Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1925
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1925
ตอนที่ 1925 นี่มันบ้าบออะไรกัน?
“นั่นคือจอมหลบหลีก!”
ผู้ชมอุทานด้วยความตื่นเต้น
“กระบวนท่าจอมหลบหลีกมาจากความสามารถในการหลบเลี่ยง
การโจมตีของคู่ต่อสู้ได้โดยเฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง สิ่งนี้
ทำให้นักรบประหยัดพลังงานได้มาก ส่งผลให้ถือไพ่เหนือกว่าใน
การตอบโต้ แต่แน่นอนว่ามันคือดาบสองคม เพราะหากพลาดเพียง
นิดเดียวก็หมายถึงจบเห่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโลกจะใช้ทักษะระดับสูง
ขนาดนี้ได้…”
“เขาคงต้องฝึกฝนหลายสิบปีใช่ไหม?”
“ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังจัดว่าน่าทึ่ง!”
“ผมมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่มุ่งมั่นอยากฝึกฝนทักษะจอมหลบหลีก
ให้เชี่ยวชาญ เขาใช้เวลาฝึกถึงสามสิบปี แต่ก็ยังไม่กล้านำมาใช้ใน
การต่อสู้จริง กระบวนท่านี้ไม่ได้เป็นการทดสอบเฉพาะความแม่นยำ
ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักรบผู้นั้น ที่สำคัญกว่าคือการ
ทดสอบสภาวะจิต หากปราศจากความมั่นใจเต็มเปี่ยมในความสามารถ
ของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่ผู้นั้นจะกล้าใช้ทักษะการต่อสู้ชนิดนี้”
นักรบมากมายที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพากันพูดไม่ออก
ในหอนิรันดร์ คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าสองทักษะนี้
คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
จางเซวียนไม่รับรู้ความตกตะลึงของฝูงชนนอกสังเวียน เขายื้อการ
ดวลออกไปอีกราว 10 หมัด ก่อนจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการเล่น
งานอย่างว่องไว
ขณะรอคู่ต่อสู้คนที่ 3 จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะปลื้มปริ่มกับความ
สามารถของตัวเอง
มันก็ยากอยู่ แต่เราต้องปกปิดพละกำลังไว้ให้ดี ช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน
ที่สำแดงพลังออกไปได้แค่ 1 ใน 20 ของที่มี แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เราก็
จะมีคู่ต่อสู้ไม่พอจนถึงรอบที่ 8…
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้
คนที่ 3
คู่ต่อสู้คนที่ 3 ของจางเซวียนเป็นสาวน้อยในชุดสีเขียว แต่ก็พ่ายแพ้
ไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนคู่ต่อสู้คนที่ 4 คือชายหนุ่มท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่ง ซึ่งก็รับมือได้
ไม่ถึงสิบกระบวนท่า
เมื่อเห็นว่าควบคุมพละกำลังของตัวเองได้ ไม่ทำให้ผู้ท้าทายคนอื่น ๆ
เกิดความเข็ดขยาดในการเข้าต่อสู้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับ
การควบคุมตัวเองของเขา
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ในสายตาของนักรบคนอื่น ๆ การได้ประลองกับ
ผู้เชี่ยวชาญระดับจางเซวียนโดยจ่ายเงินเพียง 500 เหรียญนิรันดร์นั้น
เป็นโอกาสล้ำค่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้มันผ่านไป
พูดได้เลยว่าพวกเขาได้กำไรอย่างงามจากการดวลกับจางเซวียน
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครตายเพราะการดวล ทุกคนจึงไม่มีอะไรจะเสีย
“ศิษย์พี่ คุณมีความเห็นต่อเจ้าโลกคนนั้นอย่างไร?”
นอกสังเวียนประลอง ชายสองคนยืนพิงเสาขณะชมการถ่ายทอดสด
จากจอภาพ ผู้พูดสวมชุดสีเขียวและถือดาบไว้ในมือ แม้จะมีทีท่า
เอื่อยเฉื่อย แต่นัยน์ตาของเขาก็สะท้อนเจตจำนงเพลงดาบ ที่บ่งบอก
ความเก่งกาจของเขาออกมา
‘ศิษย์พี่’ ที่เขากำลังพูดด้วยมีดาบอยู่ในมือเช่นกัน เจตจำนงเพลงดาบ
ที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาเข้มข้นกว่า เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกฝนศิลปะ
เพลงดาบที่มีทักษะเชี่ยวชาญคนหนึ่ง
ทั้งเมืองชวนเจียงและเมืองแสงดาวอยู่ใต้อาณัติของสำนักดาบเมฆ
เหิน จึงมีผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่มากมาย อันที่จริง แม้ในสังเวียน
ประลอง ผู้เข้าท้าทายหลายคนก็เลือกที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธ
“การที่เขาสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างการสับขาหลอกกับการ
โจมตีของจริงได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งสำแดงกระบวนท่าจอมหลบ
หลีกได้ด้วย ก็บ่งบอกถึงการควบคุมพละกำลังที่แม่นยำในระดับที่
เรียกว่าน่าทึ่ง ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผมเลย แน่นอนว่าเขาคือ
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง!” ศิษย์พี่พยักหน้ายิ้ม ๆ “แต่ก็ยังเทียบชั้นกับเหล่า
ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินของเราไม่ได้!”
“สองทักษะนั้นคือเงื่อนไขเบื้องต้นที่ผู้จะได้การยอมรับอย่างเป็น
ทางการให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักของเราจะต้องผ่าน แม้ศิษย์
สายตรงระดับล่างส่วนใหญ่ก็สำแดงทักษะนั้นได้ มีแต่ในดินแดน
ไกลปืนเที่ยงอย่างที่นี่เท่านั้นแหละที่ผู้คนพากันตื่นตูม เห็นเป็นเรื่อง
ใหญ่!” ศิษย์น้องพูด
“ศิษย์น้องหวงเทา ไปลงชื่อเข้าสู่สังเวียนการประลองที ประกาศให้
หมอนั่นรู้ว่าโลกภายนอกยังกว้างไกลกว่านี้มาก” ศิษย์พี่สั่งการ
“วางใจเถอะ! ถ้าผมทำให้เขายอมแพ้ไม่ได้ภายในสามกระบวนท่า
ผมจะจ่ายค่าสุราของเราคืนนี้ และฝึกฝนศิลปะเพลงดาบเร่ร่อนโดย
เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง” ศิษย์น้องที่ชื่อหวงเทาตอบพร้อมกับยิ้ม
อย่างมั่นใจ
“อย่ามัวเสียเวลาทำให้การดวลยืดเยื้อนะ เรายังไม่ได้คัดเลือกศิษย์
สายตรงฝ่ายนอกและศิษย์สายตรงระดับล่างเลย เวลาก็เหลือน้อยเต็ม
ที แถมที่เราทำไปยังไม่ต่างอะไรกับการรังแกชาวบ้าน ถ้าผู้อาวุโสลู่รู้
เข้า เขาต้องตำหนิเราแน่!”
ในฐานะอัจฉริยะจากสำนักขนาดใหญ่ ถือว่าไม่เหมาะสมที่พวกเขา
จะเข้าท้าทายบรรดานักรบมือใหม่ในดินแดนไกลปืนเที่ยง เพราะนั่น
ไม่ต่างอะไรกับนักกีฬาทีมชาติที่ลงมาแข่งขันกับสโมสรระดับ
ท้องถิ่น การกระทำแบบนั้นมีแต่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขา
“ผมเข้าใจ!” หวงเทาพยักหน้าขณะเดินไปหาเจ้าหน้าที่สาว
ไม่ช้าเขาก็ได้เป็นคู่ต่อสู้คนที่ 5 ของจางเซวียน
“ดูสถิติชัยชนะของนักดาบมหากาฬสิ!”
“จากการดวล 100 นัด เขาแพ้เพียง 5 นัดเท่านั้น! บ้าไปแล้ว?”
“เป็นสถิติที่น่าทึ่งอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนคราวนี้เจ้าโลกจะเจอคู่แข่งที่
สมตัวแล้วล่ะ!”
“ในเมื่อเขาถือดาบ การดวลครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการดวลดาบ เราเพิ่งเห็น
ความเชี่ยวชาญของเจ้าโลกเฉพาะด้านการต่อสู้มือเปล่าเท่านั้น ยังไม่
เคยเห็นทักษะเพลงดาบของเขาเลย”
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะมีสถิติการดวลที่ผ่านมาปรากฏบนจอภาพ
วีรกรรมของนักดาบมหากาฬที่พ่ายแพ้เพียง 5 นัดจาก 100 นัดสร้าง
เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ในหมู่ฝูงชนทันที
ตอนแรก พวกเขาคาดว่ามันคงเป็นการโจมตีฝ่ายเดียวอย่างนัดก่อน ๆ
แต่ตอนนี้ความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
บางคนเชื่อว่าแม้เจ้าโลกจะมีทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันน่าทึ่ง
แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเขาจะยังคงทำได้ดีหากมีอาวุธในมือ
ด้วยฉายาของคู่ต่อสู้ของเขา, นักดาบมหากาฬ และสถิติที่ผ่านมา
จนถึงปัจจุบัน อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่เก่งกาจมาก
“นำอาวุธของคุณออกมา!”
บนสังเวียนประลอง หวงเทาถือดาบของเขาไว้ขณะร้องท้าจางเซวียน
“ได้สิ!”
จางเซวียนสะบัดข้อมือโดยไม่ลังเล แล้วดาบจากรางอาวุธที่อยู่ใกล้ ๆ
ก็ลอยเข้าสู่มือของเขา
ดาบที่อยู่ในหอนิรันดร์ไม่มีระดับขั้น พวกมันเป็นแค่อุปกรณ์ที่ใช้
สำแดงศิลปะเพลงดาบ บางสิ่งอย่างเช่นอาวุธระดับจิตวิญญาณไม่มี
ปรากฏที่นี่
“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทางก่อนที่ผมจะชักดาบออกมา ถ้าคุณ
เข้าถึงตัวผมไม่ได้ ผมจะทำให้คุณพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว!”
หวงเทาพูดอย่างสุขุม
ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน เขามีเกียรติยศศักด์ิศรีที่
ต้องรักษา
“คุณจะยังไม่ชักดาบของคุณออกมา?” จางเซวียนชะงัก เขาย่นหน้าผาก
และพึมพำ “แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็อาจเสียชีวิต…”
“บังอาจ!” หวงเทาตะโกนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สำแดงกระบวนท่าของ
คุณออกมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาส!”
“ได้สิ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขาชูดาบในมือขึ้นแล้วตวัดมันไปมา ราวกับกำลังพยายามทำ
ความคุ้นเคยกับดาบ จางเซวียนยืนอยู่กับที่ เขากระดิกนิ้ว
ฟึ่บ!
ดาบกระเด็นหลุดจากมือ
ยังไม่ทันจะได้สำแดงกระบวนท่าแรก เขาก็ทำดาบหลุดมือเสียแล้ว
นี่เป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัดในการต่อสู้! เมื่อไรก็ตามที่นักรบสูญเสีย
อาวุธไประหว่างการดวล ก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า
ทำให้อยู่ในภาวะเสียเปรียบ
“ผลีผลามมาก!”
“เจ้าหนุ่มนั่นพยายามจะยอมแพ้หรือ?”
ฝูงชนที่เฝ้าดูการดวลต่างชะงักกับภาพที่เห็น
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นความเลินเล่อขนาดนี้จากเจ้าโลกที่ดู
เหมือนจะเป็นนักรบผู้ทรงพลัง
“ดูนั่น เจ้าโลกหันกลับมาแล้ว!”
“คุณพูดถูก ว่าแต่…เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“หรือเขาพยายามจะยอมแพ้ด้วยวิธีนั้น? ไม่มีเศษเสี้ยวของน้ำใจ
นักกีฬาอยู่ในตัวเลยหรือ?”
ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ สถานการณ์ก็ดูจะบานปลาย
ขึ้นเรื่อย ๆ
บนเวที ชายหนุ่มที่มีฉายาว่าเจ้าโลกหันกลับมา แล้วชูมือขึ้นหลังจาก
โยนดาบของเขาออกไป ราวกับกำลังไชโยโห่ฮิ้วกับอะไรสักอย่าง…
นี่คือเครื่องหมายของการยอมแพ้? หรือเขาคิดจะถอยหลังจากได้เห็น
สถิติอันน่าสะพรึงของนักดาบมหากาฬ?
ปัญหาก็คือ การที่เจ้าโลกจะยอมแพ้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมถึงชูมือ
ขึ้นราวกับกำลังประกาศชัยชนะ? เขามองว่ามันคือเกียรติยศหรือ
อะไรทำนองนั้นหรือไง?
หวงเทาที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของเวทีก็ชะงักกับสิ่งที่เห็น
เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คิดอะไรอยู่ หรืออะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ต่อให้
อีกฝ่ายอยากยอมแพ้ ก็ควรจะพูดออกมาให้ชัดเจน แทนที่จะแสดง
กิริยาท่าทางคลุมเครือแบบนี้!
ขณะที่กำลังคิดหนัก ศิษย์พี่ของเขาก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ
“หวงเทา อย่าปล่อยให้การ์ดตก ระวังตัวด้วย!”
คำเตือนนั้นฉุดหวงเทาออกจากภวังค์ เขารีบรวบรวมสมาธิ แต่ยังไม่
ทันจะรู้ตัว ดาบที่อีกฝ่ายโยนออกมาอย่างส่ง ๆ ก็เคลื่อนตัวเข้าหาเขา
อย่างช้า ๆ
การเคลื่อนไหวของดาบดูจะเอื่อยมาก ทำให้รู้สึกเหมือนมันลอย
อย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ แต่เมื่ออยู่ห่างจากตัวเขาเพียง 3 เมตร
ดาบนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นมาอย่างปุบปับ มันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความ
ไวราวกับแสง
หวงเทาชักดาบออกมาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร
ก็เจ็บแปลบที่ศีรษะ
พลั่ก!
ร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ สติสัมปชัญญะ
หลุดลอยหายวับ ดาบนั้นแทงเข้าที่ศีรษะ ทำให้เขาพบจุดจบ
ฟึ่บ!
ศพของหวงเทาสลายตัวเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็วก่อนจะหายวับ
ไป เหลือไว้เพียงดาบที่เขาถือไว้เมื่อครู่
การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับกายเนื้อตัวจริง
ของผู้นั้น แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เขาครอบครองจะแตก
สลายและทำหน้าที่ของมันไม่ได้อีก ร่างสมมุติและจิตใต้สำนึกที่อยู่
ในโลกของหอนิรันดร์ก็จะหายไปด้วย
พูดอีกอย่างก็คือ การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ก็ใช่ว่าไม่ได้สูญเสียอะไร
เลย
เงียบกริบ
ความเงียบอันน่าสะพรึงครอบงำบริเวณนั้น
ทุกคนจับจ้องที่สังเวียนประลองด้วยอาการอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
พวกเขาคาดหวังจะได้เห็นการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนักดาบมหากาฬ
กับเจ้าโลก แต่ก็เหมือนกับการเล่นปาหี่ เจ้าโลกแค่โยนดาบของเขา
ออกไป จากนั้นนักดาบมหากาฬก็ถูกแทงศีรษะ
นี่มันบ้าบออะไรกัน?
หลังจากความเงียบงันอย่างน่าประหลาด เสียงเชียร์กึกก้องก็ดังขึ้น
โดยรอบ
แม้ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในการดวลที่เพิ่งจบลง
แต่ก็เห็นชัดว่าเจ้าโลกคือผู้ชนะ
“เจ้าโลกจงเจริญ! ผมรักคุณมากกว่าทุกสิ่งในโลกนี้!”
“นักดาบมหากาฬสบประมาทคู่ต่อสู้เกินไป เขาปัดป้องการโจมตี
อย่างกะทันหันของเจ้าโลกไม่ได้”
“ผมคิดว่านักดาบมหากาฬคือผู้ไร้เทียมทาน ใครจะไปรู้ว่าเขาไม่ควร
ค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ? ถูกดาบแทงแบบนั้น…ไม่มีใครแย่ไป
กว่าเขาแล้วล่ะ!”
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของสถิติการได้ชัยชนะถึง 95 เปอร์เซ็นต์…
เขาได้สถิตินี้มาด้วยการป่ วนระบบ หรือจงใจพ่ายแพ้เพื่อให้พวกเรา
ได้หัวเราะ?”
สำหรับผู้ชมทุกคน ท่วงท่าการโยนดาบที่จางเซวียนแสดงออกไป
ก่อนหน้านี้ดูแสนจะธรรมดาสามัญ จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่นักดาบ
มหากาฬถูกกระบวนท่านั้นสังหาร ดังนั้น ในสมองของพวกเขาจึงมี
ความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว นั่นคือนักดาบมหากาฬอ่อนแอเกินไป!