Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1770
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1770
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1770 สมบัติล้ำค่าสูงสุด
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้นถึง 29.99 อีกเพียงนิดเดียวก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้ว
เขาวางแผนไว้ว่าจะหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธใต้ต้นโพธิ์เพื่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยเร็ว แต่ใครจะไปคิดว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาจะแตะ 30.0 ขณะที่อ่านหนังสือพวกนี้?
30.1!
30.2!
30.3!
…..
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนกระโดดขึ้นจนถึง 31.9 ก่อนจะหยุดลง
ภายในระยะเวลาอันสั้น ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.0
ด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ จางเซวียนรู้สึกราวกับมีพายุพัดเกรี้ยวกราดอยู่ในหัวสมอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นไอ้บ้านนอกเซ่อซ่าที่เพิ่งเข้าสู่เมืองใหญ่อันสวยงามเจิดจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้เห็นสีแดงและสีเขียวอันงดงาม อีกทั้งการร่ายรำและบทเพลงอันตื่นตาตื่นใจ ราวกับว่าเขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโลกซึ่งตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อน
เทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่จางเซวียนไม่เคยทำความเข้าใจมันได้สำเร็จกลับเข้ามาเติมเต็มในหัวสมองของเขาและประสานกันได้อย่างลงตัว ราวกับว่าจิ๊กซอว์ที่เคยทำให้เขางุนงงมานานกลับกลายเป็นสิ่งที่ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น
ไม่เพียงเท่านั้น จางเซวียนยังรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงการมีอยู่ของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณในบริเวณโดยรอบ ซึ่งหากเขาต้องการ ก็แทบจะแตะต้องมันและใช้มันบ่มเพาะร่างกายของเขาได้ เพิ่มระดับขั้นของตัวเขาให้สูงขึ้นอีก
ด้วยความสามารถนี้ โอกาสที่เขาจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!
“ไม่แปลกใจแล้วที่พวกเขาพูดกันว่ามีแต่ผู้ที่ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณจนแตะ 30.0 ได้เท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ…” จางเซวียนพยักหน้า
ก่อนหน้านี้ ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาเคยบอกเงื่อนไขหลายประการที่จำเป็นสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ซึ่งเงื่อนไขข้อหนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากก็คือระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ และเท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
หากจะเปรียบเทียบด่านคอขวดของการก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเป็นประตูที่ปิดตาย การที่ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณพุ่งขึ้นแตะ 30.0 ก็เทียบเท่ากับการสร้างรอยแตกบนบานประตูที่ปิดตายนั้น ขอแค่สั่งสมพลังงานให้ได้มากพอ ก็สามารถเปิดประตูออกไปเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพอันงดงามที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้
พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เมื่อมีหยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่เขาได้สะสมไว้เข้ามาร่วมด้วย จางเซวียนก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ในทันที
ด้วยสิ่งนี้…แรงกดดันจากนักปราชญ์โบราณจะทำอะไรเราไม่ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถ ปลอมตัวให้ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณได้ด้วย! จางเซวียนคิดขณะยิ้มกริ่ม
ความคิดของเขาไหลลื่นว่องไวกว่าเดิม อีกทั้งหัวสมองก็แจ่มใส อารมณ์ด้านลบต่างๆที่เขาเคยแบกรับไว้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
“ไปต่อ!”
จางเซวียนสูดหายใจลึกและดำเนินการถ่ายโอนหนังสือที่อยู่รอบตัวเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นภูมิปัญญา
ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงยอดเขา
บนยอดเขานั้นไม่มีอะไรพิเศษนอกจากแท่นหินแท่นหนึ่ง เขาเดินเข้าไปแล้วทาบฝ่ามือลงบนนั้น
ฟึ่บ!
เป็นอีกครั้งที่จางเซวียนถูกลำแสงเจิดจ้ากลืนกิน เขาหายวับไป
เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ภูเขาหนังสือก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย จางเซวียนพบตัวเองนอนอยู่บนใบไม้ใบหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางมหาสมุทรกว้างใหญ่
ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก เขาลุกขึ้นนั่งและสำรวจโดยรอบ ท้องฟ้าสีฟ้าดูจะหลอมรวมเข้ากับน้ำในมหาสมุทร ทำให้ขอบฟ้าออกจะพร่าเลือนไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ดูเหมือนจะไม่เห็นฝั่ง
สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนสงสัยมาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด
“เส้นทางของภูเขาหนังสือมีกุญแจเป็นความขยันหมั่นเพียร แหวกว่ายผ่านมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้ด้วยความเพียรแรงกล้า” จางเซวียนรำพึง
แทนที่จะรู้สึกปั่นป่วนหรือตื่นตระหนก เขากลับเกิดภูมิปัญญาขึ้นมา “นี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่ามหาสมุทรแห่งการเรียนรู้…”
ก่อนหน้านี้ก็มีภูเขาหนังสือ และด้วยการศึกษาหนังสือเท่านั้นที่จะนำไปสู่จุดสิ้นสุด ดูเหมือนหลักการนี้จะใช้กับมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้เช่นกัน หากเขาไม่เรียนรู้ ใบไม้ก็จะไม่เคลื่อนไหว และตัวเขาก็จะไม่มีวันเข้าถึงฝั่ง
สายลมแห่งมหาสมุทรพัดโชยอ่อน ก่อเกิดเป็นเสียงที่ไพเราะราวกับวงดนตรีกำลังบรรเลง
ผิวหน้าของผืนน้ำไหวกระเพื่อมราวกับภาพวาดสีฟ้าอันงดงาม ภายใต้ผืนน้ำ จางเซวียนเห็นฝูงปลามากมายนับไม่ถ้วนว่ายวนอย่างเป็นระเบียบ ดูเหมือนพวกมันกำลังสร้างค่ายกลบางอย่าง
เมื่อจับจ้องฝูงปลา จางเซวียนพบว่าสมาธิของเขาค่อยๆดำดิ่งเข้าสู่ค่ายกลนั้น
ด้วยสองตาอันเฉียบคม ทุกอย่างในโลกสามารถก่อเกิดเป็นภูมิปัญญาได้ การได้เฝ้ามองความยิ่งใหญ่ของโลก, การเคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรีของฝูงปลาในมหาสมุทรดูจะชี้นำภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่หลอมรวมเข้ากับสิ่งที่เขาได้ศึกษาจากภูเขาหนังสือก่อนหน้านี้
ใบไม้กระเพื่อมเล็กน้อย หัวใจของจางเซวียนค่อยๆสงบลง
ภูมิปัญญาทุกรูปแบบพุ่งเข้าสู่หัวสมองของเขา จางเซวียนซึมซับเอาความรู้เหล่านั้นไว้ทั้งหมดราวกับฟองน้ำที่แห้งผาก
ครู่ต่อมา ร่างของเขาก็กระตุก จางเซวียนลุกขึ้นยืน
จิตรกร มือบรรเลงบทเพลงปีศาจ ช่างตีเหล็ก นักฝึกอสูร ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ นายแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล…ความรู้ทุกรูปแบบที่เขาได้เรียนรู้จากวิชาชีพเหล่านั้นถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างไร้ที่ติ เข้าถึงระดับ 9 ดาว
ในเวลานั้น จางเซวียนเข้าถึงเงื่อนไขของวิชาชีพรองรับระดับ 9 ดาว ทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวของแท้
อันที่จริง ในแง่ของความเข้าใจในวิชาชีพเหล่านี้ จางเซวียนอาจเทียบชั้นได้กับปรมาจารย์ขงเลยทีเดียว ห่างไกลกับอัจฉริยะที่มีอยู่ดาษดื่นในสมาคมวิชาชีพเหล่านั้น
แม้จะมีข้อมูลความรู้มากมายมหาศาล แต่หัวสมองของเขาก็ไม่สับสน มันกลับใสกระจ่างและแจ่มชัดขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งที่จางเซวียนเรียนรู้ได้สร้างสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ก่อเกิดเป็นเครือข่ายของข้อมูลความรู้ที่ชัดเจน
ฟึ่บ!
จางเซวียนตั้งต้นศึกษาวิชาชีพอื่นๆต่อไป และขณะที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเข้าใจทุกอย่าง ลำแสงหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเจิดจ้า
เมื่อจางเซวียนรู้สึกตัว ก็พบว่าเขากลับมายังทางเดินแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองหายไปอย่างน้อยก็ 10 วัน แต่จิตใต้สำนึกบอกว่ามันเพิ่งผ่านไปแค่ 1 หรือ 2 นาทีเท่านั้น
ความเหลื่อมล้ำของเวลาระหว่างจิตใต้สำนึกกับประสบการณ์ที่ได้รับทำให้จางเซวียนออกจะเวียนหัวเล็กน้อย เพราะหัวสมองของเขาพยายามดิ้นรนทำความเข้าใจเรื่องแปลกประหลาดนี้
ราวกับเขาเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนกระจ่างชัด
จางเซวียนหันไปมองรอบตัวอีกครั้ง และเห็นหลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างของทั้งสามสั่นสะท้าน ราวกับต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล แม้นัยน์ตาของพวกเขาจะเบิกโพลง แต่ก็เห็นชัดว่าทุกคนต่างไร้สติ
“ลั่วชิงล่ะ?” จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความสงสัย
สำหรับ 6 คนที่ได้เข้ามา จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไม่ผ่านบททดสอบและถูกส่งทะลุมิติออกไป ส่วนหลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนยังคงอยู่ระหว่างการทดสอบ แต่เพราะอะไรสักอย่าง หลัวลั่วชิงกลับไม่ปรากฏตัว
หรือว่า…เธอไม่ผ่านการทดสอบและถูกส่งทะลุมิติออกไปเช่นกัน?
ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงของปรมาจารย์ขงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “คุณผ่านการทดสอบแล้ว เดินไปจนสุดทางเดินนะ แล้วจะพบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ถ้าคุณซึมซับมันได้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของผม”
ได้ยินเสียงนั้น จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าไปยังปลายสุดของทางเดิน “ระหว่างนี้ เราควรจะครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป…”
เพราะได้รับการบ่มเพาะจากภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนจึงเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณ แรงกดดันที่แผ่ซ่านอยู่บริเวณทางเดินทำอะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป
ไม่ช้า เขาก็มาถึงปลายสุดของทางเดินนั้น
ไม่ต่างกับบริเวณทางเข้าหอลำดับแรกและหอบริวาร มีปราการล่องหนป้องกันไม่ให้นักรบที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน
จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำเครื่องรางน้อยออกมาวางที่ปราการ ปราการนั้นค่อยๆสลายตัวไป เขารุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว
ห้องโถงงดงามโอ่อ่าปรากฏให้เห็นตรงหน้า ที่ใจกลางห้องมีแท่นหินอ่อนที่มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ด้านบน มันแผ่รังสีเจิดจ้าออกมา
มีตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้ในรูปแบบของอักษรโบราณอยู่บนปกหนังสือเล่มนั้น-ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง กาลเวลาดูเหมือนจะไหลผ่านหนังสือ ทำให้ดูราวกับเป็นของล้ำค่าที่อยู่เหนือทั้งอดีตและอนาคต เป็นของล้ำค่าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
“นี่คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง!” จางเซวียนตาโตพร้อมกับกำหมัดแน่น
เขากำลังจะเดินเข้าไปหาหนังสือ ก็พอดีกับที่ร่างหนึ่งปรากฏ มือนั้นเอื้อมไปแตะหนังสือซึ่งอยู่บนแท่นหินอ่อนและพลิกมัน
เมื่อเห็นร่างนั้นเต็มตา จางเซวียนถึงกับตัวแข็ง “ลั่วชิง…”