Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1819
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1819
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1819 ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือยอมเป็นอสูรของผม
ร่างที่แท้จริงของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคือปีศาจยักษ์เปลวเพลิง เพราะใช้ลาวาบ่มเพาะร่างกาย มันจึงสามารถฝ่าด่านคอขวดจนกลายเป็นนักปราชญ์โบราณ
ด้วยเหตุนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การปรากฏตัวของมันจะส่งผลให้เกิดความร้อนแผดเผาไปทั่วทั้งบริเวณ
หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เหงื่อก็หยดจากหน้าผากของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงและไหลเป็นทาง
ในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ร่างกายของเขามีความเย็นยะเยือกโดยธรรมชาติ ความร้อนแสนสาหัสคือศัตรูตัวฉกาจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว จิตวิญญาณของเขาคงหลุดลอยออกจากร่างแน่
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงลอบมองท่านประธาน และอดไม่ได้ที่จะประทับใจอย่างล้ำลึก
อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความร้อนแผดเผานั้นเลย นอกจากจะไม่มีแม้เหงื่อสักหยด จิตวิญญาณของอีกฝ่ายก็ยังมั่นคง ไม่แสดงอาการปั่นป่วนจากความร้อนเลยสักนิด
ในตอนนี้ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงระดับความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของอีกฝ่ายที่เต็มร้อยอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อไม่อาจทนความอยากรู้ไว้ได้อีก เขาส่งโทรจิตพลังปราณถามจางเซวียน “ท่านประธาน จิตวิญญาณของคุณ…ไม่หวาดกลัวความร้อนเลยหรือ?”
“ครั้งหนึ่งจิตวิญญาณของผมก็เคยกลัวความร้อน” จางเซวียนตอบ “แต่หลังจากได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ ความร้อนระดับนี้ก็ทำอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว”
“ได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์? เดี๋ยวก่อน…คุณนำจิตวิญญาณของคุณไปเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?” นัยน์ตาของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงแทบทะลุออกจากเบ้า
“ก็นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติน่ะต้องเผชิญกับการทดสอบเลยเปลวเพลิงสวรรค์ไม่ใช่หรือ? คุณไม่ได้ใช้เปลวเพลิงสวรรค์จากการทดสอบวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณของคุณหรือไง?” จางเซวียนย้อนถามด้วยความสงสัย
เรื่องนี้ไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมอีกฝ่ายต้องทำท่าแบบนั้น?
“เอ่อ…นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์หลังจากได้ยินสิ่งที่จางเซวียนพูด เขาอธิบายช้าๆ “สิ่งที่คุณพูดน่ะเป็นวิถีทางตามปกติของนักรบทั่วไป แต่สำหรับพวกเรา, ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ สิ่งที่เรามักจะทำคือใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณต้านทานเปลวเพลิงสวรรค์แทนตัวเรา”
“แบบนี้ก็ได้หรือ?” จางเซวียนถึงกับงง
“มันเป็นอย่างนี้…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งต้นอธิบายกระบวนการทั้งหมดให้จางเซวียนฟัง
ด้วยธรรมชาติอันเย็นเยือกของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ โอกาสที่พวกเขาจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านหากเข้าท้าทายเปลวเพลิงสวรรค์ก็มีสูง ดังนั้นเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่สำเร็จวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้วจึงมักจะใช้การทำสัญญากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แล้วปรับเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณของพวกเขา
ซึ่งผู้ที่ทำสัญญากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะได้รับการเก็บรักษาจิตวิญญาณไว้ เมื่อการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาถึง กายเนื้อของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะถูกใช้เป็นด่านหน้า โดยเปลวเพลิงสวรรค์จะพุ่งตรงเข้าโจมตีพวกเขา หลังจากนั้น ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะใช้การครอบครองจิตวิญญาณเพื่อเข้าแทนที่
และนั่นคือวิธีการที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณใช้เอาชนะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติได้ แม้พวกเขาจะแสนหวาดผวากับความร้อน
ถึงจะฟังดูโหดเหี้ยมไร้หัวใจ แต่ก็ส่งผลดีมากสำหรับความอยู่รอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ มันคือสิ่งที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้มาหลังจากแทรกซึมเข้าไปในเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
เคล็ดวิชาที่จางเซวียนได้รับการถ่ายทอดมาคือบางสิ่งที่ลู่ชงนำมาจากอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรับรู้วิธีการนี้มาก่อน
เกรงว่าท่านประธานจะเข้าใจผิด นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเสริม “ผมเข้าใจดีว่าวิธีการแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับและเหี้ยมโหด เราจึงมักจะใช้ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ”
“ผมเข้าใจ…วิธีการแบบนี้อันตรายน้อยกว่า แต่การใช้จิตวิญญาณของนักรบขั้นการพักฟื้นภายในครอบครองกายเนื้อของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรตินั้นจัดว่าอันตรายมาก เอาเถอะ ผมจะถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้คุณ ในอนาคต, ขอแค่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนตามนี้ พวกเขาก็จะก้าวข้ามจุดอ่อนที่มีต่อเปลวเพลิง สายฟ้า และพลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังหยางได้!”
จางเซวียนกระดิกนิ้วและส่งเทคนิควรยุทธชุดหนึ่งให้นักปราชญ์โบราณโม่หลิง มันคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าฉบับขัดเกลาแล้วที่ลู่ชงก็กำลังฝึกฝนอยู่
ในเมื่อเขาคือประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และอาชีพนี้ก็เต็มใจเสียสละตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจึงยิ่งกว่าคู่ควรที่จะได้รับเทคนิควรยุทธนี้จากเขา
“เทคนิควรยุทธ?”
ในตอนแรก นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจางเซวียน แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ถึงกับกระตุกด้วยความตกตะลึง จิตวิญญาณของเขาปั่นป่วนด้วยความรู้สึกแรงกล้า
ในฐานะนักปราชญ์โบราณที่ได้ศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณมาชั่วชีวิต แน่นอนว่าเขามีดวงตาอันเฉียบแหลมสำหรับการพิจารณาเทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เทคนิควรยุทธที่เขาได้รับการถ่ายทอดจากท่านประธานนั้นล้ำลึกอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่หากใครสักคนฝึกฝนตาม ก็จะสามารถเอาชนะการเสื่อมถอยทั้งห้าและเป็นอมตะ!
ในตอนนั้น เขานึกอยากโละวรยุทธเก่าของตัวเองทิ้งทั้งหมดเพื่อเริ่มต้นใหม่
ราวกับจะล่วงรู้ความคิดของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิควรยุทธอีกชุดหนึ่งให้ด้วยการเคาะนิ้ว “สายไปแล้วล่ะที่คุณจะเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธใหม่ แต่ผมได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งในเทคนิควรยุทธของคุณให้แล้ว นี่คือข้อเสนอแนะของผม”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบอ่านรายละเอียดทันที ยังไม่ทันที่จะรู้ตัว ร่างของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
ราวกับว่าอีกฝ่ายสำรวจร่างกายของเขาอย่างถี่ถ้วนและพบจุดอ่อนทั้งหมด ทุกคำในหนังสือเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าใส่ช่องโหว่ของเขา ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
เห็นได้ชัดว่าหากเขาฝึกฝนวรยุทธตามเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทอดมา ข้อบกพร่องทั้งหมดของเขาจะถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว เขาอาจทำได้แม้กระทั่งการฝ่าด่านวรยุทธในเร็วๆนี้
ถึงจะเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เขาก็มองทะลุจุดอ่อนทั้งหมดของเราและหาวิธีแก้ไขได้ นี่มันช่าง…
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งด้วยความอัศจรรย์ใจสุดๆ
เขารู้แล้วว่าท่านประธานคนใหม่ไม่ธรรมดาจากการได้พูดคุยกับเจียงฟังโหย่ว แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเหนือชั้นขนาดนี้
ทุกอย่างล้วนแต่เหนือความคาดหมายของเขา
ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงยังคงตกตะลึง เสียงดังสนั่นราวกับพายุก็ดังก้องขึ้นในหู “นักปราชญ์โบราณโม่หลิง ผมเชื่อคำพูดของคุณได้หรือเปล่า?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเงยหน้า และเห็นอสูรตัวหนึ่งที่มีความยาว 10 เมตรลอยตัวอยู่เหนือแอ่งลาวาขนาดใหญ่ มีหลุมบ่อของลาวามากมายอยู่บนผิวหนังสีทองของมัน มันกำลังแผ่รังสีอันน่าสะพรึงออกมา ในแง่ของพละกำลัง น่าจะเทียบชั้นได้แม้แต่กับอำมาตย์เฉินหลิงในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด
ไม่น่าแปลกใจที่มันสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์อสูรให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อรับมือกับอำมาตย์เฉินหย่งได้!
“ยินดีที่ได้พบคุณ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง” เมื่อรับรู้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายแล้ว นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเลือกที่จะถ่อมเนื้อถ่อมตัว เขาค้อมตัวลงและประสานมืออย่างนอบน้อม “เรื่องนี้เป็นความประสงค์โดยตรงของท่านประธานสมาคมของเรา ผมแค่ทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น”
เขาไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานถึงเลือกทำแบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยังสงสัยอยู่ แต่เทคนิควรยุทธที่ท่านประธานถ่ายทอดให้เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจในระดับปาฏิหาริย์ของชายหนุ่มแล้ว เศษเสี้ยวของความหวังผุดขึ้นในหัวใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงโดยไม่รู้ตัว
บางที…ถ้าเป็นท่านประธาน เขาอาจทำให้เจ้ายักษ์ใหญ่นี่ยอมจำนนได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะได้ยิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับนี้ พวกเขาคงยืนหยัดรับมือได้ ต่อให้เป็นสามอำมาตย์ใหญ่!
ในเผ่าพันธุ์ปีศาจ กฎเกณฑ์สามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งเดียวที่จะพึ่งพาได้ก็คือพละกำลังของตัวเองเท่านั้น
ผู้ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดจึงจะได้รับการยกย่องให้เป็นราชา
“ท่านประธาน? คุณหมายถึงเจ้าหนุ่มตัวกระจ้อยร่อยที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานที่ยืนอยู่ข้างๆคุณน่ะหรือ?” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันศีรษะขนาดมหึมากลับมาจ้องหน้าจางเซวียนและคำราม “ผมคิดว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอย่างพวกคุณหยิ่งผยองถึงขั้นที่แม้แต่ปรมาจารย์ขงก็ยังทำให้พวกคุณยอมจำนนไม่ได้…นี่พวกคุณตกต่ำถึงขนาดยอมรับคนอ่อนแอแบบนี้เป็นประธานสมาคมของพวกคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหน้าเสียทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง คุณจะดูถูกผมอย่างไรก็ได้ตามแต่ต้องการ แต่คุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นศัตรูกับทั้งสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนะถ้าดูถูกท่านประธานสมาคมของพวกเรา!”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความโกรธขึ้งในน้ำเสียงของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เขาเป็นประธานสมาคมของคุณจริงๆหรือ?”
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันกลับมาจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือนักรบธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่เขาก็ระงับความสงสัยในใจไว้แล้วพูดต่อ “ผมได้ยินข่าวเรื่องสามอำมาตย์แล้ว แต่ผมรู้จักพวกเขาดี ผมเคยสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งและรู้ว่าเขาซุกซ่อนกลยุทธแบบไหนไว้ ไม่มีทางที่ผมจะถูกสังหารอย่างง่ายดายแบบนั้นหรอก!”
“อีกอย่าง เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ได้มีแค่สามอำมาตย์ ต่อให้ทั้งสามเสียชีวิต ก็ยังมีขุนนางอีกมากมายที่พร้อมจะเข้ารับตำแหน่งแทน หากพวกเรากลับไป ก็มีโอกาสที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในเมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงยอมรับคุณในฐานะประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ผมก็อยากจะฟังว่าคุณคิดจะนำพาเผ่าพันธุ์อสูรของพวกเรากลับถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างไร”
“ง่ายนิดเดียว…” จางเซวียนยิ้ม “ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือยอมเป็นอสูรของผม!”