Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2303 คืนวันพระจันทร์เต็มดวง
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2303 คืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ตอนที่ 2303 คืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกภาคภูมิใจที่มีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่กับตัว
แต่มันกลับกลายเป็นเครื่องพันธนาการแทนที่จะเป็นพร
“ผมคิดหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเกิดความคิดหนึ่งขึ้น แต่ก็ไม่
แน่ใจว่ามันจะใช้การได้จริงหรือไม่ คุณน่ะโชคดีที่เลือกเดินในเส้นทาง
ที่ต่างจากผม บางทีคุณอาจประสบความสำเร็จในแบบที่ผมไม่เคยทำ
ได้” ปรมาจารย์ขงพูดขณะยิ้มออกมา
ดูเหมือนเขาพบเห็นความเป็นความตายมามากจนไม่สะดุ้งสะเทือน
แล้ว
“เส้นทางที่ต่างจากคุณ?” จางเซวียนทวนคำ
“ใช่ ความลับของสวรรค์น่ะไม่อาจถูกเปิดเผย เพราะไม่อย่างนั้น อาจ
นำไปสู่ผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ที่จะตามมา ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่
กับคุณ…ถึงอย่างไรจอมราชันย์หลินชีกับผมก็ทำในสิ่งที่เราต้องทำ
แล้ว ส่วนคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับคุณ” ปรมาจารย์
ขงพูด
เห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจพูดเรื่องนี้ จางเซวียนรู้ดีว่าซักไซ้ต่อไปก็ไม่มี
ประโยชน์ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “ปรมาจารย์ขง, ผมทำความ
เข้าใจมลทินสวรรค์ได้สำเร็จ ขณะที่คุณครอบครองลิขิตสวรรค์ แล้ว
คุณรู้ไหมว่าเศษเสี้ยวสวรรค์ของจอมราชันย์หลินชีคืออะไร?”
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด
หากสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แล้วส่วนของหลัวลั่วชิงคืออะไร?
ทำไมหลัวลั่วชิงถึงสัมผัสสิ่งที่เขามีอยู่ได้ ขณะที่เขาไม่รู้อะไรเลย?
“ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน!” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“คุณก็ไม่รู้หรือ?” จางเซวียนชะงัก
เพื่อเสาะหาข้อมูลของปรมาจารย์ขง หลัวลั่วชิงลงทุนเข้าสู่ทวีปแห่ง
ปรมาจารย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของเขา แต่ปรมาจารย์ขง
กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสามารถที่หลัวลั่วชิงครอบครองคืออะไร
แล้วเขาจะมีอะไรไปเอาชนะการดวลได้?
“ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจ
ธรรมชาติของสวรรค์และสรวงสวรรค์ และพบว่าแม้มันจะมีสภาพ
แร้นแค้น แต่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยที่ยังไม่พังทลายอย่างสิ้นเชิง
ราวกับมีพละกำลังบางอย่างคอยทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อปกป้อง
บรรดาสิ่งมีชีวิตในสรวงสวรรค์ไว้” ปรมาจารย์ขงโพล่งออกมา
มีหลายเรื่องที่เขาไม่อาจบอกเล่าให้เหล่าศิษย์สายตรงของเขารับรู้ อีก
ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับ 9 จอมราชันย์ก็ไม่ค่อยดีนัก ลงท้าย
ก็กลับกลายเป็นว่าคนเดียวที่เขาพอจะพูดคุยได้ทุกเรื่องก็คือจางเซวียน
“คุณกำลังจะบอกว่าพละกำลังบางอย่างที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคือสิ่งที่
เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิงใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น…เป็นไปได้หรือเปล่าว่า
เธอครอบครองความสามารถบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปกป้อง
สวรรค์?” จางเซวียนถาม
แม้ธรรมชาติของสรวงสวรรค์จะไม่ใช่สิ่งที่ยอมอ่อนข้อหรือประนี
ประนอมให้ใคร แต่มันก็ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้สิ่งมีชีวิต
มากมายนับไม่ถ้วนเติบโตอยู่ในนั้นได้
ยกตัวอย่างสภาพแวดล้อมของโลกใบเก่าของเขา มันถูกออกแบบมา
ให้ช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตจากภัยอันตรายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชั้น
โอโซนหรือแร่ธาตุที่ก่อเกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ
นี่อาจเป็นวิธีที่สวรรค์ใช้ปกป้องโลกมนุษย์
เป็นไปได้ไหมว่ามันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของสรวงสวรรค์?
“ก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจกลับแตกต่างออกไป” ปรมาจารย์
ขงพูดพร้อมกับส่ายหน้า “ผมเชื่อว่าความสามารถของจอมราชันย์
หลินชีจะต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับธรรมชาติของสวรรค์
เพราะเหตุนั้น บรรดาผู้คนในน่านฟ้าเสรีจึงให้ความสำคัญกับอิสระ
และการมีอำนาจสิทธ์ิขาดเป็นของตัวเอง ส่วนการปกป้องสวรรค์ ผม
คิดว่ามันคือแนวคิดหนึ่งที่อยู่ภายในธรรมชาติของสวรรค์มากกว่า”
“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพยักหน้า
“แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผมในตอนนี้ คงต้องใช้เวลา
สักระยะหนึ่งเพื่อค้นหาความจริง” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้ม ๆ
จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “คุณมั่นใจแค่ไหนเรื่องการ
ดวล?”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่นั่นแหละ จะเอาชนะผมก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ”
ปรมาจารย์ขงตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความมั่นใจล้ำลึก
เขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ และดั้นด้นมาจนถึงที่นี่ ได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์
และหอนิรันดร์ ทั้งยังท้าทายแปดจอมราชันย์ด้วยมือเปล่า ทำให้
ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วโลก
เขามั่นใจว่าต่อให้มีอุปสรรคใดขวางทาง แต่ในที่สุดก็จะต้องก้าว
ข้ามมันไปจนได้
ได้ฟังแบบนี้ จางเซวียนทำได้แค่ถอนหายใจอีกรอบ
ไม่มีทางหลุดพ้นปัญหานี้ไปได้เลย
หากปรมาจารย์ขงชนะ นั่นย่อมหมายถึงความตายของหลัวลั่วชิง หรือ
อาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงมัน
ซึ่งหลังจากฟังคำอธิบายของปรมาจารย์ขง จางเซวียนก็รู้แล้วว่าต่อ
ให้เขาดิ้นรนยับยั้งการดวลครั้งนี้ต่อไปก็มีแต่เปล่าประโยชน์
สงครามสวรรค์คือการต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจหนีพ้น มันคือความ
รับผิดชอบและหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าดูจนการต่อสู้สิ้นสุด!
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผม…”
รู้สึกได้ถึงความกังวลของจางเซวียน ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึ ๆ แต่
ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในอากาศก็สั่นสะท้าน
ขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มรุนแรงเกรี้ยวกราดอย่างฉับพลันจนน่าสะ
พรึง
ในเวลาเดียวกัน ทั้งโลกก็สั่นไม่หยุด
ทั้งจางเซวียนกับปรมาจารย์ขงรีบเดินออกจากห้องและเงยหน้ามอง
ท้องฟ้า พวกเขาเห็นพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้ามืด
มิด แสงสีเงินเจิดจ้าของมันอาบทั่วพื้นดิน
“ท่านอาจารย์…”
บรรดาศิษย์สายตรงที่ปรมาจารย์ขงสั่งให้ออกไปก่อนหน้านี้กลับมา
รวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขามองท่านอาจารย์อย่างร้อนรนด้วยนัยน์ตา
แดงก่ำ
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้ว การต่อสู้กำลังจะเริ่มต้น
“พวกเราเดินทางไกลแสนไกลมาด้วยกัน และพวกคุณก็รู้นิสัยของ
ผมดี ชีวิตและความตายคือส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของเรา เมื่อ
ถึงฤดูใบไม้ร่วง แม้เราจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ใบไม้ย่อมร่วง
หล่น ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง แต่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นการจัด
เตรียมเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่” ปรมาจารย์ขงพูด “ถ้าการ
ดวลสิ้นสุดลงโดยผมไม่ได้กลับมา พวกคุณยอมรับจางเซวียนเป็น
ผู้นำคนใหม่นะ เมื่อมีเขาอยู่ด้วย พวกคุณจะปลอดภัยจากอันตราย”
“รับทราบ” ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงตอบรับ
“ผมนี่นะ? ทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์พี่ของผม ผมจะรับหน้าที่นี้ได้
อย่างไร?” จางเซวียนผงะ
ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน
นักปราชญ์โบราณโป๋ ช่าง หรือนักปราชญ์โบราณชิวอู๋…
ทุกคนล้วนมีอาวุโสกว่าเขา และในอดีตเขาก็เคยได้รับประโยชน์
มากมายจากคำชี้แนะของคนเหล่านี้
หากจะขึ้นเป็นผู้นำ ย่อมไม่เหมาะสมแน่
“ในฐานะผู้ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ คุณควรมั่นใจใน
ตัวเองมากกว่านี้นะ” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับโบกมือ
“แต่พละกำลังของผมยังอ่อนด้อย…”
ตอนนี้จางเซวียนเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นเท่านั้น
และคงอีกนานกว่าจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด ส่วนราชันย์
เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ส่วนนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่น ๆ ก็ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่า
เขา…เขาอดรู้สึกกดดันไม่ได้หากจะต้องเป็นผู้นำของคนเหล่านี้
“พละกำลังของคุณจะคงอยู่อย่างนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น คุณทำความ
เข้าใจเทคนิควรยุทธที่เหนือกว่าสวรรค์ได้แล้ว ดังนั้น ไม่ช้าไม่นาน
คุณจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้ม ๆ “อย่ากังวลให้
มากไปน่ะ ผมก็แค่พูดเผื่อไว้ในกรณีเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากผม
เอาชีวิตรอดกลับมาได้ การดวลครั้งสุดท้ายก็จะเป็นการดวลระหว่าง
คุณกับผม…”
จางเซวียนถึงกับใบ้กินก่อนจะพยักหน้าด้วยอาการถอดใจ “เอาเถอะ
ผมจะดูแลสภาปรมาจารย์ให้ดี”
คงไม่เข้าท่าหากเขาจะปฏิเสธคำขอของใครคนหนึ่งที่อาจเอาชีวิตไป
ทิ้งในการดวลก็ได้
ปรมาจารย์ขงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ เขาพูดต่อ “การดวล
กำลังจะเริ่มแล้ว ผมจะไปล่ะนะ ลาก่อน…”
ฟึ่บ!
ทันทีที่พูดจบ ปรมาจารย์ขงก็กระโจนขึ้นสู่กลางอากาศและมุ่งหน้าสู่
พระจันทร์ที่เห็นอยู่เต็มดวง
“ปรมาจารย์ขง พาผมไปด้วย!” จางเซวียนรีบตะโกน
นี่คือการดวลระหว่างปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง ต่อให้เขายับยั้งมัน
ไม่ได้ แต่ก็อยากเห็นทุกอย่างกับตา
แต่ปรมาจารย์ขงก็หายวับไปแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงตะโกน
ของเขา
“ปรมาจารย์จาง การเฝ้าดูการดวลของ 2 จอมราชันย์น่ะอันตรายมาก
นะ คลื่นความสั่นสะเทือนของการปะทะอาจคร่าชีวิตคุณได้เลย
ทีเดียว และหากบุ่มบ่ามเข้าไปโดยไม่ระวังตัวก็อาจได้รับบาดเจ็บ”
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด
จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวกับคำเตือนนั้น
มีหรือที่เขาจะไม่รู้?
แต่นี่คือการต่อสู้ของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้!
จางเซวียนโผขึ้นสู่กลางอากาศและใช้ทักษะการบินของนักรบระดับ
ราชันย์เทพเจ้า แต่ก็รู้ทันทีว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขายัง
ช้าเกินไป ซึ่งกว่าจะถึงสนามประลอง การดวลก็คงเสร็จสิ้นแล้ว
“นายน้อย ผมมาช้าไปหรือเปล่า?”
ขณะที่จางเซวียนกำลังกระวนกระวาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
เมื่อหันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมองมาพร้อมกับยิ้มให้
จางเซวียนตาโตเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้น เขาอุทานอย่างร้อนใจ “แก
มาได้เวลาพอดี! พาฉันไปที่สนามประลองเดี๋ยวนี้!”
อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไก่น้อยที่เพิ่งเสร็จสิ้นการขัดเกลาวรยุทธ
ในมิติเบื้องบน
จางเซวียนเพิ่งกลับถึงสรวงสวรรค์ได้ราวครึ่งวัน แต่สำหรับมิติเบื้อง
บน เวลาที่นั่นผ่านไปกว่า 2 เดือนแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอให้
ไก่น้อยขัดเกลาวรยุทธและเรียกความแข็งแกร่งสูงสุดกลับคืนมา
“ไปกันเถอะ!”
ไก่น้อยพยักหน้าและเคลื่อนตัวผ่านมิติไปอย่างลื่นไหลพร้อมกับดึง
จางเซวียนไปด้วย ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็หายวับไป
“อันตรายเกินไปนะที่พวกเขาจะไปเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่าง 2 จอม
ราชันย์!”
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกำลังจะยับยั้งทั้งสองไว้ แต่ก็มาไม่ทัน
จึงได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ส่วนหลัวฉีฉีก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกถ้า
ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ไปกับเขาด้วย”
“เขาคือ…” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนหันกลับมามองหลัวฉีฉี แต่
พูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็พลันนึกบางอย่างได้ เขาหรี่ตาด้วยความ
อัศจรรย์ใจ “คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่าย…คือจอมราชันย์อมตะหรอกนะ?”
ท่านอาจารย์ของเขาสู้กับจอมราชันย์เกือบหมดทั้ง 9 น่านฟ้าแล้ว
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจึงจดจำคนเหล่านั้นได้ ผู้ที่เขายังไม่เคย
พบก็มีแค่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์อมตะเท่านั้น
หลัวฉีฉีพยักหน้า
“แต่ชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้เรียกจางเซวียนว่า…นายน้อย”
บรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงถึงกับอึ้งตะลึง