Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1731
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1731
อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1731 หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1731 หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เมื่ออสูรจำนวนหนึ่งยอมมอบความจงรักภักดีให้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขาเก็บอสูรทั้งหมดเข้าสู่รังนางพญามดก่อนจะเดินตรงไปยังปราการที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
แต่คราวนี้ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาด จางเซวียนพบว่าปราการที่มองไม่เห็นยับยั้งอสูรเหล่านั้นไว้ เขาไม่อาจผ่านไปได้เหมือนคราวก่อน
“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนอ้าปากค้างกับสิ่งที่คาดไม่ถึง
หรือว่าเขารอนานเกินไป และไม่อาจเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงได้ปล่อยโฮแน่
“นายท่าน คุณนำอสูรติดตัวมามากเกินไป” ขณะที่จางเซวียนกำลังจะทำความเข้าใจสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า เสียงเครื่องรางน้อยก็ดังขึ้นในหัว “โดยปกติ เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานจะพาผู้คนเข้ามาในนี้ได้ 10 คน ส่วนผมซึ่งเป็นเครื่องรางลำดับแรก จะพาเข้ามาได้ 15 คน แต่เมื่อครู่นี้คุณเพิ่งทำให้อสูร 20 ตัวยอมจำนน…”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แต่เป็นเพราะเขาแบกน้ำหนักมากเกินไป จางเซวียนส่งโทรจิตหาเครื่องรางน้อยและตั้งคำถาม “ถ้าผมเก็บพวกมันไว้ในมิติลี้ลับจะได้ไหม?”
“ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณคงพาทุกคนเข้าสู่หอบริวารแล้ว” เครื่องรางน้อยอธิบาย
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้ารับ
ไม่มีทางที่ปรมาจารย์ขงจะปล่อยให้กฎเกณฑ์ที่เขาตั้งขึ้นสามารถยืดหยุ่นได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้อะไรๆเข้มงวดตั้งแต่แรก
ดังนั้น จางเซวียนจึงปล่อยอสูรที่มีวรยุทธต่ำกว่าออกไปจนกระทั่งเหลือพวกมันเพียง 14 ตัว เขาพยายามเดินผ่านปราการที่มองไม่เห็นอีกครั้ง และคราวนี้ผ่านมันไปได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ
ไม่นานหลังจากที่ผ่านปราการ จางเซวียนก็พูดขึ้น “เดี๋ยวก่อน แบบนี้ไม่ใช่นะ งูเขียวไม้สวรรค์ยังอยู่ในมิติลี้ลับของผม ถ้านับรวมมันด้วย ก็หมายความว่าจำนวนที่ผมพาเข้ามานั้นเกิน 15 แล้ว”
นอกจากอสูร 14 ตัวที่เขาเพิ่งทำให้มันยอมจำนนได้เมื่อครู่ ก็ยังมีงูเขียวไม้สวรรค์ เสือเมฆวิญญาณทอง เสือขาวหน้าผากแดง และอสูรอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในรังนางพญามดด้วย รวมจำนวนอสูรที่จางเซวียนมีอยู่กับตัวก็น่าจะเกินกว่า 20!
“พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาบริเวณของวิหารแห่งขงจื๊ออยู่แล้วโดยธรรมชาติ จึงสามารถผ่านเข้าไปได้ ไม่นับรวมอยู่ในโควตา” เครื่องรางน้อยอธิบาย
“มีแบบนี้ด้วย?” จางเซวียนถามด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าอสูรที่อยู่ในอาณาบริเวณของวิหารแห่งขงจื๊อจะได้รับการยกเว้น
เขาส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
คนอื่นๆเข้าสู่พื้นที่นี้ล่วงหน้าเกินกว่า 1 นาทีแล้ว เขาจึงต้องรีบ จะได้ตามคนเหล่านั้นให้ทัน
เมื่อเดินผ่านประตูบานใหญ่ จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางทางเดินขนาดกว้าง รูปปั้นมากมายในอากัปกิริยาต่างๆถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่สองข้างทางเดิน บางตัวกำลังครุ่นคิด บางตัวเหม่อมองออกไปแสนไกล บางตัวอ่านหนังสือ บางตัวกำลังฝึกฝนวรยุทธ…พวกมันถูกสลักเสลาขึ้นอย่างประณีตเหมือนจริง จนเกือบเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ
“นี่คือ…72 นักปราชญ์หรือ?”
ใช้เวลาไม่นาน จางเซวียนก็จดจำรูปปั้นเหล่านั้นได้ พวกเขาคือนักปราชญ์ 72 คนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ขง
เป็นที่รู้กันว่าปรมาจารย์ขงมีลูกศิษย์เกินกว่าสามพันคนและศิษย์สายตรงอีก 72 คน ศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนนี้รู้จักกันในชื่อ 72 นักปราชญ์ และ 10 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นซึ่งรวมถึงนักปราชญ์โบราณหรันชิวและนักปราชญ์โบราณโป๋ช่างก็ได้รับความเคารพในฐานะ 10 สุดยอดสาวก
ทั้ง 72 นักปราชญ์มีวีรกรรมและตำนานที่แตกต่างกันออกไป ต่างคนต่างประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในช่วงชีวิตของตัวเองวีรกรรมของพวกเขาถูกสภาปรมาจารย์บันทึกไว้ทั้งในรูปของตัวอักษรและงานศิลปะ เพื่อให้โลกได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่และการเสียสละที่พวกเขามอบให้มวลมนุษย์
จางเซวียนเคยชมงานศิลปะเหล่านั้นมาแล้ว จึงจดจำรูปปั้นเหล่านี้ได้ไม่ยาก
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, นักปราชญ์โบราณจื่อเฉียน, นักปราชญ์โบราณจื่อลิ่ว, นักปราชญ์โบราณหลันเกิง….
ชื่อที่คุ้นหูลอยเข้ามาในสมองของจางเซวียน ปะติดปะต่อกับรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมองรูปปั้นโบร่ำโบราณเหล่านั้น จางเซวียนก็แทบจะเห็นการสู้รบอันดุเดือดที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจในยุคสมัยที่ผ่านมา
หากปราศจากคนเหล่านี้ ก็ไม่มีทางที่ปรมาจารย์ขงจะเอาชนะการคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจในตอนนั้นได้!
พวกเขาคือเสาหลักที่ทำให้มนุษย์พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในยุคสมัยแห่งความสิ้นหวังนั้น การปรากฏตัวของ 72 นักปราชญ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปีแล้ว ชื่อของพวกเขาก็ยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวโลก
จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงามให้รูปปั้น 72 นักปราชญ์เพื่อแสดงความเคารพอย่างล้ำลึก ก่อนจะเดินหน้าต่อไป
รูปปั้นของ 72 นักปราชญ์สร้างความกดดันเล็กน้อยให้กับผู้ที่เดินผ่าน ทั้งยังบ่มเพาะสมองและจิตวิญญาณของผู้นั้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มากกับการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
หลังจากเดินไปอีก 2-3 ก้าว จางเซวียนก็เห็นปรมาจารย์จำนวนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ไปต่อไม่ไหว พวกเขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลจาง
ด้วยขีดจำกัดของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของพวกเขา จึงดูเหมือนว่าคนเหล่านี้อาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหากยังฝืนตัวเองให้เดินหน้าต่อไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็คงจะฉลาดกว่าหากใช้ประโยชน์จากแรงกดดันในเวลานี้เพื่อยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
เห็นทั้งกลุ่มยังคงดื่มด่ำอยู่กับความคิดล้ำลึก จางเซวียนตัดสินใจเดินผ่านไปโดยไม่รบกวน
จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่แน่ใจว่าตัวการที่เป็นผู้ลักพาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไปคือใคร แต่ข้อเท็จจริงก็คือคนเหล่านั้นสามารถผ่านทางเดินที่มีรูปปั้น 72 นักปราชญ์ไปได้ ก็แปลว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าเขา
ด้วยระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่สูงขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นน่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก ซึ่งถ้าเป็นจริง ก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อท่านพ่อท่านแม่ของเขาและสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลจาง
เมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน จางเซวียนก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่
เซียนดาบชิงเหมิงและผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆของตระกูลจางยืนอยู่ใจกลางห้อง ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาคือเด็กวัยรุ่น 8 คนที่แผ่รังสีแก่กล้าออกมา เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ วัยรุ่นทั้ง 8 คนสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก!
เมื่อเห็นว่าท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เป็นอะไร จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 8 คน
สาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางกลุ่มนั้น นัยน์ตาของเธอปิดสนิทกระแสพลังงานเย็นเยือกพวยพุ่งออกจากร่าง ดูเหมือนเธอกำลังพยายามจะเปิดใช้งานฉนวนที่อยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้องโถงนั้น
จางเซวียนเลิกคิ้วและโพล่งออกมาอย่างร้อนรน “จ้าวหย่า!”
เขารี่เข้าหาเธอ
“เซวียนเอ๋อ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงพวกเรานะ”
ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงตัวจ้าวหย่า เซียนดาบชิงเหมิงก็รีบส่งโทรจิตหา
“เธอไม่ได้ยินเสียงพวกเราหรือ?” จางเซวียนชะงัก
“ใช่ ก่อนหน้านี้เราพยายามเรียกจ้าวหย่าแล้ว แต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เธอไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเลย” เซียนดาบชิงอธิบาย
“เธอน่าจะกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสภาพวาดบนผนัง เราไม่รู้จริงๆว่าวัตถุประสงค์ของการทำแบบนั้นคืออะไร” เซียนดาบเหมิงตอบขณะแอบชี้ไปที่ภาพวาดบนผนัง
“ภาพวาด?” จางเซวียนมองตามนิ้วของเซียนดาบเหมิงและเห็นภาพวาดขนาดใหญ่ที่อยู่บนผนัง ภาพวาดนั้นดูล้ำลึกมากราวกับโลกทั้งโลกถูกขังไว้ภายในนั้น
จ้าวหย่ากำลังปล่อยพลังงานเย็นเยือกของเธอเข้าสู่ภาพวาดอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนพยายามจะทำลายฉนวนที่อยู่บนนั้น
โดยปกติ จ้าวหย่าจะต้องรู้แล้วว่าเขามาถึงทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องโถง อย่าว่าแต่จะร้องเรียกเธอ แต่การที่เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย ก็น่าจะหมายความว่าเธอกำลังอยู่ในภวังค์
เห็นจ้าวหย่าไม่เป็นอันตราย จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่จิตใจที่ร้อนรนของเขาค่อยสงบลง
เขาหันไปมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่ยืนอยู่ตรงข้ามและหรี่ตา “พวกนั้นเป็นใคร?”
“เมื่อครู่นี้พ่อถามแล้ว พวกเขาบอกว่าเป็นทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์” เซียนดาบชิงตอบ
“100 สำนักแห่งนักปราชญ์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “พวกเขาคือทายาทของ 72 นักปราชญ์ ถูกไหม? แล้วทำไมถึงลักพาตัวจ้าวหย่าแล้วภาพวาดที่อยู่บนผนังนั่นคืออะไร?”
ที่ผ่านมา จางเซวียนคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือผู้ลักพาตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทา ซึ่งด้วยนิสัยโหดร้ายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะทำอะไรแบบนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าตัวการที่แท้จริงมาจาก100 สำนักแห่งนักปราชญ์?
แม้เขาจะได้เงื่อนงำบางอย่างที่นำไปสู่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แต่ก็ยังยับยั้งความแคลงใจของตัวเองไว้ เพราะถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็สืบเชื้อสายมาจากปรมาจารย์ขง ซึ่งยึดมั่นทั้งหลักการและคุณธรรม ยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างการลักพาตัวใครต่อใครเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย
ช่างไม่เข้ากันกับแนวคิดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เลย!
ไม่เพียงเท่านั้น ที่น่าประหลาดไปกว่าก็คือทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับภาพวาดมากกว่าบรรดารูปปั้นของเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ด้านนอก หรือว่าจะมีความลับอันน่าทึ่งบางอย่างซ่อนอยู่ภายในภาพวาด?
เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนหันไปพิจารณาภาพวาดอย่างถี่ถ้วน
สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือรังสีโบร่ำโบราณที่แผ่ออกมาจากภาพวาดนั้นดูเหมือนของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลเวลาของประวัติศาสตร์มาอย่างโชกโชน เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนขึ้นอีก แต่ก็พบว่าภาพวาดนั้นดูจะหลอมรวมเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบกับทั้งเวลาและมิติของห้องโถง บดบังทัศนวิสัยของเขา
เป็นไปได้ว่านี่คือฉนวนที่จ้าวหย่ากำลังพยายามทำลาย
จางเซวียนยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากภาพวาดนั้นด้วย ดูราวกับว่าจิตใต้สำนึกของคนคนหนึ่งจะถูกดูดกลืนเข้าสู่ภาพวาดนั้นทันทีด้วยการมองเพียงแวบเดียว
“เป็นไปได้ไหมว่านี่คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง?” เสียงเซียนดาบชิงแว่วเข้าหู