Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2270 ไม่เกิดอะไรขึ้น
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2270 ไม่เกิดอะไรขึ้น
เขาหันไปมองท่านอาจารย์อีกครั้ง ซึ่งถ้าอารมณ์ความรู้สึกของเขาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ จางเซวียนคงจมดิ่งอยู่ในมหาสมุทรแห่งความยกย่องชื่นชมไปแล้ว
ฝงจิ่วเกอรู้ดีว่านี่คือผลงานของท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่จู่ๆสายเลือดของเขาจะบริสุทธิ์ขึ้นได้เอง ความสำเร็จในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นี้แปลว่าความเก่งกาจของท่านอาจารย์ของเขาน่าจะอยู่ในระดับที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง
ฝงตั้นชิงหันไปพูดกับจางเซวียน “ถึงตาคุณแล้ว”
อันที่จริง เขาก็อยากรู้ว่าผลการทดสอบสายเลือดของ ‘ฝงเซวียน’ คนนี้จะออกมาอย่างไร
แม้จะปราศจากการสนับสนุนของตระกูล เขาก็ยังได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นไปได้ไหมว่าสายเลือดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าฝงจิ่วเกอ?
จางเซวียนรับก้อนหินจากมือของฝงตั้นชิง แต่ไม่ได้กัดนิ้วเพื่อนำหยดเลือดมาทำการทดสอบ เขาหันไปสนใจอย่างอื่นแทน
เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เริ่มสร้างความมหัศจรรย์ มันเปลี่ยนสายเลือดของเขาให้กลายเป็นสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว จางเซวียนนำดาบราชันย์เทพเจ้าออกมาและกรีดรอยแผลเล็กๆที่ปลายนิ้วของเขา
เขาทำการปกปิดดาบราชันย์เทพเจ้าให้มันดูไม่ต่างอะไรกับดาบทั่วไปเพื่อไม่ให้ใครๆแตกตื่น หากเขาไม่ใช้มันเพื่อการต่อสู้ ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็ดูไม่ออกว่าดาบนี้มีความพิเศษ
เลือดหยดหนึ่งถูกหยดลงบนหินสะท้อนฟีนิกซ์
ไม่เกิดอะไรขึ้น
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีนกฟีนิกซ์ไฟหรือสิ่งอื่น
ดูเหมือนหยดเลือดของจางเซวียนจะไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง
“คุณแน่ใจนะว่าคุณมาจากตระกูลของเรา?” ฝงตั้นชิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ฝงเทียนอวิ๋นก็ไม่เข้าใจ
หากใครสักคนไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตัวเขามาจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ก็คงไม่กล้าเดินดุ่มๆเข้ามาในบ้านของคนอื่นและอ้างว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา!
จางเซวียนก็ยืนอึ้ง ถ้าใครอ่านใจเขาออก ก็จะเห็นเครื่องหมายคำถามมากมายกองซ้อนกันเป็นภูเขาเลากา
หรือว่าสายเลือดตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเหนือชั้นเสียจนแม้แต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของลั่วชิงก็ปกปิดสภาวะที่แท้จริงของเขาไม่ได้?
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างประหลาดเสียจริง, ใช่ไหม? ขอผมลองอีกทีก็แล้วกัน”
ถ้าเขาไม่ได้การยอมรับจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ก็คงไม่มีทางได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และถ้าไม่ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จะมีโอกาสที่ไหนได้พบหลัวลั่วชิง?
“คุณทดสอบสายเลือดได้เพียงครั้งเดียวนะ…”
ฝงตั้นชิงพูดยังไม่ทันจบประโยค หินที่อยู่ในมือของจางเซวียนก็สั่นสะท้านเล็กน้อยขณะนกฟีนิกซ์เจิดจ้าปรากฏขึ้นบนผิวหน้า
ร่างของมันไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ และไม่ได้กำลังพุ่งทะยานอย่างอิสระเสรี ดูเหมือนกำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนแรงอยู่บนผิวหน้าของก้อนหินมากกว่า…
“ฟีนิกซ์สว่างวาบ พลังถดถอย…นี่คือสายเลือดระดับ 3, คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นสมาชิกสายหลักแล้ว!” ฝงตั้นชิงประกาศขณะยกมือขึ้นทาบอกอย่างโล่งใจ
แม้ผลที่ออกมาจะไม่ได้น่าทึ่งอย่างที่หวังไว้ แต่สายเลือดระดับ 3 ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว เพราะแม้ตัวฝงตั้นชิงเองก็มีสายเลือดระดับ 4 เท่านั้น
“ขอแสดงความยินดีด้วย ฝงเซวียน, คุณได้กลับสู่ตระกูลของเราแล้ว นับจากวันนี้ไป คุณจะเป็นสมาชิกสายหลักคนหนึ่ง มีสิทธิพิเศษเหมือนสมาชิกสายหลักทุกประการ!” ฝงเทียนอวิ๋นประกาศลั่น
จากนั้นเขาก็ยื่นตราหยกอันหนึ่งให้จางเซวียน “นี่คือตราสัญลักษณ์แทนตัวตนของคุณ ด้วยสิ่งนี้ คุณจะได้รับทรัพยากรและหนังสือเทคนิควรยุทธจากทางตระกูลทุกเดือน!”
“ขอบคุณ!” จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์มา
แม้ผลที่ได้จะไม่น่าทึ่งเหมือนเมื่อครั้งที่เขาปลอมตัวเป็นหลัวเทียนหยา แต่ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ เครื่องรางแห่งการปลอมตัวคงสัมผัสได้ถึงความนอบน้อมและนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวโดยธรรมชาติของเขา จึงปรับเปลี่ยนผลลัพธ์ให้ดูไม่โดดเด่นเกินไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เข้าร่วมกับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ
ถึงอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือในที่สุดเขาก็ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เฮ่ออออ!
ในช่วงเวลาของความชื่นชมยินดีนั้น ไม่มีใครทันสังเกตว่านกฟีนิกซ์ไฟที่เพิ่งโผบินไปมาอย่างอิสระอยู่รอบๆก้อนหินได้ร่วงลงจากท้องฟ้าและลงไปกองอยู่กับพื้น
มันสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไป
ในเวลาเดียวกัน บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ ก็ลืมตา
การทดสอบสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความเหมือนระหว่างสายเลือดของทายาทกับสายเลือดของจอมราชันย์ผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ ซึ่งหินสะท้อนฟีนิกซ์ก็เป็นของล้ำค่าที่สร้างขึ้นจากสายเลือดของเขา
โดยทั่วไป การทดสอบสายเลือดของเหล่าทายาทไม่เคยทำให้เขารู้สึกอะไร แต่คราวนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง หัวใจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟเต้นตึกตักด้วยความร้อนรน
ราวกับมีบางอย่างบีบรัดหัวใจของเขาไว้แน่น ทำให้หายใจหายคอไม่ออก
“ฝ่าบาท?”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟถึงกับตาโต
ตัวเขาคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ซึ่งในโลกนี้ ก็มีบุคคลจำพวกเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้
แต่…
จอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำไมเขาถึงยังรับรู้ได้ถึงรังสีของอีกฝ่าย?
“เราคงคิดมากไป…ต่อให้จอมราชันย์ของเราฟื้นคืนชีพ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นรวดเร็วแบบนี้…”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟส่ายหัวขณะหวนนึกถึงคำพูดที่จอมราชันย์สั่งเสียไว้กับเขาในครั้งนั้น
“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตรวจสอบดูสักหน่อย…”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟหลับตาและเพ่งสมาธิให้กับสิ่งที่เขาเพิ่งรู้สึกเมื่อครู่
ความรู้สึกนี้หายวับไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่มันปรากฏ เขาพยายามคว้ามันไว้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง กลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขัดขวาง…บางสิ่งที่เป็นตัวแทนของสรวงสวรรค์
แม้ด้วยพละกำลังของเขา ก็ไม่อาจแกะร่องรอยที่มาของความรู้สึกนั้นได้
สุดท้าย ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็ได้แต่ส่ายหน้าและล้มเลิกความคิด
ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้เขาพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เอาเวลาไปใช้เพื่อการยกระดับวรยุทธจะดีกว่า
สรวงสวรรค์กำลังอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยมีมาก่อน มันคือยุคที่แม้แต่จอมราชันย์ก็เสียชีวิตได้หากประมาทเลินเล่อ
ถ้าตัวเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่พยายามยกระดับวรยุทธอย่างเต็มที่ ก็อาจเสียชีวิตได้เมื่อการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไปมาถึง…
สรวงสวรรค์แต่ดั้งเดิมนั้นเงียบสงบเหมือนทะเลสาบน้ำนิ่ง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอย่างผาสุกจนกระทั่งสิ้นสุดอายุขัย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ กระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ หรือการปรากฏตัวของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์…
สรวงสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่จึงอุทิศเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธหากไม่มีกิจธุระอื่น ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ต่างๆ รวมทั้งปกป้องตระกูลของพวกเขาด้วย
…..
เพราะได้การยอมรับอย่างเป็นทางการจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ จางเซวียนจึงได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมการคัดเลือกภายในเพื่อเฟ้นหาตัวแทนสำหรับการประลอง
การคัดเลือกภายในกินเวลาทั้งหมด 3 วัน ซึ่งผลการคัดเลือกก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ต้น ไม่มีใครในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเทียบชั้นกับจางเซวียนได้ เขาจึงคว้าอันดับ 1 อย่างง่ายดาย ส่วนฝงจิ่วเกอก็แน่นอนว่าจะต้องคว้าอันดับ 2
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าผู้รั้งอันดับ 1 ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟคือนักรบนิรนามคนหนึ่งที่เพิ่งหวนคืนสู่ตระกูล ส่วนผู้รั้งอันดับ 2 คือชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขับออกจากตระกูล เรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด
ม้ามืดทั้งสองจะต้องเป็นคู่แข่งที่น่าสะพรึงไม่เบาสำหรับการประลองที่กำลังจะมาถึง
จางเซวียนเคาะประตูห้องของฝงจิ่วเกอและพูดว่า “การประลองระหว่าง 3 ตระกูลใหญ่จะจัดขึ้นมะรืนนี้ ซึ่งในเมื่อวันนี้ไม่มีกิจธุระอื่น ผมก็หวังว่าคุณจะพาผมไปยังหลุมดำ สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น”
ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟกำหนดให้การคัดเลือกภายในจบลงใน 2 วันก่อนหน้าการประลองอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เหล่าตัวแทนมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 1 วัน ซึ่งในเมื่อตอนนี้ว่างแล้ว จางเซวียนก็อยากเห็นหลุมดำเพื่อจะได้ค้นหาความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังพลังงานสีเทาแปลกประหลาดในร่างของฝงจิ่วเกอ
ฝงจิ่วเกอไม่อยากไปเยือนหลุมดำเป็นครั้งที่ 2 แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ว่าพลังงานนั้นอาจหวนคืนกลับมาใหม่ ก็รวบรวมความกล้าและพยักหน้า
กว่าเขาจะได้สายเลือดและวรยุทธกลับคืนมาก็ไม่ง่าย จึงไม่อยากสูญเสียมันไปอีก
ทั้งคู่คือสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือกภายใน ชื่อเสียงและเกียรติยศของพวกเขาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด ในแง่ของสถานภาพภายในตระกูล ทั้งคู่อาจสูงส่งกว่าเหล่าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านการที่ทั้งสองจะออกจากตระกูล
จางเซวียนกับฝงจิ่วเกอขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์สร้างบินได้ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็มายืนอยู่ใต้เมืองลอยได้
เมืองลอยได้ที่ดูจะบดบังท้องฟ้าทั้งหมดไว้ถูกพยุงไว้ด้วยขนนกเพียงอันเดียว ขนนกอันนี้เรืองแสงสีทองออกมา ดูคล้ายกับแสงอาทิตย์
ด้วยความอยากรู้ จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบขนนกอย่างถี่ถ้วน และพบว่า มันดูคุ้นตาอย่างประหลาด เขาพยายามเค้นหัวสมองเพื่อค้นหาความทรงจำ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมันที่ไหน
สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าและเก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ
สิ่งที่อยู่ใต้เมืองลอยได้คือหลุมดำมืดมิดซึ่งดูเหมือนจะลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกราวกับถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมนอนธการอันน่าสะพรึง
“ท่านอาจารย์ ตอนนั้นผมก็ลงไปจากจุดนี้นี่แหละ” ฝงจิ่วเกอพูดขณะชี้ไปที่หน้าผาซึ่งอยู่ด้านข้าง
จางเซวียนมองตาม เห็นเส้นทางขนาดเล็กซึ่งเป็นฝีมือมนุษย์ทอดยาวสู่หน้าผา มันโอบล้อมผนังของหลุมดำที่อยู่เบื้องล่าง
“ลงไปดูกันเถอะ”
จางเซวียนสั่งการอสูรสวรรค์สร้างบินได้ให้รออยู่ตรงนั้นก่อนจะออกเดิน
ทางเดินนั้นแคบพอให้เดินได้แค่ทีละคน ส่วนด้านข้างก็เป็นหลุมดำที่ลึกจนเกินหยั่งถึง หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะร่วงลงสู่ความมืดมิดอันไม่มีที่สิ้นสุด
จางเซวียนตามฝงจิ่วเกอไปติดๆ ทั้งคู่ค่อยๆมุ่งหน้าลงสู่หลุมดำ