จึงมีน้อยคนที่จะได้เห็นพวกเขา อีกทั้งคนเหล่านี้ยังล้างมือจากกิจธุระทางโลกแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าผู้กุมอำนาจตัวจริงคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
ในเก้าน่านฟ้า มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติราว 30 คนเท่านั้น ตกน่านฟ้าละ 3 คน
ส่วนผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือราชันย์เทพเจ้า ทั้งสรวงสวรรค์มีอยู่ราว 100 คน ซึ่งก็หมายความว่าในแต่ละน่านฟ้ามีราชันย์เทพเจ้าเพียง 10 คนเท่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือ ใครสักคนที่เข้าถึงวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุด 10 คนในดินแดนของตัวเอง คือผู้ทรงอำนาจตัวจริงของสรวงสวรรค์
ในเมื่อนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงยังเทียบชั้นกับผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นไม่ได้ ก็ไม่มีทางที่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำจะมีโอกาส แค่อีกฝ่ายใช้ความคิดแวบเดียว ก็คงถูกเล่นงานจนพ่ายแพ้ราบคาบ
จริงอยู่ว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเป็นของล้ำค่า แต่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับชีวิตของตัวเองมากกว่า
“ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาชื่ออะไร คนส่วนใหญ่เรียกตามเคราขาวสามสายที่ปลายคางของเขา ผู้คนต่างขนานนามเขาว่านักรบสามเครา เขาอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าคุณอยากเจอเขาจริงๆล่ะก็ ฉันพาคุณไปที่นั่นได้!” ฉีหลิงเอ๋อพูด
แม้อิทธิพลของเธอในเมืองแสงสนธยาจะมีจำกัด แต่เครือข่ายข้อมูลข่าวสารก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่
“ถ้างั้นก็ไปกันเลย!” จางเซวียนพูด
ถ้าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ ก็ยังพอมีโอกาสรับมือไหว แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายมีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางรวมอยู่ด้วย ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจในการรับมือกับคนพวกนั้น
เหตุผลที่ก่อนหน้านี้จางเซวียนระงับการฝึกฝนวรยุทธไว้ก็เพราะยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว ดังนั้น เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้ก็คือต้องหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีศักยภาพกว่าเดิมเพื่อยกระดับวรยุทธให้ได้
ที่พักของนักรบสามเคราอยู่ไม่ไกล ทั้งกลุ่มเดินไปราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงกระท่อมฟางหลังหนึ่งที่ดูเรียบง่าย ให้ความรู้สึกแปลกแยกอย่างสิ้นเชิงกับตึกสูงตระหง่านที่อยู่รายรอบ
ในเมืองหลวง พื้นที่ทุกตารางนิ้วมีค่ามาก การได้เป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ถึงขนาดสร้างกระท่อมฟางหลังนี้ได้ก็หมายความว่านักรบสามเคราไม่ใช่คนธรรมดา คนส่วนใหญ่ที่คิดจะฉกฉวยทรัพย์สมบัติจากเขาย่อมต้องคิดให้ดีเมื่อได้เห็นความเหนือระดับนี้
ยังไม่ทันจะถึงกระท่อมฟาง ก็ได้ยินเสียงดังจากข้างใน
“ผู้อาวุโส ฝีมือการเล่นหมากรุกของคุณนี่เหนือชั้นจริงๆ ผมสู้คุณไม่ได้เลย”
“คุณเดินหมากพลาดอยู่สองสามครั้ง แต่โดยรวมถือว่าไม่เลว ตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนให้ดี ในอนาคตคุณก็มีโอกาสเอาชนะผมได้…” เสียงชายชราคนหนึ่งแว่วมาจากข้างใน
“ผู้อาวุโส ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ”
แอ๊ดดดด!
ประตูกระท่อมฟางเปิดออก ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าหรูหราเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ มีบริวารคนหนึ่งตามหลังมาติดๆ ทั้งคู่เดินผ่านกลุ่มของจางเซวียนและหายไปท่ามกลางตรอกซอกซอยของเมืองแสงสนธยา
“ด้วยฝีมือการเล่นหมากรุกอันเหนือชั้นของนักรบสามเครา จึงมีผู้มาท้าทายถึงกระท่อมของเขาทุกวัน ชายหนุ่มคนนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายยิ้มๆ
จากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังกระท่อมฟางและประกาศดังลั่น “ฉีหลิงเอ๋อจากตระกูลฉีแห่งเมืองหลวงมาขอคารวะผู้อาวุโสนักรบสามเครา หวังว่าคุณจะสละเวลาให้พวกเราสักหน่อย!”
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมาจากตระกูลฉีหรือตระกูลอะไร และไม่อยากพบคุณด้วย กลับไปซะ” ชายชราส่งเสียงตอบมาจากด้านใน
“ผู้อาวุโส ฉันไม่ได้ตั้งใจจะใช้อิทธิพลของตระกูลฉีบีบบังคับคุณให้ทำอะไรทั้งนั้น แค่มาคารวะคุณอย่างจริงใจเพื่อหวังว่าคุณจะรับฟังคำขอร้องของพวกเรา อย่างน้อยที่สุด คุณคงได้ยินพวกเราจากตรงนี้…” ฉีหลิงเอ๋อพูด
ถ้าเป็นคนอื่น กิตติศัพท์ของตระกูลฉีแห่งเมืองหลวงมีแต่จะทำให้พวกเขารีบออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เธอไม่พอใจ แต่นักรบสามเคราคนนี้ดูจะไม่กลัวสักนิดว่าจะทำให้เธอหงุดหงิดหรือเปล่า
สิ่งที่ผู้คนร่ำลือกันเรื่องความพิสดารพิลึกพิลั่นของเขาน่าจะเป็นเรื่องจริง
แต่ก็นั่นแหละ แม้ตระกูลฉีจะมีอำนาจไร้เทียมทาน แต่อิทธิพลของตระกูลก็อยู่ภายในเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ อีกอย่าง พวกเธอก็ไม่อาจก่อความวุ่นวายได้เพียงเพราะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ ทำแบบนั้นจะดูเป็นคนใจแคบเกินไป
“ผมเป็นแค่ตาแก่รักอิสระคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะช่วยอะไรพวกคุณได้ เพราะฉะนั้น…อย่าทำให้ต่างคนต่างเสียเวลาเลยดีไหม?”
ชายชราที่อยู่ในกระท่อมฟางดูจะไม่เต็มใจข้องแวะกับตระกูลฉี
ฉีหลิงเอ๋อขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
เธอกำลังจะเดินเข้าไปและพูดต่อ ก็พอดีกับที่จางเซวียนยกมือห้ามไว้
จากนั้นเขาก็เดินไปที่กระท่อมฟางและส่งเสียง “ผู้อาวุโส ผมคือจางเซวียน, นักรบพเนจรคนหนึ่ง ผมเคยศึกษาหมากรุกด้วยตัวเองมาบ้าง และสนใจอยากดวลหมากรุกกับคุณ”
“คุณอยากดวลหมากรุกกับผม?”
ชายชราดูจะเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พูดว่า “วันนี้ผมเล่นหมากรุกมาสามตาแล้ว คุณกลับมาใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
“สามตา?”
“คุณคงรู้แล้วนะว่าผมคลั่งไคล้หมากรุก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้งานอดิเรกของผมกลายเป็นเรื่องอื่น ผมจึงกำหนดให้ตัวเองเล่นหมากรุกได้เพียงสามตาต่อวันเท่านั้น เมื่อครู่นี้ผมก็เล่นตาที่สามไปกับเจ้าหนุ่มนั่นแล้ว คงต้องขอให้คุณกลับมาใหม่พรุ่งนี้ถ้าคุณอยากดวลกับผมจริงๆ” ชายชราตอบ
“เอ่อ…เกรงว่าผมจะไม่มีเวลา ผมต้องออกจากเมืองแสงสนธยาวันนี้…” จางเซวียนส่ายหน้า
“ถ้าคุณต้องกลับ ก็กลับไป มันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?” ชายชราคำรามอย่างรำคาญ
“ผู้อาวุโส อย่างน้อยที่สุดคุณน่าจะฟังผมก่อน ในเมื่อเราจะดวลกัน ก็ย่อมมีผู้ชนะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเราไม่พนันกันสักหน่อยล่ะ?” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม
“บอกคุณตามตรงนะ ผมน่ะภูมิใจในทักษะการเล่นหมากรุกของผมมาก ยังสงสัยอยู่ว่าในโลกนี้จะมีใครโค่นผมได้หรือเปล่า แต่ก็โชคร้ายที่ยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเลยสักคน ถ้าคุณเอาชนะผมได้ ผมจะยอมทำตามที่คุณร้องขอ ตราบใดที่ไม่ขัดกับหลักการของผมนะ คุณต้องการอะไรผมก็จะทำให้ แต่ถ้าผมเอาชนะคุณได้ ก็จะขอให้คุณทำตามคำขอร้องของผมเช่นกัน แบบนี้ฟังดูดีไหม?”
“อ้อ? คุณแน่ใจนะ?” ชายชราย้อนถาม
เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะคุยโตโอ้อวดขนาดนี้
“แน่ใจสิ!” จางเซวียนตอบอย่างวางมาด
“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ผมอยากได้อสูรตัวที่อยู่ข้างหลังคุณ” ชายชราพูด
ถึงจางเซวียนจะยังไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่ชายชราก็เห็นชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง-จางเจี้ย
ถ้าไม่ใช่เพราะจางเจี้ย เขาคงบอกปัดจางเซวียนไปแล้วตั้งแต่แรก
“ต้องขออภัยด้วย ถึงจางเจี้ยจะเป็นอสูรของผม แต่ผมก็เห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายและสหายคนหนึ่ง ผมจะไม่มีวันใช้สหายเป็นเดิมพัน คุณคงต้องเรียกร้องอย่างอื่นแทนแล้วล่ะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
“นายท่าน…” จางเจี้ยนัยน์ตาแดงก่ำ
ตั้งแต่ได้ฟัง มันก็คิดว่าเจ้านายคงตอบรับเดิมพันโดยไม่ลังเล เพราะถึงอย่างไร อสูรก็ถูกมองเป็นสิ่งไร้ค่าในสรวงสวรรค์อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากจางเซวียน
เจ้านายของมันเห็นมันเป็นทั้งสหายและน้องชาย…
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ต่อไปมันก็พร้อมจะฝ่าฟันภยันตรายต่างๆเพื่อเจ้านายโดยไม่ลังเล
“งั้นหรือ?” ชายชราก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้จากจางเซวียน “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ สิ่งที่คุณมีน่ะ ไม่มีอะไรที่ผมอยากได้หรอก ผมมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพนันกับคุณ”
“คุณรู้สึกว่าผมไม่มีอะไรที่คุณอยากได้อย่างนั้นหรือ? ขอโทษนะ แต่ผมอยากให้คิดใหม่”
จางเซวียนหัวเราะหึๆ จากนั้นก็สะบัดข้อมือ แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ร่างนั้นยืนอยู่หน้าหม้อหลอมยา กำลังดำเนินกระบวนการหลอมยาเม็ด นิ้วของเขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างว่องไวและสง่างาม ควบคุมทุกปัจจัยที่อยู่ภายในหม้อได้อย่างแม่นยำ
“ผู้อาวุโส ผมรู้มาว่าคุณก็เชี่ยวชาญด้านการหลอมยาเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าเทคนิคการหลอมยาเทคนิคนี้ของผมดีพอจะทำให้คุณสนใจหรือเปล่า…”
จางเซวียนดีดนิ้ว แล้วร่างนั้นก็หายวับไป
“เทคนิคการหลอมยาของคุณ…” ชายชราอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ
คนอื่นอาจไม่เห็นความพิเศษใดๆจากภาพที่ปรากฏเมื่อครู่ แต่ในฐานะนักปรุงยาผู้เก่งกาจ เขาดูออกว่าท่วงท่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการหลอมยาชั้นยอด อันที่จริง มันเหนือชั้นกว่าเทคนิคที่เขาใช้เสียอีก
ครู่ต่อมา ชายชราก็ส่งเสียงอีกครั้ง “เข้ามาสิ”
พร้อมกันนั้น ประตูกระท่อมฟางก็เปิดออก
คนรับใช้สูงวัยคนหนึ่งก้าวออกมาเชื้อเชิญให้จางเซวียนเข้าไป
จางเซวียนยิ้มและเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ฉีหลิงเอ๋อกับคนอื่นๆตามไปติดๆ
จากหนังสือมากมายที่ได้อ่าน จางเซวียนพบว่าเทคนิคหลอมยาที่ใช้กันในสรวงสวรรค์ไม่ต่างกับเทคนิคที่ใช้ในทวีปแห่งปรมาจารย์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ความรู้ที่เขาได้ร่ำเรียนตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์สามารถนำมาใช้ที่นี่ได้ เพราะฉะนั้น สำหรับสรวงสวรรค์ เขาก็เป็นนักปรุงยาชั้นยอดคนหนึ่ง
เทคนิคการหลอมยาที่จางเซวียนสำแดงออกไปเมื่อครู่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความสามารถของเขา
ลานบ้านของกระท่อมฟางหลังนั้นไม่กว้างนัก
ที่ใจกลางลานบ้าน ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าม้าหิน เขามีเคราสามสายที่พริ้วไหวตามสายลม ทำให้ดูเหมือนฤาษีผู้รู้แจ้ง
“เริ่มกันเถอะ!”
ชายชราไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขาหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาและจ้องกระดานหมากรุกเขม็ง ไม่ยอมพูดถึงเดิมพันที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้หรือเทคนิคการหลอมยาที่จางเซวียนเพิ่งสำแดงออกมา
จางเซวียนยิ้มแล้วเดินตรงไปที่ม้าหิน แต่ขณะที่กำลังจะนั่ง ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นตัวหมากรุก
ตอนที่เขาได้ยินคำว่า ‘หมากรุก’ ก็คิดว่าคงเหมือนหมากรุกที่เขาเคยเล่นสมัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ใครจะไปรู้ว่าจะมาเจอกับชุดตัวหมากรุกที่ไม่รู้จักเลยสักตัวเดียว?
เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนได้อ่านหนังสือมากมายเกี่ยวกับหมากรุก และทักษะของเขาก็เหนือชั้นพอจะทำให้เป็นบรมครูในหมู่บรมครูด้านหมากรุกด้วยกัน แต่ชุดตัวหมากรุกที่แตกต่างจากเดิมย่อมหมายถึงกติกาและรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไปด้วย แล้วเขาจะเอาชนะเกมที่ตัวเขาไม่รู้กติกาของมันสักข้อได้อย่างไร?