Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1721
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1721
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1721 เซวียนเอ๋อ, รีบมา!
“รอฉันด้วย!”
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะไปถึงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านล่าง เมื่อมองลงไป ก็เห็นร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าเสื้อคลุมของเขาไว้
“หูเหยาเหย่า?” จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก
ผู้ที่คว้าตัวเขาไว้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวน้อยที่มีใบหน้าคุ้นตาคนนั้น, หูเหยาเหย่า!
“สหาย การจะไปต่อนั้นอันตรายมากนะ จะดีที่สุดหากคุณอยู่ที่นี่” จางเซวียนพูดขณะยกมือขึ้น ตั้งใจจะส่งสาวน้อยกลับสู่พื้น
จากการพูดคุยกับผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ เขาได้รู้ว่าที่อาณาเขตรอบนอกวิหารแห่งขงจื๊อนั้นไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ยังเป็นไปได้ว่าจะมีนักปราชญ์โบราณอยู่ด้วย ถือเป็นสถานที่ที่อันตรายมากซึ่งเขาไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้แม้แต่ของตัวเอง ในเมื่อหูเหยาเหย่าเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 การที่เธอจะไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย!
ถึงอย่างไรเขาก็ปลอมตัวแล้ว จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าหูเหยาเหย่าจะรู้ว่าเป็นเขา
ขณะที่จางเซวียนกำลังจะเคลื่อนไหว ก็ได้ยินเสียงโทรจิตเข้ามาในหัว “จางเซวียน ถ้าคุณกล้าโยนฉันลงไป ฉันจะฟ้องตระกูลจางว่าคุณลวนลามฉัน และเรียกร้องให้คุณรับผิดชอบฉันด้วย!”
“ฮะ?” จางเซวียนแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น “คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม?”
เขาไม่อาจอวดอ้างว่าการปลอมตัวของตัวเองนั้นไร้ที่ติ แต่ก็มั่นใจว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณก็ยังระบุตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ยาก แล้วในเมื่อหูเหยาเหย่าเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9…เธอจดจำเขาได้อย่างไร?
ที่สำคัญกว่านั้น…เธอถึงกับขู่ว่าจะเข้าไปสร้างความปั่นป่วนที่ตระกูลจางด้วย
เรื่องทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังอยู่ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เพียงแต่ในครั้งนั้น เขาคือคนที่ประกาศว่าตัวเองถูกทำร้าย ยายคนนี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง เรื่องผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ยังจำไม่ลืม!
แต่เมื่อพิจารณาจากนิสัยของหูเหยาเหย่า…ก็ชัดเจนว่าทำว่าเธอทำอะไรแบบนั้นได้แน่!
แม้จะเป็นไปได้ว่าอาจไม่มีใครเชื่อเธอ แต่แค่คิดก็น่าอับอายเกินทนแล้วสำหรับหัวหน้า 3 ตระกูลชั้นนำและปูชนียสถานนักปราชญ์ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว ที่จะมีสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งโร่ไปถึงบ้านเพื่อกล่าวหาว่าเขาลวนลามเธอ…ต่อให้ไม่มีใครถือเป็นเรื่องจริงจัง แต่ชื่อเสียงและเกียรติยศของเขาคงป่นปี้
ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าหลัวลั่วชิงรู้เรื่องนี้…จะเป็นอย่างไร?
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็ส่ายหน้าและส่งโทรจิตตอบ “อีกฟากหนึ่งน่ะอันตรายมากนะ คุณคิดดูให้ดีเถอะ…”
“ฉันจะไป!” หูเหยาเหย่ายืนกรานหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” เห็นความดื้อดึงของหูเหยาเหย่า จางเซวียนรู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจเธอไม่ได้
เขาคว้าตัวเธอไว้และพุ่งเข้าสู่ทางเดินของมิติ
ฟึ่บ!
ทั้งคู่หลุดเข้าไปในลำแสง 2 ลำที่พุ่งผ่านทางเดินแห่งมิตินั้น ทันทีที่ทั้งคู่หายวับไป ทางเดินแห่งมิติก็สลายตัวไปด้วย มิติสมานตัวกลับคืนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น ฝูงชนที่ถูกจับตัวไว้ก่อนหน้านี้ถึงกับจังงัง
พวกเขาคิดว่าตัวเองคงตกที่นั่งลำบากแล้ว แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว เผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายก็ถูกสังหารเรียบ และผู้มีพระคุณของพวกเขาก็จากไปยังทางเดินแห่งมิติ ทิ้งให้พวกเขาจังงังอยู่อย่างนั้น
“ผู้อาวุโส พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
ทุกคนหันไปมองผู้อาวุโสที่จางเซวียนพูดคุยด้วยก่อนหน้านี้
เขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะขอความเห็นจากเขา
ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกสังหารไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเราก็คงไม่เป็นอันตราย ทำไมเราไม่ฝึกฝนวรยุทธกันล่ะ? ถ้าวิหารแห่งขงจื๊อปิด เราก็จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกนะ”
พูดกันตามตรง ต่อให้เขามีความกล้ามากกว่านี้อีก 10 เท่า ก็ยังไม่กล้าเข้าสู่อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊ออยู่ดี เขารักตัวกลัวตายเกินกว่าจะเข้าไปเสี่ยง ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะฝึกฝนวรยุทธอยู่ที่นี่และพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า
“คุณพูดถูก”
ทุกคนพยักหน้ารับ
หลังจากเพิ่งรอดปากเหยี่ยวปากกา พวกเขาก็หมดความกระหายที่จะเสี่ยง รู้ดีว่าความทะเยอทะยานเกินขนาดมีแต่จะทำร้ายตัวเอง จึงไม่อยากทำอะไรที่เป็นการทดสอบขีดจำกัดของตัวเองอีก
“เซวียนจาง…” เมื่อจ้องมองท้องฟ้าที่ทั้งคู่หายตัวไป ผู้อาวุโสออกความเห็นอย่างเคร่งขรึม “ใครจะไปคิดว่าจะมีชายหนุ่มที่เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ความสามารถของเขาแทบจะเรียกได้ว่าทัดเทียมกับจางเซวียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเลยทีเดียว…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ร่างของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที “เซวียนจาง, จางเซวียน…หรือว่า…”
เมื่อคิดได้ ผู้อาวุโสก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่คนฉลาดมักไม่ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อย
เขาจะใช้ชื่อปลอมที่มันแนบเนียนกว่านี้หน่อยได้ไหม?
ใครก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้หากพิจารณาให้ถี่ถ้วน
คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณพยายามจะปกปิดตัวตนของตัวเองจากสายตาชาวโลกและไม่ต้องการให้ใครรู้?
เอาเถอะ…แต่เรื่องนี้ก็หมายความว่าเราเป็นหนี้บุญคุณเขา ในอนาคตเราจะต้องหาทางตอบแทนบุญคุณต่อตระกูลจางให้ได้…
หนี้ชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครควรจะละเลย ในเมื่อเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว ก็จะต้องหาทางทำอะไรตอบแทนตระกูลจางให้ได้ในอนาคต
…..
ตุ้บ!
หลังจากเดินทางฝ่าฉนวนแห่งมิติ จางเซวียนกับหูเหยาเหย่าก็ร่วงลงกับพื้นพร้อมกัน
ทั้งคู่เห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ
“พวกเรามาถึงแล้วหรือ?” หูเหยาเหย่าส่ายหน้า พยายามขจัดความมึนงงก่อนจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นแหละ” จางเซวียนตอบ
กฎเกณฑ์แห่งมิติของมิติที่พวกเขาเพิ่งเข้ามานั้นดูจะเข้มงวดกว่ามิติผืนป่า มิติผืนทราย และมิติหิมะ แม้ด้วยประสิทธิภาพระดับเขาก็ยังไม่สามารถบินได้
ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยจางเซวียนก็ยังบินได้ในระดับความสูงไม่มากนัก แต่เมื่ออยู่ในมิติแห่งนี้ ก็ทำได้เพียงแค่เดินเท้าเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา
หูเหยาเหย่าชี้ไปที่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ซึ่งลอยอยู่ไกลๆ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าของเธอให้รัดกุม “นั่นคือวิหารแห่งขงจื๊อหรือเปล่า?”
จางเซวียนพยักหน้ารับ
ดูเหมือนผู้อาวุโสจะพูดถูก การเดินทางทะลุฉนวนแห่งมิตินำพาพวกเขามาสู่อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ แต่การจะพรวดพราดเข้าไปย่อมไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนัก ในเมื่อมีอันตรายอยู่โดยรอบ ก็ควรตรวจสอบสถานการณ์ให้ถี่ถ้วนก่อนจะเข้าไป
โดยเฉพาะเมื่อทางเดินนี้ถูกเปิดออกโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เพราะหากมีเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณรออยู่ข้างหน้า พวกเขาคงตายทันทีแน่!
ฟึ่บ!
จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วเป่ยหงที่ถูกมัดแน่นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“การค้นหาจิตวิญญาณ!”
รู้ดีว่าเป่ยหงคงไม่ยอมปริปากหากเขาซักถามอะไร จางเซวียนจึงไม่อยากเปลืองแรงตั้งคำถาม เขาใช้ศิลปะการค้นหาจิตวิญญาณกับเป่ยหงโดยไม่ลังเล
ฟิ้วววว!
ข้อมูลพรั่งพรูเข้าสู่หัวสมองของจางเซวียน
เหมือนอย่างที่เขาได้ฟังจากผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อนั้นก่อตัวขึ้นจากมิติ 6 มิติ ทั้งทางออกและทางเข้าเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้น หากใครสักคนเดินทางจากทางออกหนึ่งไปสู่อีกทางออกหนึ่ง ก็มีแต่จะเคลื่อนไหวเป็นวงกลม
นี่คือข้อมูลที่เป่ยหงได้รับจากอำมาตย์เฉินหย่ง
ในเมื่อเป่ยหงได้รับข้อมูลนี้จากอำมาตย์เฉินหย่งตอนที่มันไม่สามารถใช้ตราหยกสื่อสารได้ ความลับจึงอยู่ที่แท่นบูชา
เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้ความเคารพนั้นทรงพลังจนแม้แต่วิหารแห่งขงจื๊อที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นด้วยตัวเองก็ยังมีพละกำลังไม่เพียงพอที่จะยับยั้งอำนาจของอีกฝ่าย
ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งส่งข้อมูลมาที่นี่ได้ ก็แปลว่าเขาน่าจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อแล้ว จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความกังวลใจ
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนรู้มาว่าฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทรงพลังที่สุดตัวหนึ่งได้ลักลอบเข้าสู่ทวีปแห่งประมาจารย์เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นจะเป็นอำมาตย์เฉินหย่งนี่เอง!
ไม่มีใครในสภาปรมาจารย์ที่เคยพบอำมาตย์เฉินหย่งมาก่อน แต่แน่นอนว่าเขาน่าจะเป็นนักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนไม่ค่อยสบายใจเมื่อรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังอยู่รอบตัวเขา
ว่าแต่…ทำไมอำมาตย์เฉินหย่งถึงสั่งการเป่ยหงไม่ให้สังหารเหล่าปรมาจารย์?
นี่เป็นคำสั่งอันแปลกประหลาดที่เป่ยหงได้รับมา ซึ่งทำให้จางเซวียนออกจะงงเล็กน้อย
ระหว่างการเดินทางในอาณาจักรใต้ดิน จางเซวียนรู้ได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่
จากข้อมูลที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ อำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำที่สั่งการให้เผ่าพันธุ์ปีศาจทำสงครามกับมนุษย์
ส่วนอำมาตย์เฉินหลิงเป็นผู้สนับสนุน คอยจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่าที่จะทำได้
สำหรับอำมาตย์เฉินชิงนั้นดูเหมือนจะเหยียบเรือสองแคม มีบางครั้งที่เขาเป็นพันธมิตรกับอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะแปรพักตร์ไปเข้าข้างอำมาตย์เฉินหลิงเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำที่ออกจะหัวโบราณ ก็เป็นไปได้ที่เขาจะออกคำสั่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับเหล่าปรมาจารย์ บางทีเขาอาจจะไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ย่ำแย่ลงไปอีก
ไม่ช้า จางเซวียนก็วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากเป่ยหงเสร็จสิ้น
โดยรวมๆ ดูเหมือนเป่ยหงจะได้รับคำสั่งให้นำกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาเปิดเส้นทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยใช้แท่นบูชา ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น
ส่วนข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งได้รับข้อมูลจากบริวาร หรือเขามาสำรวจด้วยตัวเอง
หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหาจิตวิญญาณ จางเซวียนก็ทาบฝ่ามือลงบนศีรษะของเป่ยหงอย่างแผ่วเบาและสังหารมัน
ลงท้าย เขาก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อในตัวเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้
ไม่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะกำลังแสดงความปรารถนาดีต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเชื่อมั่นในเจตนาดีของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับการฝากชะตาชีวิตของมนุษย์ไว้กับความกรุณาของศัตรู ซึ่งเป็นความโง่เง่าอย่างมหันต์!
อีกอย่าง ก็เพิ่ง 2-3 วันนี้เองที่เผ่าพันธุ์ปีศาจพยายามบุกเข้าโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งใหญ่
ถึงที่สุดแล้ว ก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าจะมาเสียใจภายหลัง
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจภัยอันตรายในพื้นที่โดยรอบก่อนจะเลิกคิ้ว เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราหยกอันหนึ่งก็ปรากฏ ถ้อยคำแถวหนึ่งอยู่บนผิวหน้าของตราหยกนั้น
“เซวียนเอ๋อ, เมื่อลูกเห็นข้อความนี้ รีบมาหาพวกเราทันทีนะ พวกเราเพิ่งเห็นจ้าวหย่า…”