Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1852
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1852
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1852 อำมาตย์แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกคุณแยกย้ายกันฝึกฝนวรยุทธ!” จางเซวียนสั่งการ
เมื่อมีวรยุทธเหนือระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว การบรรยายของเขาก็ส่งผลช่วยเหลือบรรดาลูกศิษย์ได้น้อยเต็มที ที่สำคัญกว่าคือสติปัญญาและความขยันหมั่นเพียรของแต่ละคน
เพราะเขาถ่ายทอดทุกอย่างให้บรรดาลูกศิษย์มากเกินไป คนเหล่านั้นจึงสูญเสียความสามารถในการคิดค้นและสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวครั้งนี้
…..
หลังจากฝึกฝนวรยุทธไปได้ครู่หนึ่ง จู่ๆจ้าวหย่าก็ตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ อำมาตย์เฉินหย่งเป็นลูกศิษย์ของคุณด้วยหรือ?”
คนอื่นๆหันขวับมามอง
พวกเขารู้มาว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ให้คำชี้แนะที่เก่งกาจทัดเทียมกับเทพเจ้า ทุกคนเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายต่อเติมเสริมแต่งขึ้นเองเพื่อเพิ่มอำนาจ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้ให้คำชี้แนะที่ถูกกล่าวขานถึงนั้น แท้ที่จริงแล้วจะเป็นท่านอาจารย์ของพวกเขาเอง!
“พวกคุณยังจำเขาไม่ได้อีกหรือ?” จางเซวียนส่ายหัว
“จำ?”
ทุกคนชะงัก
หวังหยิ่งเป็นคนแรกที่คิดออก เธอตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็ตั้งคำถามด้วยริมฝีปากสั่นเทา “หรือว่า…เขาคือศิษย์น้องหลิวหยาง?”
เมื่อครู่ก่อน เธอยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆระหว่างการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ อีกฝ่ายดูจะล่วงรู้ข้อบกพร่องของพวกเธอเป็นอย่างดีและจู่โจมได้ในช่วงเวลาคับขัน ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป เรื่องแบบนี้อาจเป็นความบังเอิญหากเกิดขึ้นเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดการสู้รบก็บ่งบอกแล้วว่ามีบางอย่างน่าคิด
เธอยังสงสัยอยู่ว่าบางทีพวกเธออาจมีบางอย่างคล้ายคลึงกับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าอีกฝ่ายคือศิษย์น้องที่หายตัวไปจริงๆ ทุกอย่างก็จะเข้าทาง!
ว่าแต่…หลิวหยางเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ? แล้วเขากลายเป็นอำมาตย์เฉินหย่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อย่างไร แถมการปลอมตัวของเขาก็แนบเนียนถึงขนาดที่ไม่มีใครมองออก!
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆถึงกับผงะกับการเปิดเผยครั้งนี้ พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนรีบหันไปมองจางเซวียน รอฟังคำยืนยันจากปากของท่านอาจารย์
“ใช่แล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “เขาคือหลิวหยางจริงๆ เพราะความโชคดีบางอย่างที่หลิวหยางบังเอิญพบที่ทำให้เขาลงเอยด้วยสถานภาพนี้ แต่พวกคุณห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาและอันตรายใหญ่หลวง”
แม้พิธีสถาปนาของหลิวหยางจะทำให้เขาได้รับตำแหน่งอำมาตย์เพียงหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างชอบธรรม แต่อำนาจของเขาก็ยังต้องอาศัยความจริงที่ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ถ้าใครๆรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าจะต้องถูกเล่นงานภายในชั่วอึดใจเดียว สถานการณ์ที่เพิ่งเข้าที่เข้าทางจะกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ และความพยายามทั้งหมดของพวกเขา ก็จะสูญเปล่า
“เขาคือหลิวหยางจริงๆ…”
ได้ฟังคำยืนยันจากปากของท่านอาจารย์ จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเกิดความรู้สึกที่ปั่นป่วนระคนกันอยู่ข้างใน
พวกเขาเคยคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะยังคงรักษาตัวอยู่ และอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชำระมลทินให้กับชื่อเสียงของท่านอาจารย์ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ของพวกเขาแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆได้ทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก?
เมื่อหลิวหยางได้เป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์อีกต่อไป
จางเซวียนส่งบรรดาลูกศิษย์ของเขาเข้าสู่รังนางพญามดและสั่งการให้คนเหล่านั้นฝึกฝนวรยุทธที่นั่น ก่อนตัวเขาจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
…..
พิธีสถาปนายังคงดำเนินต่อไปตอนที่จางเซวียนกลับถึงจัตุรัส
ถ้าหากก่อนหน้านี้จะยังคงมีความไม่พอใจอยู่บ้างในตัวอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจของสามอำมาตย์ใหญ่ไปทั้งหมด แต่หลังจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก
“นี่คืออำมาตย์เพียงคนเดียวและหนึ่งเดียวของพวกเรา ผู้ที่ไม่มีใครแทนที่ได้”
“ดูเหมือนยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์กำลังจะมาถึงเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราในอีกไม่ช้า…”
นัยน์ตาของทุกคนเปล่งประกายตื่นเต้น
หลิวหยางนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงใหญ่ หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
เมื่อนึกย้อนกลับไป หากเขาไม่ได้พบท่านอาจารย์ ก็คงจะเป็นแค่นักเรียนต๊อกต๋อยคนหนึ่งในโรงเรียนหงเทียนแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน บางทีป่านนี้คงยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธนักรบขั้น 3 เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองนั่งเป็นศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์ทั้งเผ่า กลายเป็นบุคคลที่ได้ควบคุมบงการภัยคุกคามอันใหญ่หลวงที่สุดต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์
ถ้าเป็นเมื่อ 1 ปีก่อน เขาจะไม่มีวันแม้แต่จะกล้าฝันถึงเรื่องแบบนี้
“ถ้าไม่มีใครคัดค้าน…”
ขณะที่หัวใจของเขายังคงเต้นแรง หลิวหยางลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองฝูงชนที่อยู่ด้านล่างอย่างวางอำนาจ
“…วันนี้ผมจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นอำมาตย์ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ!”
…..
“เดี๋ยวก่อน? คุณกำลังบอกผมว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอำมาตย์คนใหม่ และในวันสถาปนาของเขา เขาได้ประกาศจะยับยั้งความขัดแย้งและสั่งการให้สร้างความร่วมมือกันเพื่อก่อเกิดสันติภาพไปอีกพันปีหรือ?”
“เขายังร้องขอให้สร้างความสัมพันธ์ด้านการติดต่อค้าขายกับสภาปรมาจารย์ด้วยการก่อตั้งตลาดแห่งใหม่ขึ้นภายในอาณาจักรใต้ดิน?”
“ถ้ามีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างเป็นทางการขึ้นในอาณาจักรใต้ดินล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปรมาจารย์มากมายจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่น พวกเขาไม่กลัวหรือว่าพวกเราจะใช้โอกาสนี้เข้าโจมตีและกำจัดพวกเขาจนราบคาบ?”
“นั่นยังไม่ใช่ข่าวที่น่าตกใจที่สุดนะ ตามที่ผมได้ยินมา อำมาตย์คนใหม่สนับสนุนค่านิยมเรื่องการสั่งสอน เขาให้ความสำคัญกับแบบแผน พิธีการ และความเคารพ เขาแนะนำเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ฟังคำบรรยายของเหล่าปรมาจารย์ และผลักดันให้ลดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ดูเหมือนเขาจะมุ่งมั่นจริงจังให้เกิดสันติภาพ…”
บรรดานักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์ที่รอดชีวิตกลับมาไม่ได้เข้าสู่การจำศีลทันทีที่กลับจากวิหารแห่งขงจื๊อ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มา แต่ละคนมีสีหน้าราวกับเห็นผี
ทันที่พวกเขารู้ข่าวว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก้าวขึ้นสู่อำนาจและรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมรับการสู้รบ แต่กลับตรงกันข้าม อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ มีทีท่าเป็นมิตรอย่างมากกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
ถ้าแผนการเหล่านั้นทำได้จริง ก็มีแนวโน้มที่ทุกอย่างจะก่อเกิดเป็นผลดีกับมนุษย์
เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งขณะที่บรรดานักปราชญ์โบราณต่างระดมสมองเพื่อค้นหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็โพล่งออกมา “ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ของผม!”
หยางชวน
“ศิษย์พี่ที่คุณพูดถึงคือปรมาจารย์ฟ้าประทาน จางเซวียนใช่ไหม?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งตั้งคำถาม
ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์หยางได้แจ้งให้บรรดานักปราชญ์โบราณรู้ว่าศิษย์พี่ของเขาคือปรมาจารย์ฟ้าประทาน เช่นเดียวกันกับปรมาจารย์ขง เขาเป็นบุคคลที่ได้การยอมรับแม้แต่จากสวรรค์
“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ จากข่าวที่ผมได้มา เขาพำนักอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมากว่า 2 เดือนแล้ว” ปรมาจารย์หยางพูด
“คุณคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่าภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 2 เดือน เขาแก้ไขปัญหาเรื่องภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้แล้วด้วยการโน้มน้าวให้เจ้าพวกนั้นสร้างสันติภาพกับเรา ใช่ไหม?” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งคำราม
เรื่องนี้เป็นความพยายามที่แม้แต่พวกเขากับเหล่าบรรพบุรุษที่เหนื่อยยากมานานหลายหมื่นปีก็ยังทำไม่สำเร็จ แล้วนักรบคนหนึ่งที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์โบราณกลับทำได้ภายในเวลา 2 เดือน…
คุณคิดว่าเรื่องนี้เหมือนการเล่นสร้างบ้านหรือ?
“นักปราชญ์เฉียนพูดถูก ปรมาจารย์หยาง คุณใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง?”
หลายเสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ไม่ว่าผมจะใคร่ครวญดีแล้วหรือไม่ วิเคราะห์ไม่นานเราก็จะรู้” ปรมาจารย์หยางยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้แม้จะรู้ว่าความคิดเห็นของเขากำลังถูกท้าทาย เขาจ้องหน้าบรรดานักปราชญ์โบราณอย่างเยือกเย็นก่อนจะพูดต่อ “ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้ชื่อของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แล้วใช่ไหม?”
“ชื่อของอำมาตย์?” เหล่านักปราชญ์โบราณก้มหน้าดูข้อมูลที่ได้มา คนหนึ่งตอบพร้อมกับพยักหน้า “หยางหลิว”
“ใช่ ชื่อของเขาคือหยางหลิว…อย่างที่คุณรู้ ศิษย์พี่ของผมมีศิษย์สายตรง 8 คน และหนึ่งในศิษย์สายตรงของเขาที่หายตัวไประยะหนึ่งแล้วมีชื่อว่าหลิวหยาง”
“หลิวหยาง?” ฝูงชนมองหน้ากัน “หยางหลิว…คุณกำลังสงสัยว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่, หยางหลิว คือหลิวหยางอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ไม่เพียงแต่ชื่อจะเหมือนกัน ข้อเท็จจริงที่ว่ามีข่าวลือว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ให้คำชี้แนะที่ทรงพลังมากก็เป็นเรื่องที่เราควรนำมาพิจารณา” ปรมาจารย์หยางเปิดเผยการปะติดปะต่อเรื่องราวของเขา
“ระหว่างพิธีสถาปนา มีทีมลอบสังหาร 6 คน ซึ่งจากคำให้การที่ผมได้มา ก็ตรงกันกับจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆ จากคำให้การของพยาน พวกเขาตั้งใจฟังคำพูดของผู้ให้คำชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นอย่างมาก ทำตามคำสั่งของเขาโดยปราศจากข้อคัดค้าน ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่มีอิทธิพลต่อพวกเขาทั้ง 6 ได้มากกว่าศิษย์พี่ของผม!”
ทุกคนต่างเงียบกริบ
ด้วยหลักฐานมากมายที่ปรากฏตรงหน้า ทุกคนคงสูญเสียสติปัญญากันไปหมดแล้วหากยังคงปฏิเสธ
ปรมาจารย์จางนำลูกศิษย์ของเขาเข้ายึดครองเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้งเผ่าได้ด้วยมือเปล่า…ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!