Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1725
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1725
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1725 ความเก่งกาจของรากไม้
“บังอาจมาก!”
“ก็แค่เจ้าโง่คนหนึ่งที่หลงตัวเองเพียงเพราะประสบความสำเร็จในบางเรื่อง”
“งี่เง่า! คิดหรือว่าตัวเองไร้เทียมทานเพียงเพราะทำให้อสูร 2-3 ตัวยอมจำนนได้?”
ขณะที่จางเซวียนกำลังท้าทายเป่ยหยวน เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งก็มุ่งหน้าเข้าสู่โดมร้อนเร่าดั่งไฟ เมื่อได้ยินคำพูดโอหังจากปากของจางเซวียน สีหน้าของพวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว แต่ละตัวตวาดก้องด้วยความหงุดหงิด
ตอนนี้มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอยู่ราว 30 ตัว และเกินกว่า 6 ตัวในนั้นมีพละกำลังระดับเดียวกันกับเป่ยหยวน แม้จางเซวียนจะทำให้อสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกยอมจำนนได้ถึง 5 ตัว แต่ก็ไม่อาจรับมือได้หากทั้ง 6 รวมผนึกกำลังกัน
“จะมาเถียงกันอยู่ให้ได้อะไร? ถ้าพวกคุณกล้าพอจะรับคำท้าของผมล่ะก็ นำทรัพย์สมบัติออกมาวางเป็นเดิมพันเลย” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ก็เหมือนเดิมนะ ผมจะนำเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาเป็นเดิมพัน คนแข็งแกร่งจริงน่ะจะใช้การกระทำ ไม่ใช่คำพูด!”
เผ่าพันธุ์ปีศาจต่างหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มพูดถูก พวกมันจะพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมา!
“ผมจะให้เวลาพวกคุณคิด 10 นาที ระหว่างนี้ขอพักสักงีบ ถ้าพวกคุณรับคำท้าของผม ผมก็ไม่รังเกียจที่จะต่อกรด้วย!” จางเซวียนทิ้งท้ายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้งก่อนจะกลับเข้าสู่โดมใบไม้ผลิอบอุ่นพร้อมกับยืดหลังบิดขี้เกียจ
“ท่านหัวหน้าตระกูลของเราช่างแน่นอนจริงๆ…”
“เขาทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมายอึ้งพร้อมๆกันได้ นี่คือความสามารถของผู้มีอำนาจตัวจริงเท่านั้น”
เหล่านักรบในโดมใบไม้ผลิอบอุ่นพยักหน้าด้วยความเคารพและยำเกรง
เป็นความจริงที่ว่าไม่มีฝ่ายไหนกล้ารุกล้ำมากเกินไป เพราะเหตุผลที่เกี่ยวกับนักปราชญ์โบราณ แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเพราะมีพละกำลังเหนือกว่า ดังนั้น จึงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำมาโดยตลอด
พวกเขาไม่คิดว่าหัวหน้าตระกูลจางจะสามารถพลิกผันสถานการณ์ได้ทันทีที่ปรากฏตัว
“คุณคือจางเซวียนใช่ไหม? ผมคือเป่ยเฟิง ยินดีรับคำท้าของคุณ!”
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะกลับถึงโดมใบไม้ผลิอบอุ่น เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงตระหง่านก็เดินออกมา เขาคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจ 6 ตัวที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก
เห็นใครคนหนึ่งรับคำท้า จางเซวียนถามยิ้มๆ “เดิมพันของคุณคืออะไรล่ะ?”
“ผมมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะมอบให้คุณหากผมแพ้ แต่ในทางกลับกัน หากผมชนะ ผมจะไม่ขอให้คุณมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้ผมหรอกนะ ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือโควต้า 3 ตำแหน่งเพื่อเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” เป่ยเฟิงพูด
“โควต้า 3 ตำแหน่ง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“จากอักษรจารึกที่เราพบในพื้นที่ ดูเหมือนเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของเราจะอนุญาตให้ พวกเรานำผู้คนเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เพียง 10 คนเท่านั้น” เซียนดาบชิงพูด
“ผมเข้าใจแล้ว!” จางเซวียนพยักหน้าหลังจากครุ่นคิด “ไม่มีปัญหาเรื่องนั้น ผมยอมรับเดิมพันของคุณ”
ต่อให้เป่ยเฟิงชนะการดวลและได้โควต้าสามตำแหน่งในการเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จางเซวียนก็ยังได้เปรียบอยู่ดี เพราะในการต่อสู้ระหว่าง 7 ต่อ 3 ตระกูลจางย่อมถือไพ่เหนือกว่า และสามารถสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้โชคร้ายทั้ง 3 ตัวที่ติดตามพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ถึงอย่างไร เหล่านักปราชญ์โบราณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊ออยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่มีอำนาจที่จะก้าวก่ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายใน
“ผมรู้ว่าอสูรทั้ง 5 ตัวนั้นเป็นอสูรของคุณ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องชี้ชัดถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริง ผมกำลังท้าทายคุณ ไม่ใช่อสูรของคุณ ในฐานะปรมาจารย์ คุณจะเก็บอสูรของคุณไว้แล้วเผชิญหน้ากับผมตัวต่อตัวได้หรือไม่?” เป่ยเฟิงถาม
“พูดอีกอย่างก็คือคุณไม่อยากให้ผมใช้อสูรของผมใช่ไหม?” จางเซวียนถามกลับพร้อมกับผุดรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาความคิด
“ใช่ ผมยอมรับว่าอสูรทั้ง 5 ของคุณมีพละกำลังมาก แต่คุณกล้าหรือเปล่าที่จะใช้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเพื่อต่อสู้กับผม คุณไม่รู้สึกว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติบ้างหรือสำหรับปรมาจารย์อย่างคุณที่จะเอาแต่พึ่งพาอสูร?” เป่ยเฟิงท้าทาย
“ผมเผชิญหน้ากับคุณโดยไม่มีอสูรก็ได้…แต่ในเมื่อมันเป็นการตัดกำลังฝ่ายผม ผมก็อยากให้คุณ เพิ่มของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งในการเดิมพัน” จางเซวียนพูด
“คุณอยากให้ผมเพิ่มเดิมพันด้วยของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่ง?” เป่ยเฟิงขมวดคิ้วขณะลดสายตาลงอย่างลังเล หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดข้อมือ แล้วหินวิเศษสีแดงก่ำก็มาอยู่ในฝ่ามือของเขา “ผมไม่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เหลือแล้ว แต่คริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์นี้ทำงานด้วยการหล่อเลี้ยงจากหยดเลือดของอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก มันสามารถปล่อยพลังงานเต็มพิกัดของผู้เชี่ยวชาญในระดับนั้น คริสตัลนี้จะเป็น แหล่งกำเนิดพลังจิตวิญญาณชั้นดีสำหรับการฝึกฝนวรยุทธของคุณ แม้อาจจะเทียบชั้นกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่ก็น่าจะมีคุณค่าพอๆกัน คุณจะรับมันไว้ได้ไหม?”
จางเซวียนมองหินวิเศษสีแดงก่ำก้อนนั้น รู้สึกได้ทันทีถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากก้อนหิน มันเข้มข้นเสียจนแทบจะจับต้องได้ หากเขาใช้มันฝึกฝนวรยุทธ ก็คงยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับเขา
“ก็ได้ ผมยอมรับข้อตกลงของคุณ” จางเซวียนพพยักหน้ารับ
อันที่จริง เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากเกินไปสักหน่อยแล้ว เขาไม่อยากได้มันอีก ในแง่ของการใช้สอย คริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์มีประโยชน์กับเขามากกว่า
บางที อาจจะเป็นเพราะยังกังวลเล็กน้อย เป่ยเฟิงประกาศลั่น “นักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์และนักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นพยานว่าการใช้อสูรถือเป็นข้อห้ามในการดวลครั้งนี้”
จางเซวียนไม่รู้ว่าเหล่านักปราชญ์โบราณซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่คำประกาศนี้บ่งบอกชัดเจนว่า กฎเกณฑ์นั้นถูกนำมาใช้จริง ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะการพักรบมีความสำคัญสูงสุดสำหรับสำหรับทั้งสองฝ่าย เพื่อสงวนพละกำลังในการต่อสู้เอาไว้สำหรับการแย่งชิงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แม้จะเป็นความจริงที่ว่านักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกทุกคนมีค่ามากต่อทีม แต่เหล่านักปราชญ์โบราณก็จะไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์โดยรวมเพียงเพื่อปกป้องคนเหล่านั้น
“วางใจเถอะ ในเมื่อผมยอมรับเงื่อนไขของคุณแล้ว ผมก็จะรักษาสัญญา” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจขณะเก็บอสูรของเขาเข้าไปในรังนางพญามด
“ผมเชื่อมั่นในเกียรติของคุณในฐานะปรมาจารย์” เป่ยเฟิงพยักหน้า
เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่งพร้อมกับชักอาวุธ
“ท่านหัวหน้า ระวังด้วย!” ผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความเป็นห่วง
เมื่อปราศจากอสูร หัวหน้าตระกูลของพวกเขาก็เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ดูไม่น่าเป็นไปได้ที่จะรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าถึง 2 ขั้นเต็มๆ
เป็นไปได้จริงๆหรือที่ใครสักคนจะสามารถก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำของพละกำลังได้
“ฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะก้าวออกไปแล้วสะบัดข้อมือ รากไม้ที่มีลักษณะเหมือนหยกปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา “ผมบอกไว้ว่าจะไม่ใช้อสูร จะรักษาสัญญา และผมก็ไม่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่พอดีว่ารากไม้นี้เป็นสิ่งที่ผมพบโดยบังเอิญ มันทนทานมาก และยากต่อการจะใช้เป็นอาวุธ คุณคงไม่มีปัญหานะถ้าผมจะใช้มันในการดวล, ใช่ไหม?”
“รากไม้?” เป่ยเฟิงมองสิ่งที่ชายหนุ่มถือไว้ในมือ และหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันเป็นแค่รากไม้อันหนึ่ง เขาก็พยักหน้า “คุณจะใช้มันเป็นอาวุธก็ได้”
ขอแค่ชายหนุ่มไม่ใช้อสูร ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ว่าอีกฝ่ายจะใช้ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่ อีกอย่าง เขาก็ได้ตรวจสอบรากไม้นั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว และไม่พบความผิดปกติหรือแปลกประหลาดในตัวมัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย…รากน้อย ฉันขอมอบที่เหลือให้แกรับผิดชอบนะ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะโยนรากไม้ขึ้นสู่กลางอากาศอย่างเกียจคร้าน
“ให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ!” รากไม้ตอบผ่านทางกระแสจิต
จากนั้นมันก็บินตรงดิ่งเข้าสู่มิติที่อยู่รอบตัวเป่ยเฟิง
“ก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ!” เป่ยเฟิงคำรามขณะกวัดแกว่งอาวุธในมือเข้าใส่รากไม้นั้น
ครืนนนนน!
มิติโดยรอบสั่นสะท้าน ภายใต้การเคลื่อนไหวของเป่ยเฟิง นักรบที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนหนึ่งผนึกกำลังกันกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ก็สามารถสำแดงพละกำลังที่ทำให้ใครต่อใครพากันหวาดกลัว
แต่ยังไม่ทันที่อาวุธของเป่ยเฟิงจะเข้าปะทะรากไม้ มิติรอบตัวทั้งคู่ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที พริบตาต่อมา เป่ยเฟิงพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ต้นไม้สูงตระหง่านยืนอยู่อย่างเงียบเชียบตรงหน้าเขา สายลมอ่อนพัดโชยมา ปุยฝ้ายร่วงหล่นกับพื้นอย่างช้าๆราวกับหิมะ
เป่ยเฟิงหรี่ตาและตะโกนอย่างหวาดระแวงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยรอบ “นี่มันอะไรกัน?”
แล้วปุยฝ้ายก็ปลิวเข้าปากโดยไม่รู้ตัวขณะที่เขาพูด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“นี่มันของล้ำค่าชนิดไหน?”
นึกไม่ถึงว่ารากไม้เพียงอันเดียวจะทำให้เกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ขึ้นได้ ทุกคนถึงกับผงะ ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“เป่ยเฟิง มันเป็นแค่ภาพลวงตา คุณต้องหาทางทำลายมันให้ได้…” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตะโกนอย่างร้อนรน
“เข้าใจแล้ว…” เป่ยเฟิงตอบ
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พริบตาต่อมา เป่ยเฟิงก็สลายร่างกลายเป็นกองทรายสีเหลือง ไม่มีร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่เลย
ความเงียบงันครอบงำทั่วทั้งพื้นที่นั้น