Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1853
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1853
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1853 ความลึกลับของอาณาจักรโบร่ำโบราณ
จางเซวียนไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นที่รับรู้ของปรมาจารย์หยางกับคนอื่นๆแล้ว เขายังคง พุ่งทะยานไปกลางอากาศพร้อมกับบรรดาศิษย์สายตรงที่ตามหลัง
ราว 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่หลิวหยางสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นอำมาตย์เฉินหย่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
ปีใหม่เพิ่งมาถึง ทั้งเมืองหลวงมีแต่ความคึกครื้นรื่นเริง
ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา จางเซวียนได้ให้คำชี้แนะกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา มีบางช่วงเวลาที่เขารู้สึกราวกับได้หวนกลับไปยังวันคืนที่อาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องแบกรับ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มีแต่ความสัมพันธ์เรียบง่ายระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ละวันที่ผ่านไปคือการแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรู้ รวมถึงความรื่นรมย์ในการคิดค้นกระบวนท่าใหม่หรือเรียนรู้เทคนิควรยุทธใหม่ๆ
หลังจากผ่านกระบวนการฝึกฝนอย่างเป็นระบบของจางเซวียน พลังปราณของจ้าวหย่ากับพรรคพวกก็ถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งและเข้มข้นกว่าเดิม ส่งผลให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาพุ่งพรวด ในเวลาเดียวกัน หยวนเทาก็ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
ส่วนหลิวหยาง หลังจากฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกได้สำเร็จ ก็กุมอำนาจในเผ่าพันธุ์ปีศาจไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปราบทุกเสียงต่อต้านจนราบคาบ
วรยุทธของจางเซวียนยังคงติดแหงกอยู่ที่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้น รังสีของเขาก็สุขุมเยือกเย็นกว่าแต่ก่อน สภาวะจิตมั่นคงขึ้น ดูเหมือนเขาพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะหากต้องการ
การขัดเกลาวรยุทธตลอด 2 เดือนทำให้จางเซวียนมีความรู้ความเข้าใจในอำนาจและพละกำลังของนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งประสิทธิภาพการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นอีกมาก ด้วยหอกสวรรค์กระดูกมังกรในมือ ก็ไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าจางเซวียนคือนักรบที่ไม่มีนักรบคนไหนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นผู้ทำลายล้างมิติจะเทียบชั้นได้
ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าอีกครั้ง ก็คงไม่จนปัญญาถึงขนาดพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว
แม้จางเซวียนจะพัฒนาวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีอีกคนที่ก้าวหน้าเร็วกว่าเขาเสียอีก-ไอ้โหด
เมื่อร่างกายถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ประกอบกับชุดฟางที่ทำให้เขาได้เลือดเนื้อกลับคืนมา ไอ้โหดก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้อย่างเต็มตัว ซึ่งหมายความว่าเขาพร้อมที่จะทำลายปราการแห่งมิติของโลกใบนี้แล้ว
“ถึงผมจะสามารถทำลายล้างปราการแห่งมิติเพื่อเปิดทางเข้าสู่มิติเบื้องบนได้ แต่กายเนื้อของผมก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะจากโลกนี้ไป อย่างน้อยที่สุด วรยุทธของผมจะต้องเข้าถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเสียก่อน” ไอ้โหดอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำนั้น
ในตอนนั้นเอง หลิวหยางก็บินตรงมาจากระยะไกลและประสานมือ “ท่านอาจารย์ ผมตรวจสอบหนังสือทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว พบว่า ‘เทพเจ้า’ ที่ปรากฏตัวเมื่อครั้งที่ผ่านมานั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าจริงๆ แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขามาจากมิติอื่น!”
ตลอดช่วงระยะเวลานั้น จางเซวียนไม่ได้ทุ่มเทเวลาของเขาเพียงเพื่อให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธกับบรรดาลูกศิษย์เท่านั้น แต่ยังสั่งการให้หลิวหยางใช้อำนาจในฐานะอำมาตย์เฉินหย่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำนานของเทพเจ้าด้วย โดยหวังว่าจะสามารถหาเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวกับหลัวลั่วชิงได้
“มิติอื่น?”
“ใช่ มิติอื่นคืออีกมิติหนึ่งที่แตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเทพเจ้าที่เคยลงมาก่อนหน้านี้ก็มาจากที่นั่น สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเต็มไปด้วยนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่เป็นชั้นยอด เหมาะแก่การฝึกฝนวรยุทธเสียยิ่งกว่าดินแดนสวรรค์ประทานใดๆในโลกของเรา!” หลิวหยางอธิบาย
เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพเจ้า ดังนั้น แม้ตำนานที่กล่าวขานกันทั่วไปจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา แต่ก็มีเศษเสี้ยวของความจริงอยู่มาก
รู้ดีว่าท่านอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไร หลิวหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย “แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางที่นำไปสู่มิติอื่นนั้นถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง เทพเจ้าองค์ไหนก็ตามที่ปรารถนาจะลงมาสู่โลกของเราจะต้องเสียเงินทองมากในการประกอบพิธีกรรม และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะก้าวขึ้นไปสู่มิติอื่น”
“เส้นทางที่นำไปสู่มิติอื่นถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง?” จางเซวียนทวนคำอย่างร้อนรน
อันที่จริงเขาเองก็คาดเดาไว้แล้ว เนิ่นนานเต็มทีที่เคยมีเทพเจ้าลงมายังโลกใบนี้ และนับตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขง ก็ไม่มีนักรบคนไหนอีกเลยที่สามารถก้าวขึ้นสู่มิติอื่นได้
“คุณสั่งการให้ผมสืบเสาะเรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์ขงด้วย” หลิวหยางพูดต่อ “เท่าที่ผมพบ ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะหายตัวไปทันทีหลังจากที่จับตัวผู้แทนอมตะไว้ได้ จากเงื่อนงำที่ผมรวบรวมไว้ เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเดินทางไปยังมิติอื่น”
“ไม่นานหลังจากการจากไปของปรมาจารย์ขง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็จากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปเพื่อไปยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง ผมพยายามสืบเสาะเรื่องราวนั้นให้ลึกลงไป แต่ดูเหมือนเงื่อนงำจะหยุดอยู่เท่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่า100 สำนักแห่งนักปราชญ์รู้รายละเอียดไม่น้อยเกี่ยวกับการหายตัวไปของปรมาจารย์ขง”
จางเซวียนพยักหน้า
ในโลกนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เรื่องปรมาจารย์ขงมากไปกว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากปรมาจารย์ขง จึงรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายดี
จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “คุณรู้หรือไม่ว่าพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ที่ไหน?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคือผู้ทำการติดต่อกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อร่วมโจมตีอำมาตย์เฉินหย่ง ดังนั้น แม้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะไม่รู้ว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ที่ไหน แต่ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะไม่รู้!
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเขาน่าจะอยู่ที่อาณาจักรคุนฉื่อ”
“อาณาจักรคุนฉื่อ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เขาเคยได้ยินชื่อของอาณาจักรลึกลับมามากมาย แต่ไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรคุนฉื่อมาก่อน
“ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีอาณาจักรโบร่ำโบราณอยู่มากมาย ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินมา 2-3 ชื่อแล้ว แม้อิทธิพลของสภาปรมาจารย์จะครอบคลุมไปไม่ถึงอาณาจักรโบร่ำโบราณเหล่านั้น แต่พวกมันก็มีพลังดึกดำบรรพ์ของตัวเอง ซึ่งคอยบ่มเพาะผู้ที่มีสายเลือดไม่เข้มข้นพอ “นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า
อาณาจักรเทียนเซวียนก็เป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งหนึ่ง ด้วยความหวังว่าจะฟื้นคืนสายเลือดฮ่องเต้ขึ้นได้ หยวนเทาจึงถูกส่งตัวไปยังอาณาจักรเทียนเซวียนให้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจางเซวียนก็เป็นแบบเดียวกัน
“พูดตามตรงนะ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่ออยู่ที่ไหน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ กุมความลับนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ที่ผมแน่ใจก็คือ อาณาจักรคุนฉื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาณาจักรโบร่ำโบราณเหล่านี้ พูดได้เลยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่อจะอยู่ใน หนึ่งในอาณาจักรโบร่ำโบราณพวกนั้น!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูด
เขาพอมีช่องทางที่จะเข้าถึงพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่ก็ไม่เคยไปเยือนอาณาจักรคุนฉื่อด้วยตัวเอง และไม่มีทางที่พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะยอมเสี่ยงเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของมันให้กับเขา
“ว่าไงนะ? มันอยู่ในหนึ่งในอาณาจักรโบร่ำโบราณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “ผมคิดว่าจะกลับอาณาจักรเทียนเซวียนสักพักหนึ่ง พวกคุณอยากไปกับผมไหม?”
พูดกันตามตรง เขารู้สึกว่าอาณาจักรเทียนเซวียนยังมีความลับบางอย่างที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ทวีปแห่งปรมาจารย์ใหญ่โตขนาดนั้น แต่เขาถูกส่งทะลุมิติมายังอาณาจักรเทียนเซวียน แถมยังได้พบลูกศิษย์อีก 2 คนที่มีสภาวะพิเศษอันแสนหายากที่นั่น
แน่นอนว่ามันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่จางเซวียนรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เห็น เขาจึงตั้งใจจะเริ่มต้นการสืบเสาะค้นหาของเขาจากที่นั่น
“ฉันจากที่นั่นมากว่า 1 ปีแล้ว ถึงเวลาที่จะกลับไปพบหน้าท่านพ่อเสียที” จ้าวหย่าพูดยิ้มๆ
เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพร้อมกับท่านอาจารย์ และตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก็ได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ อีกทั้งยังเป็นนักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังด้วย ถึงเวลาแล้วที่ควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเสียที
“ฉันก็อยากไปด้วย” หวังหยิ่งรีบพยักหน้า
คนอื่นๆตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาอยากหวนคืนสู่รากเหง้าของตัวเอง กลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา
“หลิวหยาง ตอนนี้คุณยังต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ไปกับพวกเราไม่ได้นะ ส่วนคนที่เหลือ เตรียมตัวได้เลย เราจะออกเดินทางเร็วๆนี้!” จางเซวียนสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา
ถึงพวกเขาจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว แต่ก็ยังมีการจัดการอีกหลายอย่างที่ต้องคอยควบคุมดูแล ถ้าผู้นำสูงสุดคืออำมาตย์เฉินหย่งหายตัวไปในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ก็มีโอกาสที่อะไรๆจะผิดพลาดและบานปลาย
หลิวหยางฮึดฮัดขัดใจก่อนจะพยักหน้า “…ผมเข้าใจ!”
จางเซวียนหันไปสั่งการอสูรตัวมหึมาที่อยู่ข้างหลิวหยาง “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง ผมขอรบกวนให้คุณคอยช่วยเหลือหลิวหยางด้วย”
“ปล่อยเป็นหน้าที่ของผมเถอะ” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงตอบอย่างจริงใจ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันได้!”
หลังจากจัดการเรื่องราวต่างๆแล้ว จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและเปิดรอยแยกของมิติขึ้นตรงหน้า เขานำทางเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ มีคนอื่นที่เหลือตามหลังไปติดๆ