Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1757
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1757
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1757 หอลำดับแรกปรากฏ
หลัวลั่วชิงจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศและพูดว่า “ความพยายามของเขาจะไม่สูญเปล่าหรอก คุณไม่รู้สึกหรือว่าหยวนเทาจงใจกดข่มวรยุทธของเขาไว้เพื่อไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?”
“เขาจงใจกดข่มวรยุทธ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “เป็นความจริงที่ว่าความพยายามในการฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 จะยากขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ นักรบส่วนใหญ่จึงตั้งมั่นที่จะทำให้สำเร็จในครั้งแรก แต่สิ่งนี้มีไว้สำหรับนักปราชญ์โบราณที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้น”
“การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณอาจเรียกได้ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้พละกำลังปะทะกับสวรรค์เพื่อจะได้ยกระดับตัวเองให้เทียบเท่ากับสวรรค์ ผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในครั้งแรกอาจปฏิบัติภารกิจข้อนี้ได้เช่นกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ความแข็งแกร่งที่พวกเขาได้รับจากสวรรค์ก็มีจำกัด ความพยายามใดๆก็ตามที่จะต่อต้านสวรรค์ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้บ่มเพาะพละกำลังของผู้นั้น รวมทั้งขัดเกลาการใช้พลังงานด้วย ความพยายามครั้งที่ 2 ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณอาจยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่ถ้าทำได้ การจะผลักดันวรยุทธให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคตก็ง่ายขึ้นมาก”
“แบบนี้ก็เหมือนกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงในการฝ่าด่านวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม เป็นบททดสอบรูปแบบหนึ่งเช่นกันใช่หรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม
มีการทดสอบสถาปนาเซียนเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่นักรบระดับเซียน เช่นเดียวกันกับกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงเพื่อให้สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ วิธีการเหล่านี้อาจทำให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ยากกว่า แต่ผู้ที่ทำสำเร็จก็จะมีพละกำลังสูงกว่านักรบรุ่นเดียวกัน แล้วการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณจะเป็นไปในทำนองนี้หรือเปล่า?
หลัวลั่วชิงเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะเหม่อมองไปไกลแสนไกล “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณก็เหมือนกับการฝ่าคลื่นขนาดใหญ่ที่ชำระล้างทรายออกจากร่างกายของนักรบผู้นั้น ยิ่งได้เผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ พลังปราณของเขาก็จะเข้มข้นและได้รับการขัดเกลามากกว่าเดิม”
“ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธ ปรมาจารย์ขงยับยั้งตัวเองไว้ถึง 3 ครั้งเมื่อตอนที่ใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ เมื่อถึงครั้งที่ 4 เขาจึงปล่อยมัน สิ่งนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์ของโลก เป็นผู้ที่ไม่มีใครในโลกเทียบชั้นได้”
“แม้จะดูเหมือนว่าหยวนเทาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณไม่สำเร็จ แต่ในครั้งแรกนี้ กายเนื้อของเขาก็ได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณแล้ว พูดอีกอย่างก็คือเขามีร่างกายของนักปราชญ์โบราณ แม้จะยังไม่ใช่นักปราชญ์โบราณที่แท้จริง แต่พละกำลังที่เขาครอบครองก็มากพอที่จะรับมือกับผู้ที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณมือใหม่”
“เอ่อ…” จางเซวียนถึงกับชะงัก
ดูน่าประทับใจไม่น้อยที่หยวนเทามีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณมือใหม่แม้จะมีวรยุทธแค่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และปรมาจารย์ขงก็ยับยั้งตัวเองไว้ถึง 3 ครั้งก่อนจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ปรมาจารย์ขงจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
ไม่มีนักรบคนไหนในโลกที่ไม่ปรารถนาจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและกลายเป็นผู้ที่สูงตระหง่านจนเทียบเท่ากับสวรรค์ แต่ปรมาจารย์ขงก็เอาชนะความปรารถนานั้นได้และระงับตัวเองไว้ก่อนจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ในที่สุด เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าสภาวะจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดา
ไม่น่าสงสัยเลยที่ปรมาจารย์ขงสามารถนำพามวลมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจางเซวียนจะไม่ได้มีความยำเกรงในตัวปรมาจารย์ขงเหมือนกับคนทั่วไปในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ต้องบอกว่าเขาเคารพอีกฝ่าย
จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน คงมีนักรบไม่กี่คนหรอกที่รู้ความลับข้อนี้ ใช่ไหม? แล้วทำไมหยวนเทาถึงทำแบบนั้น?”
เป็นไปได้ว่าต่อให้ปรมาจารย์หยางหรือเซียนดาบชิงกับคนอื่นๆก็น่าจะไม่รู้ความจริงข้อนี้ แต่เพราะจางเซวียนรู้ดีว่าหลัวลั่วชิงน่าจะมาจากกลุ่มอำนาจที่มีพละกำลังมาก จึงไม่น่าประหลาดใจนักที่เธอจะรู้เรื่องดังกล่าว แต่หยวนเทาติดตามเขามาตั้งแต่อาณาจักรเทียนเซวียน แล้วรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
ความปรารถนาที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยาย หากผู้นั้นมีความรอบรู้ไม่มากพอ ก็ไม่น่าจะยอมเสี่ยงกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธเพียงครั้งเดียวของเขา
“หยวนเทาได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขง ความเข้าใจเรื่องวรยุทธของเขาจึงเหนือชั้นกว่าแม้แต่กับ 72 นักปราชญ์” หลัวลั่วชิงอธิบาย “เพียงแต่การซึมซับภาพลวงตานั้นจะทำให้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปรมาจารย์ขง ซึ่งนั่นจะส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าของคุณ ไม่อย่างนั้นฉันคงให้คุณซึมซับภาพลวงตานั้นแทนแล้ว”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ “ส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าของผม?”
เขารู้ตัวดีว่าหากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ คงแทบไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเขาอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ยังมีอะไรที่ต้องกังวล?
“คุณเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานเช่นกัน และถูกลิขิตมาให้เดินในเส้นทางที่แตกต่างจากปรมาจารย์ขง หากคุณพยายามเดินตามรอยเขา สิ่งที่คุณจะได้เป็นก็คือ 72 นักปราชญ์อีกคนหนึ่งเท่านั้น จะไม่มีวันเหนือชั้นไปกว่าเขาได้เลย” หลัวลั่วชิงตอบ
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
การจะเหนือกว่าเหล่าบรรพบุรุษได้นั้น อย่างแรกจะต้องค้นหาเส้นทางของตัวเองให้เจอเสียก่อน
หากนักรบคนหนึ่งทำได้แค่เดินตามรอยเท้าของเหล่าบรรพบุรุษ ในที่สุดทุกอย่างก็จะเดินไปสู่การชะงักงัน
ยกตัวอย่าง 72 นักปราชญ์, แต่ละคนมีความปราดเปรื่องอย่างน่าอัศจรรย์และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงชีวิตของพวกเขา แม้จะพูดได้ว่าปรมาจารย์ขงคือผู้ที่นำพาพวกเขาไปสู่ความสูงส่งระดับนั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าปรมาจารย์ขงเป็นข้อจำกัดของพวกเขาเช่นกัน ทุกคนถูกมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงตีกรอบไว้จนไม่อาจค้นหาเส้นทางของตัวเองและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้
อันที่จริง นี่คือเหตุผลที่เหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่สามารถถีบตัวจนเหนือชั้นไปกว่าผู้ก่อตั้งของพวกเขา
ในเวลาเดียวกัน การละทิ้งมรดกตกทอดและพยายามค้นหาเส้นทางของตัวเองนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของคนเสียสติ มีแต่มรดกตกทอดเท่านั้นที่จะรับประกันความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งการละทิ้งมันอาจทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องล้มเหลว
ถึงที่สุดแล้ว การจะนำพาตัวเองให้เหนือชั้นไปกว่าเหล่าบรรพบุรุษก็เป็นสิ่งที่พูดง่ายกว่ากระทำมาก
การเดินตามเส้นทางที่เห็นได้ชัดว่าจะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ หรือละทิ้งทุกอย่างไว้และต่อสู้ดิ้นรนเพื่อโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง…
ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดสำหรับคำถามข้อนี้ มันเป็นทางเลือกที่นักรบคนหนึ่งจะต้องตัดสินใจ
ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด รังสีเจิดจ้าก็แผดกล้าออกจากแท่นที่อยู่เหนือศีรษะของเขา รังสีนั้นพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้นจางเซวียนก็เห็นลำแสงอีก 5 ลำพุ่งจากที่ไกลๆ พลังงานมหาศาลพุ่งทะลุ ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม รอยแยกของมิติสีดำสนิทค่อยๆขยายตัวออกจนดูเหมือนมีลำแสง 6 ลำ
ถัดจากรอยแยกของมิติสีดำสนิทนั้น โครงร่างของพระราชวังขนาดมหึมาปรากฏให้เห็น
“นะ…นี่ นี่มันหอลำดับแรก! ในที่สุดหอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อก็ปรากฏ!” เหรินชิงหยวนอุทานอย่างตื่นเต้น
ที่ผ่านมา ทุกคนได้พบหอบริวารทั้ง 6 หอ แต่ไม่มีใครได้พบหอลำดับแรกเลย ซึ่งเมื่อหอบริวารทั้ง 6 หอถูกเปิดใช้งาน พลังงานที่พวกมันแผ่ออกมาก็ได้ทำลายปราการด่านสุดท้ายของวิหารแห่งขงจื๊อ ทำให้หอลำดับแรกปรากฏ
เครื่องรางในตำนานที่กล่าวได้ว่ามีอำนาจชี้ชะตาของทวีปแห่งปรมาจารย์อยู่ในพระราชวังขนาดมหึมาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา-มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง!
“ไปกันเถอะ!”
เหยียนเฉว่มองหอลำดับแรกที่อยู่กลางอากาศ ก่อนจะหันกลับไปมองหยวนเทากับจางเซวียน แม้จะไม่เต็มใจอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้ จึงร้องเรียกพรรคพวกจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ให้ตามเขาไปก่อนจะพุ่งเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ
เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็รีบเดินทางเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติเช่นกัน
เห็นปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆยังตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น จางเซวียนพูดยิ้มๆ “คุณไปก่อนเลย”
เพราะรู้ว่ายังพอมีเวลาก่อนที่ทางเข้าวิหารลำดับแรกจะเปิด จางเซวียนจึงไม่รีบร้อนอะไร เขาหันกลับไปมองหยวนเทาอีกครั้ง
ตอนนี้ลูกศิษย์ของเขาขัดเกลาระดับวรยุทธเรียบร้อยแล้ว และการทดสอบนักปราชญ์โบราณก็ล่าถอยแล้วเช่นกัน
“ท่านอาจารย์!”
หยวนเทาลืมตา รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น หยวนเทาเดินตรงเข้าหาจางเซวียนและทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้า
ในตอนแรก ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ของหยวนเทาถูกปิดกั้นไว้ แต่การปิดกั้นนั้นก็ถูกทำลายทันทีที่เขารับเอาภาพลวงตาเข้าสู่ร่างกาย หยวนเทารู้ดีว่าทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความช่วยเหลือจนเขามีพละกำลังในระดับที่เป็นอยู่
“อือ!”จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
นี่เป็นความโชคดีครั้งใหญ่ของหยวนเทา การได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงและฝ่าด่านวรยุทธได้หลายขั้นในคราวเดียว เวลานี้ หยวนเทาเหนือชั้นกว่าจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และแม้แต่จางเซวียนแล้ว
“ถึงคุณจะได้ครอบครองกายเนื้อของนักปราชญ์โบราณ แต่สภาวะจิตและจิตวิญญาณของคุณยังอ่อนด้อยอยู่ ผมมีเทคนิควรยุทธและผลโพธิ์ที่จะทำประโยชน์ให้คุณได้มาก” จางเซวียนพูดขณะยื่นผลโพธิ์ให้หยวนเทา
แม้หยวนเทาจะได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขง แต่ก็ยังต้องบ่มเพาะสภาวะจิตทุกเมื่อที่มีโอกาส
“ได้!” หยวนเทารับผลโพธิ์มาแล้วรีบกลืนลงไป พริบตาต่อมา ก็รู้สึกว่าสภาวะจิตได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว
หากเป็นจ้าวหย่าหรือเว่ยหรูเหยียน ทั้งคู่ก็ยังต้องเตรียมตัวและปรับสภาวะร่างกายก่อนจะกินผลโพธิ์เข้าไป แต่เพราะมีกายเนื้อของนักปราชญ์โบราณแล้ว หยวนเทาจึงไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น
หลังจากจัดการเรื่องหยวนเทา จางเซวียนก็นำตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน หลัวฉีฉี และคนอื่นๆออกจากรังนางพญามด
“หอลำดับแรกเปิดแล้ว พวกคุณอยากติดตามผมไปเพื่อแสวงโชค หรือฝึกฝนวรยุทธต่อที่นี่?”
นี่เป็นครั้งแรกที่หอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออกในช่วงระยะเวลาหลายหมื่นปี และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยทั้งความเสี่ยงและโอกาส ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ของคนเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าควรจะปล่อยให้ทุกคนได้ตัดสินใจเอง
“ฉันอยากเห็นหอลำดับแรก!” จ้าวหย่าตอบหนักแน่น
“ฉันด้วย”
อีก 2 คนพยักหน้ารับ
หลัวลั่วชิงชำเลืองมองเมื่อเห็นหลัวฉีฉีออกจากรังนางพญามดของจางเซวียน เกิดรอยย่นเล็กน้อยบนหน้าผากของเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร