Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1736
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1736
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1736 ฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ
ฟึ่บ!
ในที่สุด จางเซวียนก็หยุด
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เซียนดาบชิงเหมิงถามด้วยความอยากรู้
ทั้งสองรู้ว่าลูกชายของพวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลเจียงและมีลูกศิษย์เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ จึงแน่นอนว่าเขาย่อมมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของจิตวิญญาณเช่นกัน แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสำเร็จถึงขั้นไหน จึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ผลการทดลอง
“เอ่อ…” จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “โลกใบนี้เล็กเกินไป เส้นด้ายจิตวิญญาณของผมไปจนถึงสุดขอบโลกแล้ว”
แม้ที่นี่จะเป็นโลกที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นด้วยวิธีการอันไม่ธรรมดา แต่ลงท้ายมันก็เป็นแค่มิติลี้ลับ ไม่มีทางที่จะไร้ขอบเขตอย่างทวีปแห่งปรมาจารย์ ถึงอย่างไรโลกใบนี้ก็มีอัตราส่วนที่น้อยกว่าหนึ่งในล้านกิโลเมตร ซึ่งไม่ได้กว้างใหญ่พอที่จะเกินขีดจำกัดของจางเซวียน
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ หากเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เขาเทียบชั้นได้กับเหล่านักปราชญ์โบราณเลยทีเดียว!
แต่ก็แน่นอนว่าจางเซวียนเทียบชั้นกับเหล่านักปราชญ์โบราณได้ในแง่ของปริมาณเท่านั้น หากเป็นคุณภาพ เขาก็ยังอ่อนด้อยอยู่ อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ปกป้องตัวเองจากการโจมตีจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณได้เท่านั้น ยังมีพละกำลังไม่เพียงพอที่จะเข้าโจมตี
“ถึงโลกในภาพวาดจะมีขนาดเล็ก แต่การที่ลูกสามารถขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณไปจนถึงสุดขอบโลกก็บ่งบอกแล้วว่าลูกมีอาณาเขตของจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา ขอแค่ลูกยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณและฝึกฝนวรยุทธให้ถึงขั้น ก็จะก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้” เซียนดาบชิงตั้งข้อสังเกตด้วยความอัศจรรย์ใจ
ลูกชายของเขาช่างปราดเปรื่องเหนือชั้นจริงๆ
ขณะที่นักรบคนอื่นเพียรพยายามจะรักษาอาณาเขตของจิตวิญญาณไว้หลังจากที่พวกเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว แต่จางเซวียนกลับทำสำเร็จทั้งที่เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก
บางที ด่านคอขวดที่ขวางกั้นนักรบส่วนใหญ่ไม่ให้ก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้อาจเป็นเพียงปราการขนาดเล็กสำหรับเขา เหมือนกับวรยุทธขั้นอื่นๆที่ผ่านมา
“อันที่จริง การขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณนั้นไม่ได้ยากเกินไป ผมมีหนังสือเทคนิควรยุทธการฝึกฝนจิตวิญญาณที่ท่านพ่อกับท่านแม่สามารถใช้ฝึกฝนได้” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำหนังสือเล่มหนึ่งออกมา
ในฐานะผู้สำเร็จแก่นสารของจิตวิญญาณและได้รับการถ่ายทอดมรดกของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ จางเซวียนได้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ซึ่งหนังสือเทคนิคเกี่ยวกับการฝึกฝนจิตวิญญาณที่เขากำลังจะมอบให้เซียนดาบชิงนั้นก็ถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของสมาชิกตระกูลจาง และในเมื่อมันไม่มีความเชื่อมโยงกับมรดกตกทอดของตระกูลเจียง จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำความลับของตระกูลเจียงมาเปิดเผย
“เทคนิควรยุทธนี้มีประสิทธิภาพสูงมากในการขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณ ขอแค่เราขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ก็จะขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณไปเป็น 1 ล้านกิโลเมตรได้ภายในเวลาเดือนเดียว” เซียนดาบชิงตั้งข้อสังเกตด้วยความตื่นเต้นขณะพิจารณาหนังสือ
“ดีเลย ผมจะรอวันที่ท่านพ่อท่านแม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณนะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“พ่อดีใจที่ลูกให้ความใส่ใจเราทั้งคู่ แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก” เซียนดาบชิงส่ายหน้า “นอกจากเงื่อนไขหลักทั้ง 3 ประการแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากที่ส่งผลต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ อย่างเช่นความเข้าใจเรื่องวรยุทธ ความสามารถในการปรับตัวให้กลมกลืนกับโลก สภาวะจิต…ถึงอย่างไร การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณก็ไม่ใช่ภารกิจง่ายดาย ต่อให้เทคนิควรยุทธการฝึกฝนจิตวิญญาณของลูกจะทรงพลัง แต่ก็เพิ่มโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น!”
“แค่ 10 เปอร์เซ็นต์หรือ?” จางเซวียนชะงัก
“ใช่แล้ว การก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณหมายถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดพื้นฐานไปสู่ระดับที่สูงกว่า หากจะเปรียบเทียบ ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาคาร์ฟที่พยายามกระโจนข้ามประตูมังกร การที่สภาวะร่างกายของคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนั้นย่อมรวมถึงทางเดินพลังปราณด้วย ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายแน่…” เซียนดาบชิงอธิบาย
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็พลันรู้สึกว่าโลกรอบตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระแสพลังจิตวิญญาณพวยพุ่งเข้าสู่ทิศทางหนึ่ง
จากนั้น พลังงานหนักหน่วงก็ระเบิดขึ้นสู่สวรรค์ แบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน
“นี่…ใครบางคนฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จแล้วหรือ?” เซียนดาบชิงนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ
เขารู้สึกเหมือนศีรษะจะระเบิด เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งพูดว่าการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นเป็นเรื่องยากแสนยาก
แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร?
เซียนดาบชิงหันขวับไปมองที่ใจกลางพลังงานวน และเห็นกระบี่ที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวเล่มหนึ่งลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ กำลังกลืนกินพลังจิตวิญญาณและนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อบอวลอยู่ในอากาศอย่างตะกละตะกราม พละกำลังของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ราวกับแม่น้ำของพลังจิตวิญญาณกำลังเติมเต็มมหาสมุทร กระแสพลังงานนั้นรวดเร็วเสียจนทำให้กระบี่สั่นสะท้านไม่หยุด
“นั่น…อาวุธของลูกหรือ?” เซียนดาบชิงกลืนน้ำลาย
จางเซวียนที่กำลังจังงังพยักหน้ารับ เขาเองก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่กำลังฝ่าด่านวรยุทธในตอนนี้คือกระบี่เปลวเพลิงสีดำ
เขาไม่ได้เก็บมันเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติหลังจากที่เล่นงานเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 คนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้ว มันจึงติดตามเขามายังผืนผ้าใบสี่ฤดูด้วย
ตอนแรก กระบี่เปลวเพลิงสีดำเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ และได้ดื่มเลือดและสูบจิตวิญญาณของพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่า 110,000 ตัว มันสะสมพลังงานไว้มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธแล้ว แต่ยังขาดตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นสุดท้าย นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในภาพวาดดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มันยังขาดอยู่ สุดท้ายมันจึงยกระดับวรยุทธของตัวเองเข้าสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ
ฟิ้ววววว!
พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลพวยพุ่งเข้าสู่พื้นที่ราวกับพายุเฮอริเคน ทำให้พื้นดินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ขณะที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำซึมซับพลังจิตวิญญาณจากภาพวาดอย่างดุเดือด พื้นที่โดยรอบก็ดูเหมือนจะค่อยๆสลายตัว
“พลังจิตวิญญาณในบริเวณนี้ไม่เพียงพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พ่อเกรงว่าโลกในภาพวาดจะถูกทำลาย” เซียนดาบชิงหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง
โดยทั่วไป เมื่อนักรบคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ พวกเขาจะจัดเตรียมทรัพยากรขั้นสูงสุดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ เพื่อที่จะได้ไม่ขาดแคลนพลังงานกะทันหันในระหว่างกระบวนการ
แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำเป็นเพียงอาวุธ จึงแน่นอนว่ามันย่อมไม่ได้จัดเตรียมสิ่งเหล่านั้น จางเซวียนเองก็นึกไม่ถึงว่ามันจะฝ่าด่านวรยุทธได้ตอนนี้ จึงไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าเช่นกัน
หากพวกเขาอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็ยังคงมีพลังจิตวิญญาณอยู่ในอากาศมากพอที่จะรักษาระดับการฝ่าด่านวรยุทธไว้ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในภาพวาด ในเมื่อรากฐานไม่มั่นคงตั้งแต่แรกแล้ว มิติที่อยู่โดยรอบก็พร้อมจะแตกสลายได้ทันทีที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ภาพวาดทั้งหมดจะต้องถูกทำลายแน่
กว่าเขาจะได้พบนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่จำเป็นต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คงเป็นความสูญเปล่าอย่างใหญ่หลวงหากภาพวาดต้องมาถูกทำลายแบบนี้
“กระบี่เปลวเพลิงสีดำ ซึมซับสิ่งนี้!”
รู้ดีว่าไม่มีเวลาจะเสีย จางเซวียนกระดิกนิ้ว
ฟิ้วววว!
เลือดหยดหนึ่งที่มีพลังงานเข้มข้นลอยตรงเข้าหากระบี่เปลวเพลิงสีดำ มันคือหยดเลือดของตาเฒ่าหยูเมื่อตอนที่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางได้เก็บหยดเลือดเหล่านี้ไว้และมอบให้จางเซวียน หากจะมีอะไรที่มีพลังจิตวิญญาณมากพอจะทำให้กระบี่เปลวเพลิงสีดำฝ่าด่านวรยุทธได้ ก็ย่อมเป็นสิ่งนี้
ทันทีที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำสัมผัสกับเลือด มันก็ซึมซับหยดเลือดเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในเลือดเพียงหยดเดียวจะยังไม่พอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของมัน
จางเซวียนจึงส่งเลือดไปหยดแล้วหยดเล่า ไม่ช้าเขาก็ใช้หยดเลือดห้าหยดของตาเฒ่าหยูไปจนหมด
เมื่อได้ซึมซับเลือดหยดที่ห้า กระบี่เปลวเพลิงสีดำจึงสงบลง รังสีไร้เทียมทานแผ่ออกจากร่างของมัน ราวกับว่ามันสามารถกรีดภาพวาดให้แยกเป็น 2 ส่วนได้ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียว
ฟึ่บ!
รอยแยกแห่งมิติปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่อยู่ในภาพวาด หมู่เมฆดำพวยพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
มันคือการทดสอบวรยุทธ การทดสอบนักปราชญ์โบราณ!
โดยทั่วไป เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่นักรบสักคนจะเรียกการทดสอบวรยุทธมาเมื่ออยู่ภายในมิติลี้ลับ แต่เพราะการทดสอบนักปราชญ์โบราณนั้นทรงพลังเสียจนแม้แต่โลกที่อยู่ในภาพวาดก็ไม่อาจยับยั้งมันได้
ฟิ้ววววว!
สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์พุ่งลงมาจากกลางอากาศและโอบล้อมกระบี่เปลวเพลิงสีดำไว้ กระบี่เปลวเพลิงสีดำรีบปล่อยพลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่จากหยดเลือดของตาเฒ่าหยูเข้าเล่นงานพละกำลังจากการทดสอบวรยุทธอย่างรวดเร็ว ทำให้มันซึมซับพลังงานได้อย่างปลอดภัย สีแดงก่ำค่อยๆปรากฏขึ้นบนคมกระบี่
ด้วยการบ่มเพาะจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ กระบี่เปลวเพลิงสีดำดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่มองมันแวบเดียว ก็มากพอที่จะทำให้จิตใจของผู้พบเห็นสั่นคลอน
ฟึ่บ!
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆดำเริ่มสลายตัว เหลือไว้แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำที่ลอยอย่างเงียบๆกลางอากาศ ด้วยการตวัดเบาๆ มิติที่อยู่ในภาพวาดก็แยกออกเป็น 2 ส่วนอย่างง่ายดายราวกับเต้าหู้
“ผมสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!” กระบี่เปลวเพลิงสีดำหัวเราะลั่น จากนั้นก็หันมามองจางเซวียนและทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น “ขอบคุณมาก นายท่าน!”