Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1686
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1686
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1686 สังหารแม่ทัพใหญ่
จางเซวียนตระเวนไปทั่วสนามรบพร้อมกับตัวโคลน หม้อต้นกำเนิดทองคำ กระบี่เปลวเพลิงสีดำ และหอกสวรรค์กระดูกมังกร พวกเขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน และทันทีที่มีโอกาสเข้าโจมตี ก็จะพุ่งเข้าสังหารโดยไม่รีรอ
ภายในไม่ถึง 10 นาที จำนวนเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธเหนือกว่าระดับเซียนขั้น 9 ที่ตกหลุมพรางของจางเซวียนก็ปาเข้าไปหลายร้อยตัว
เหล่าแม่ทัพตายหมดแล้ว…
จางเซวียนตรวจสอบสนามรบ และพบว่าเหล่าแม่ทัพที่สวมชุดเกราะสีดำและบรรดานายพลถูกสังหารหมดแล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพราะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาการถอดรหัสเซียนและประสบความสำเร็จในการฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้กรรมวิธีขั้นสูงของปรมาจารย์ขง พลังปราณของจางเซวียนจึงเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด อีกอย่าง ความอลหม่านขั้นสุดที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาก็เป็นเกราะกำบังชั้นดีที่ปกปิดไม่ให้ใครเห็นกลยุทธที่เขาใช้ เพียงแค่จางเซวียนปลอมตัว ก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว
โดยทั่วไป ชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนก็ตามที่เขาหมายตาไว้ ถือเป็นอันปิดฉากได้
อันที่จริง จางเซวียนสังหารเหล่านายพลและแม่ทัพด้วยน้ำมือของเขาเองไปมากกว่าสองในสามของจำนวนที่มีอยู่
นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความอลหม่านขั้นสุด!
เมื่อปราศจากเหล่าแม่ทัพและนายพลคอยควบคุม ระเบียบของพลทหารก็เป็นอันหมดสภาพ ในสนามรบที่มีพลทหารกว่าแสนตัวนั้น ทุก 1 วินาทีจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างน้อย 2 ตัวที่ต้องตาย
หากจะกะประมาณคร่าวๆ มีเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างน้อยสองหมื่นตัวต้องสังเวยชีวิตท่ามกลางความอลหม่านครั้งนี้
เอาล่ะ กุญแจอยู่ที่แม่ทัพใหญ่ 2 ตัวที่อยู่ข้างบน ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันก็คงกลับมาควบคุมกองกำลังของมันและทำให้สถานการณ์สงบลงเหมือนเดิมได้…จางเซวียนคิดขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ตอนนี้ อู๋ชู่กับเป่ยชิงกำลังโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด การโจมตีของทั้งคู่พุ่งตรงเข้าใส่อีกฝ่าย และดูเหมือนพวกมันจะคุ้นเคยกับกระบวนท่าของกันและกันเป็นอย่างดี ดังนั้น แม้จะได้รับบาดเจ็บบ้างจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ แต่ก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
ตราบใดที่ 2 ตัวนี้ยังอยู่ ก็มีโอกาสที่จะนำความเป็นระเบียบกลับคืนสู่กองทัพได้
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ แน่นอนว่าพวกมันไม่โง่ เป็นความจริงที่ว่าทั้งคู่ปล่อยให้ความโกรธเกรี้ยวเข้าครอบงำไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังจากต่อสู้กันไประยะหนึ่งแล้ว พวกมันก็ย่อมจะสงบสติอารมณ์ได้และรู้สึกถึงความผิดปกติ
โดยเฉพาะหลังจากที่พวกมันรู้สึกได้ว่าเหล่าแม่ทัพและนายพลถูกสังหารไปจนหมด ต่อให้โง่เง่าสักแค่ไหน ก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันตกหลุมพรางของใครบางคน
เราต้องสังหารพวกมันให้ได้ตัวหนึ่งก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว…
นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววคมปลาบขณะเค้นสมองเพื่อหาทางออก
ตอนนี้ อู๋ชู่ปัดป้องศิลปะเพลงหอกของเป่ยชิงด้วยการกวัดแกว่งกระบี่ของเขาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะถอยไป 2-3 ก้าว จากนั้นมันก็ประกาศด้วยเสียงเย็นชา “เป่ยชิง วันนี้เราคงรู้แพ้รู้ชนะกันไม่ได้หรอก แยกย้ายก่อนเถอะ แต่ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป!”
“แน่ใจได้เลยว่าผมจะไม่ลืมเรื่องนี้เหมือนกัน!” เป่ยชิงคำราม
เพราะทั้งคู่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ใกล้เคียงกัน จึงไม่มีเวลาให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้าง พวกมันรู้ว่าเกิดความอลหม่านขึ้นในกองทัพ แต่คิดว่าบรรดาแม่ทัพและนายพลจะดูแลสถานการณ์และควบคุมจำนวนผู้บาดเจ็บได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าพลทหารจำนวนมากจะต้องตายภายในระยะเวลาอันสั้น
ถ้ารู้ คงกระอักเลือดออกมาแล้ว
ยังไม่ทันที่เป่ยชิงจะพูดจบ ก็เห็นบริวารตัวหนึ่งของเขาชี้หอกเข้าใส่อู๋ชู่ “เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ท่านแม่ทัพใหญ่, ฆ่าเขาเสียเดี๋ยวนี้เถอะ เราจะมองหน้าพี่น้องของเราที่ถูกบริวารของเขาสังหารอย่างเลือดเย็นได้อย่างไร?”
เห็นผู้ที่เข้าโจมตีอู๋ชู่เป็นหนึ่งในบริวารของเขาซึ่งเป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น เป่ยชิงคำราม “ฮั่วมู่เจ๋อ ทำบ้าอะไรอยู่น่ะ? หยุดเดี๋ยวนี้!”
ช่องว่างของประสิทธิภาพการต่อสู้ระหว่างฮั่วมู่เจ๋อกับอู๋ชู่นั้นห่างไกลกันเกินไป ทำแบบนี้ก็เท่ากับฆ่าตัวตาย!
“ขออภัยด้วยที่ฝ่าฝืนคำสั่งของคุณ แต่เขาสังหารพี่น้องของเรามากเกินไป ต่อให้วันนี้ผมต้องเสียชีวิต ผมก็จะไม่ปล่อยให้ความตายของพี่น้องของเราต้องสูญเปล่า!” ฮั่วมู่เจ๋อตวาดก้องด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความบ้าคลั่ง พร้อมกับกวัดแกว่งหอกอย่างโกรธเกรี้ยว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตี อู๋ชู่แทบเสียสติ
อีกฝ่ายพูดถึงความตายอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงก็คือหมอนี่ไม่อาจรับมือกับเขาได้เลย
เขาเคยได้ยินชื่อของฮั่วมู่เจ๋อมาก่อน รู้ดีว่าหมอนี่เป็นแม่ทัพที่มีฝีมือแค่ระดับกลางๆในกองทัพของเป่ยชิง แล้วเกิดจะเก่งกาจถึงกับข่มขู่เขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ฟิ้วววว!
หอกของฮั่วมู่เจ๋อพุ่งเข้ามาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อู๋ชู่ต้องล่าถอยอย่างปั่นป่วน ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตะโกนบอกเป่ยชิงที่อยู่ด้านหลัง “ท่านแม่ทัพใหญ่ เราสังหารเขาพร้อมๆกันเถอะ!”
“เอ่อ…” เป่ยชิงลังเล
เป็นความจริงที่ว่าเขาโมโหเมื่อเห็นบริวารหลายตัวต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของอู๋ชู่ อู๋ชู่เป็นบริวารของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งหากเขาต้องมาตายที่นี่ ความเป็นพันธมิตรระหว่างพวกเขาจะต้องแหลกสลาย
“ฮั่วมู่เจ๋อ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่อยากให้คุณยับยั้งไว้ก่อน เราจะคุยกันเรื่องการสังหารอู๋ชู่ทีหลัง…” เป่ยชิงพยายามระงับสถานการณ์
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็เห็นร่างของฮั่วมู่เจ๋อพุ่งปราดไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่ากับการทะลุมิติ เขาพุ่งเข้าใส่อู๋ชู่ และในตอนนั้น มิติที่อยู่รอบตัวอู๋ชู่ก็แข็งทื่อไปทันที ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเคลื่อนไหวได้
เป่ยชิงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาอุทานด้วยความพรั่นพรึง “แกไม่ใช่ฮั่วมู่เจ๋อ!”
ฟิ้วววว!
พร้อมกับคำอุทานนั้น เป่ยชิงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกับหอกในมือเพื่อปัดป้องหอกของฮั่วมู่เจ๋อ
เคร้งงงง!
เมื่อหอก 2 เล่มปะทะกัน คลื่นความสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ก็แผ่ออกไปโดยรอบ หอกของฮั่วมู่เจ๋อแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง
ในตอนนั้น อู๋ชู่ก็ทำลายมิติรอบตัวเขาที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้ เขาถอยกรูด เหงื่อเย็นๆผุดออกมาจากหน้าผาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเป่ยชิงเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา หอกของฮั่วมู่เจ๋อจะต้องแทงทะลุลำคอของเขา ทำให้เขาตายทันทีอย่างแน่นอน
“แกเป็นใคร? แกคือคนที่สังหารเหล่าแม่ทัพของเราใช่ไหม?”
หลังจากตอบโต้ฮั่วมู่เจ๋อ เป่ยชิงก็ชี้หอกเข้าใส่ ‘บริวาร’ ของเขาอย่างดุร้ายขณะตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เขารู้ดีว่าฮั่วมู่เจ๋อตัวจริงมีพละกำลังแค่ไหน แต่เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถสำแดงแก่นสารทั้ง 3 รูปแบบออกมาได้พร้อมๆกัน เป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ยังทำไม่ได้!
เขาคงจะเป็นไอ้งั่งตัวจริงถ้าไม่รู้ว่าฮั่วมู่เจ๋อถูกแทนที่ด้วยคนอื่นแล้ว!
ตอนนี้ ความสงสัยทั้งหมดที่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาก่อนหน้านี้ก็ปะติดปะต่อเข้ากันอย่างลงตัว เกิดเป็นภาพที่เกือบสมบูรณ์
ใครจะไปคิดว่าทั้งตัวเขากับอู๋ชู่ซึ่งเป็น 2 แม่ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจะถูกปั่นหัวราวกับเป็นไอ้งั่งแบบนี้?
“ฮ่าฮ่าฮ่า! นึกแล้วว่าต้องถูกจับได้…ใช่ คุณพูดถูก ผมคือคนที่สังหารลูกน้องทั้งหมดของคุณ!” เมื่อเห็นว่าตัวตนถูกเปิดเผย ฮั่วมู่เจ๋อหัวเราะลั่นก่อนจะกลายร่างกลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน
เขาคิดว่าขอแค่สังหารแม่ทัพใหญ่ได้สักตัว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาจะถูกเปิดโปงเสียเอง?
อันที่จริง หากเมื่อครู่นี้จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร ต่อให้เป่ยชิงรู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม ก็คงสายไปแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผย เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้อาวุธของฮั่วมู่เจ๋อ ด้วยความแข็งแกร่งของหอกที่มีไม่มากนัก เป่ยชิงจึงสามารถปัดป้องการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายและช่วยชีวิตอู๋ชู่ได้ทันเวลา
“ตายซะเถอะ!” เมื่อรู้แล้วว่าถูกปั่นหัวราวกับเป็นไอ้โง่ตัวหนึ่ง เป่ยชิงโมโหเดือดและพุ่งหอกเข้าใส่จางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว
“แก ไอ้สารเลว!” อู๋ชู่รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อาจยอมรับความจริงว่าตัวเองถูกปั่นหัวได้ เมื่อหวนนึกถึงความตายของเหล่าบริวาร ก็กวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่จางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว
แม้เป่ยชิงกับอู๋ชู่จะไม่เคยสู้รบร่วมกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ก็เชี่ยวชาญการใช้ค่ายกลผนึกกำลังของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งหอกและกระบี่ของทั้งคู่เคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างไร้ที่ติและต้อนจางเซวียนให้จนมุม ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า
จางเซวียนรีบชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาเพื่อตอบโต้
ถึงสองแม่ทัพใหญ่จะได้รับบาดเจ็บและเหน็ดเหนื่อยจากการสู้รบก่อนหน้านี้ แต่พวกมันก็ยังเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เมื่อจางเซวียนต้องเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถึง 2 ตัวพร้อมๆกัน เขารู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองเริ่มจะปั่นป่วนจากการโจมตีของทั้งคู่
ด้วยแรงกดดันที่โถมทับเข้าใส่เขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนคิดอย่างขมขื่น ดูเหมือนเราจะประเมินพวกมันต่ำไป…
เขาเคยคิดว่าคงแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายหากสังหารแม่ทัพใหญ่ได้สักตัว แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเขาเลย
ตอนนี้ เหล่าพลทหารต่างก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติและพากันหยุดการโจมตี ซึ่งนั่นทำลายแผนการของเขาที่จะกำจัดพวกมัน ทำให้ทุกอย่างสูญเปล่า
หลังจากล่าถอยไปอีก 8 ก้าว จางเซวียนพยายามจะพลิกผันสถานการณ์ให้ได้ ก็พอดีกับที่ศีรษะของอู๋ชู่กับเป่ยชิงระเบิดจนเลือดสาดพร้อมๆกัน ขณะที่เลือดของพวกมันพุ่งลงสู่พื้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
“ผมบอกคุณแล้วว่าเราควรจะสังหารพวกมันด้วยหมัดเดียวแทนที่จะต้องยุ่งยากลำบากขนาดนี้ แต่คุณก็ไม่ฟังเอาเสียเลย!” ตัวโคลนของจางเซวียนตำหนิด้วยสายตาเย้ยหยันขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้