Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1711
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1711
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1711 ยักษ์ผืนทราย
“พอตื่นขึ้นมา พวกคุณก็อยู่ที่นี่แล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก
เขารู้สึกตัวตื่นในผืนป่าที่ปกครองโดย 5 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่คนเหล่านี้รู้สึกตัวตื่นที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้คนที่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อนั้นไม่ได้ถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังพื้นที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังมิติลี้ลับที่ต่างกันด้วย?
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เราไม่รู้สึกว่าหลัวลั่วชิงหรือคนอื่นๆที่เราคุ้นเคยอยู่บริเวณนี้เลย!
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนพบนักรบจำนวนหนึ่งในผืนป่า แต่ก็ไม่พบใครที่รู้จักหรือคุ้นเคย ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดมาก แต่มาตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างแปลกไป
ดูเหมือนวิหารแห่งขงจื๊อจะซับซ้อนกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก
“ยักษ์ผืนทรายตนนั้นคืออะไร? ในเมื่อพวกคุณอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนถามต่อ
ผืนป่าที่เขาผ่านมาก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและ ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ ที่สามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของนักรบได้ พูดอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนทะเลทรายแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่ใช้ท้าทายความอดทนของนักรบ พื้นที่หนึ่งเขียวชอุ่ม ส่วนอีกที่หนึ่งแห้งผาก ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
แต่ในเมื่อทุกคนถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังมิติลี้ลับที่แตกต่างกัน ก็น่าจะมีทางออกที่นำเขาไปสู่มิติลี้ลับที่อื่นๆได้
“ยักษ์ผืนทรายตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ พวกเราปะทะกับมันหลังจากเดินทางมาได้ราว 4 ชั่วโมง และมันเข้าโจมตีทันทีที่เห็นพวกเราปรากฏตัว…ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ พวกเราคงพ่ายแพ้ไปแล้ว” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้จางเซวียนรับรู้
“ส่วนความผิดปกติ…ผมเกรงว่าจะไม่พบอะไรทำนองนั้น แต่พวกเราเจอกับนักรบ 2-3 กลุ่มในระหว่างการเดินทาง ดูเหมือนพวกเขากำลังตามหาโอเอซิสแห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาพบมันหรือไม่ แต่เราไม่เจออะไรทำนองนั้นเลยตลอดการเดินทางของเรา…”
“โอเอซิส?”
คำนั้นทำให้จางเซวียนตาโต
จริงด้วย! ในเมื่อมีทะเลทราย ก็ต้องมีโอเอซิสอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เป็นไปได้ว่าทางออกน่าจะอยู่ที่โอเอซิสนั่น!
จางเซวียนพยักหน้าอย่างยินดีปรีดาที่พบเงื่อนงำที่เขากำลังตามหา จากนั้นก็หันกลับไปถามนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่ง “เมื่อครู่นี้คุณปะทะกับยักษ์ผืนทรายได้อย่างไร?”
“พวกเรากำลังพักผ่อนเพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและดับความกระหาย ก็พอดีกับที่เจ้ายักษ์ใหญ่ตนนั้นปรากฏตัวและเข้าโจมตีเรา” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนนั้นตอบ
“คุณกำลังพยายามดับความกระหาย?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ถ้ามีปัจจัยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ดื่มหยดน้ำทิพย์เช่นกัน แต่ยักษ์ผืนทรายก็ไม่ปรากฏตัว
“ใช่แล้ว แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่แปลกประหลาดมากเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ คือไม่ว่าพวกเราจะดื่มน้ำมากสักแค่ไหน ก็ไม่อาจดับความกระหายได้เลย กลับตรงกันข้าม ยิ่งดื่มพวกเราก็ยิ่งอ่อนล้า” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนนั้นตอบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“การดื่มน้ำไม่ช่วยอะไร?” จางเซวียนงุนงง เขาสะบัดข้อมือและนำน้ำเต้าลูกหนึ่งที่บรรจุน้ำออกมา เมื่อจิบดู ก็พบว่าริมฝีปากของเขาแห้งผากยิ่งกว่าเดิม ราวกับมีใครสุมเพลิงไว้ในร่างกาย ทำให้มัน มอดไหม้และเหี่ยวแห้งไปทีละน้อย
จางเซวียนเก็บน้ำเต้าเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติและนำหยดน้ำทิพย์ที่เขาเก็บมาจากป่าผืนนั้นออกมา เมื่อจิบเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าจุดชีพจรทุกจุดคลายความตึงเครียดลง ความรู้สึกแห้งผากที่ลิ้นบรรเทาเบาบางลงไป ทำให้เขาสดชื่นขึ้น
“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า
เท่าที่เห็น ดูเหมือนน้ำจะไม่มีประโยชน์ที่นี่ สิ่งเดียวที่จะคืนความสดชื่นให้กับร่างกายได้คือหยดน้ำทิพย์!
“ผู้อาวุโส คุณมีหยดน้ำทิพย์ด้วย คุณจะ…แบ่งปันให้พวกเราสักหน่อยได้ไหม?”
แม้ในกลุ่มนั้นจะไม่มีใครแข็งแกร่งเท่ากับจางเซวียน แต่พวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยสายตาอันเฉียบแหลม ทุกคนต่างเห็นว่าริมฝีปากของจางเซวียนแห้งผากหลังจากจิบน้ำ แต่เมื่อจิบหยดน้ำทิพย์ ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงการดื่มหยดน้ำทิพย์เท่านั้นที่จะช่วยคลายความกระหายและบรรเทาความเหนื่อยล้าของพวกเขาได้!
“พวกคุณอยากได้หยดน้ำทิพย์หรือ? ผม…”
เพราะก่อนหน้านี้จางเซวียนเก็บหยดน้ำทิพย์มามากมาย เขาจึงเต็มใจจะมอบให้กับสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา จึงถามว่า “ขอเวลาผมสักครู่ก่อน เมื่อครู่นี้คุณบอกว่ายักษ์ผืนทรายเข้าโจมตีคุณขณะที่คุณกำลังดื่มน้ำ ใช่ไหม?”
ทุกคนพยักหน้า
“ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยจำลองสถานการณ์ตอนที่คุณดื่มน้ำแบบเมื่อครู่นี้อีกครั้งได้ไหม? เก็บให้หมดทุกรายละเอียดนะ ถ้าเราดึงดูดยักษ์ผืนทรายมาได้อีกตนหนึ่ง ก็มีโอกาสที่เราจะหนีรอดจากทะเลทรายแห่งนี้ได้” จางเซวียนสั่งการ
จางเซวียนไม่คิดว่ายักษ์ผืนทรายจะอ่อนแอถึงขนาดเสียชีวิตจากการขว้างหอกเพียงครั้งเดียวของเขา ในเมื่อทะเลทรายแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ก็คงโง่เง่าเต็มทีหากคิดว่าจะสามารถพบโอเอซิสได้ด้วยการตระเวนท่องไปอย่างไร้จุดหมาย การตัดสินใจที่ชาญฉลาดกว่าคือการพึ่งพาเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้
แต่ปัญหาก็คือเขาจะต้องดึงดูดยักษ์ผืนทรายให้ได้สักตนหนึ่งก่อน
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเดินทางมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ไม่พบยักษ์ผืนทรายสักตัว ก็แปลว่าจะต้องมีกลไกบางอย่างที่ดึงดูดมันให้ปรากฏ
“เอ่อ…” ในกลุ่มนั้น ไม่มีใครที่เป็นคนโง่เง่า เมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน พวกเขาก็นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างนึกได้และพยักหน้า “ได้สิ!”
จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและปกปิดรังสีของเขาไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติธรรมดาคนหนึ่ง
ฟึ่บ!
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็หันไปมองทั้งกลุ่มและสั่งการ นักรบคนหนึ่งรีบสะบัดข้อมือและนำน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมา
ด้วยระดับวรยุทธของคนกลุ่มนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีแหวนเก็บสมบัติ ทุกคนมีน้ำและอาหารมากพอสำหรับการดำรงชีวิตระยะยาวเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติของพวกเขา
นักรบคนนั้นดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แต่ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็ดูจะแห้งเหี่ยวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ขว้างน้ำเต้าลงไปบนผืนทรายด้วยความสิ้นหวัง
ฉ่าาาาาา!
เมื่อน้ำจากน้ำเต้าไหลผ่านผืนทราย ก็ราวกับมีใครหยดน้ำลงไปบนน้ำมันเดือดๆ เกิดเสียงฉี่ฉ่าดังไปทั่วทะเลทรายแห่งนั้น พร้อมกับควันโขมงสีขาวที่อบอวลอยู่ในอากาศ
ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!
ขณะที่ควันสีขาวลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาแต่ไกล ยักษ์ผืนทรายขนาดมหึมา 2 ตนกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขา!
“พวกมันทั้งคู่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้น…ผู้อาวุโส, คุณต้องปกป้องพวกเรานะ!”
ทั้งกลุ่มหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง
เป็นเพราะความต้องการของผู้อาวุโสคนนี้ที่ทำให้พวกเขาล่ออีกฝ่ายเข้ามา แม้ทั้งกลุ่มจะมีจำนวนมากกว่า แต่ก็รู้ว่าไม่อาจรับมือกับยักษ์ผืนทรายถึง 2 ตัวได้ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีอยู่
“วางใจเถอะ!” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจ
แทนที่จะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขากลับกระทืบเท้าลงบนผืนทรายอันร้อนฉ่าอย่างแรงและพุ่งเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายตนหนึ่ง
จางเซวียนกางฝ่ามือแล้วกดลงไปบนตัวมันอย่างแรง
ฟึ่บ!
พลังปราณหนักหน่วงห่อหุ้มร่างของยักษ์ผืนทรายตนนั้นไว้
ฮื่อออออ!
ดูเหมือนยักษ์ผืนทรายจะมีความคิดและจิตใจเป็นของตัวเอง มันรู้ตัวทันทีว่ากำลังเสียเปรียบ และเงื้อฝ่ามือขึ้นเพื่อทำลายปราการพลังปราณที่อยู่รอบตัว
เกิดพายุเกรี้ยวกราดกวาดพื้นที่โดยรอบ ผืนทรายฟุ้งกระจายขึ้นกลางอากาศ
แน่นอนว่ายักษ์ผืนทรายเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังไม่เบา ไม่น่าแปลกใจที่นักรบทั้งกลุ่มซึ่งมีถึง 18 คน จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อรับมือกับมัน แต่เพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับจางเซวียน
ยักษ์ผืนทรายปล่อยหมัดเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่อาจทำลายปราการพลังปราณที่ล้อมรอบตัวมันไว้ได้
ส่วนยักษ์ผืนทรายตนที่สองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าจางเซวียนเป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน จึงพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยสหายของมัน
“อย่าห่วงน่ะ ฉันไม่คิดจะปล่อยแกไว้ตัวเดียวหรอก!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะสะบัดฝ่ามืออีกข้างเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายตนที่ 2
ยักษ์ผืนทรายตนนั้นทรุดฮวบลงกับพื้นทันที และไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้
จางเซวียนจ้องหน้ายักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนที่อยู่ตรงหน้าเขนอย่างเย็นชาและคำราม “ยอมจำนนให้ฉัน แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก!”
ฮื่อออออ!
ยากที่จะบอกได้ว่ายักษ์ผืนทรายทั้งสองตนเข้าใจคำพูดของเขาจริงๆหรือไม่ แต่มันปล่อยเสียงคำรามโหยหวนออกมา และยังคงตะกุยตะกายปราการพลังปราณที่ล้อมรอบตัวมันต่อไป
“ดูเหมือนพวกแกจะไม่ยอมจำนนให้ฉันจนกว่าฉันจะใช้กำลังสักหน่อย…ดีล่ะ งั้นก็ลิ้มรสฝีมือของฉันก็แล้วกัน!”
เมื่อเห็นว่ายักษ์ 2 ตนไม่สนใจเขา จางเซวียนหรี่ตา
เขากระดิกนิ้วขณะปล่อยกระแสดาบฉีเข้าใส่ยักษ์ผืนทราย 2 ตนนั้น
ก่อนจะทำให้อสูรสักตัวยอมจำนน นักรบจะต้องสำแดงพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าอสูรตนนั้นเสียก่อน เพื่อให้อสูรรู้ตัวว่าการต้านทานหรือความดื้อดึงใดๆไม่มีประโยชน์ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้อสูรยอมจำนนได้
นี่คือกระบวนการที่เหล่านักฝึกอสูรโดยทั่วไปใช้กัน คือเล่นงานอสูรเสียก่อนที่จะทำให้มันยอมจำนน แม้ยักษ์ผืนทรายจะดูไม่ค่อยเฉลียวฉลาดสักเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นไปตามกระบวนการนี้เช่นกัน
ฟิ้วววว!
จางเซวียนตั้งใจจะใช้กระแสดาบฉีของเขาสั่งสอนบทเรียนให้กับยักษ์ผืนทราย แต่ทันทีที่กระแสดาบฉีพาดผ่านลำตัวของพวกมัน พวกมันก็แหลกสลายไปทันที
ฟึ่บ!
ในชั่วพริบตา ยักษ์ทั้ง 2 ตนก็กลายเป็นกองทรายสีเหลือง
“อะไรกันนี่…” จางเซวียนอ้าปากค้าง