Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2096 คุณเป็นใคร?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2096 คุณเป็นใคร?
ตอนที่ 2096 คุณเป็นใคร?
“หัวหน้าตู้บาดเจ็บสาหัส เธอคงไปไม่ได้ไกลนักหรอก ช่วยผมตามหาเธอด้วย” จางเซวียนสั่งการ
จากนั้น ทั้ง 6 ก็สำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว
เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมีซากปรักหักพังกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด จึงมีซอกหลืบมากมายให้ซ่อนตัว ถ้าจางเซวียนต้องค้นหาตามลำพัง ใครจะรู้ว่าเขาต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
เพราะมีอันตรายอยู่โดยรอบ คงจะดีกว่ามากหากรีบสำรวจให้เสร็จสิ้นไปเพื่อจะได้ออกจากที่นี่
“นายท่าน!”
ราว 3 นาทีต่อมา เต่าหลังดำก็มายืนตรงหน้าและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปตามทิศทางนั้น ด้วยนัยน์ตาหยั่งรู้ จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไม่มีร่องรอยโดดเด่นใดๆในบริเวณนั้น แต่พลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่มีความเข้มข้นมากกว่าที่อื่น ไม่เพียงเท่านั้น ยังดูเหมือนมันเพิ่งได้รับการขัดเกลาด้วย
“เธอน่าจะอยู่แถวนี้แหละ เธอคงควบคุมพละกำลังของตัวเองไม่ได้เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส” จางเซวียนพูดพร้อมกับพยักหน้า
สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงถูกโจมตีอวัยวะสำคัญ ทำให้อยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากัน เธอคงคิดว่ากลบเกลื่อนร่องรอยของตัวเองอย่างดีแล้ว แต่ก็ไม่อาจควบคุมวรยุทธได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึงขนาดยับยั้งพลังปราณไม่ให้รั่วไหลออกจากร่างได้
เพราะมีบรรยากาศของการเสื่อมถอยอยู่โดยรอบ อาการบาดเจ็บของเธอจึงเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องตายแน่
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดสำหรับเขาที่จะต้องหาตัวเธอให้พบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เธอมีชีวิตรอด
ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะสูญเปล่า
จางเซวียนรีบสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ไม่พบอะไรเลย
“มัวควานหาตัวเธอแบบนี้คงไม่ได้การ ในเมื่อเธอได้รับบาดเจ็บ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเธอจะดึงดูดกระแสบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้าหาตัว เราน่าจะแกะรอยตามการเคลื่อนไหวของบรรยากาศของการเสื่อมถอยจะดีกว่า…”
จางเซวียนจึงกวักมือเรียกตัวโคลน “มานี่หน่อย!”
ตัวโคลนเดินเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้ว
“อยู่ให้นิ่งที่สุดนะ อย่าขยับตัว” จางเซวียนพูดขณะชักดาบถงซังออกมาและจ้วงแทงตัวโคลน
ฉึกกกก!
หน้าอกของตัวโคลนเป็นรูทันที
“ผมอยากให้คุณเดินไปรอบๆเพื่อทดสอบความเข้มข้นของบรรยากาศของการเสื่อมถอย ยิ่งบาดแผลแย่ลงเร็วเท่าไหร่ ก็แปลว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้มข้นขึ้นเท่านั้น” จางเซวียนพูด
ตัวโคลนพูดไม่ออก
จะบ้าหรือไง!
คุณคือคนที่อยากรู้ว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้มข้นแค่ไหน แล้วทำไมถึงไม่แทงตัวเองล่ะ? ต่อให้คุณกลัวเจ็บ ก็ยังมีอสูรอีกมากมายอยู่กับตัว…เป็นบ้าอะไรถึงมาแทงผม!
“เอาเถอะ ในหมู่พวกเราน่ะ ไม่มีใครมีความสามารถขับบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกจากตัว” จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “คุณคือคนเดียวที่ทำเรื่องน่าทึ่งแบบนั้นได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องยอมเสี่ยง”
“เรื่องนี้ตัดสินกันที่ความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่เพราะการที่คุณโชว์เหนือกับผมก่อนหน้านี้หรอก ผมน่ะไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นชนิดที่จะหาทางแก้แค้นด้วยวิธีการชั่วร้าย!”
ตัวโคลนของจางเซวียนอ้าปากค้าง
งั้นหรือ? แต่ตอนนี้น่ะ คุณดูเหมือนคนเจ้าคิดเจ้าแค้นชนิดที่จะหาทางแก้แค้นด้วยวิธีการชั่วร้ายกับผมเลยล่ะ!
ผมก็แค่โชว์เหนือนิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ? คุณต้องเอาเป็นเอาตายขนาดนี้เลยหรือไง?
ขณะที่เขาพูด ควันดำก็ลอยโขมงขึ้นจากบาดแผลของตัวโคลน แต่ก็ไม่ต่างจากครั้งก่อน ร่างกายของตัวโคลนกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่ซึมซาบเข้าสู่บาดแผลออกไปโดยอัตโนมัติ
“น่าเสียดายนะที่แผลพวกนี้อยู่บนตัวผมได้ไม่นานนัก ผมไม่คิดว่าผมจะวัดความเข้มข้นของบรรยากาศของการเสื่อมถอยอย่างที่คุณต้องการได้หรอก…อ๊ากกกก!”
ตัวโคลนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ก้มลงมอง เห็นดาบของจางเซวียนแทงฉึกเข้าที่ร่างกายส่วนอื่นของเขา
“คุณไม่ต้องห่วงน่ะ อาจจะเหนื่อยยากสักหน่อย แต่ผมเต็มใจที่จะรับหน้าที่สร้างบาดแผลมากมายให้ คุณจะได้ทำงานสำเร็จ” จางเซวียนพูดยิ้มๆ
เส้นเลือดที่ขมับของตัวโคลนปูดโปนขึ้นมา เขาโมโหจนอยากจะทุบศีรษะของจางเซวียนให้ยุบ
ตัวโคลนถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขาลากสังขารที่แผลเต็มตัวเดินวนไปรอบๆบริเวณนั้นเพื่อทดสอบความเข้มข้นของบรรยากาศของการเสื่อมถอย
เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ พื้นที่นั้นมีระดับความเข้มข้นของบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ช้าตัวโคลนก็พบบริเวณหนึ่งที่มีความเข้มข้นของบรรยากาศของการเสื่อมถอยในระดับสูงสุด
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือมันเป็นพื้นที่ที่มีซากปรักหักพังไม่มาก แต่มีพืชพันธุ์อยู่หนาแน่น
เถาวัลย์เลื้อยไต่ไปตามกำแพงและปกคลุมหลังคา
จางเซวียนหรี่ตามองบริเวณนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขารีบเหลียวมองโดยรอบก่อนจะนำธงค่ายกลกว่า 100 อันออกมาด้วยการสะบัดข้อมือ และเมื่อกระดิกนิ้ว ธงค่ายกลทั้งหมดก็ลอยละลิ่วออกไปปักอยู่ตามจุดต่างๆ เกิดเป็นกำแพงที่ก่อตัวขึ้นจากสายลม
หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนก็โผขึ้นสู่กลางอากาศและตะโกนก้อง “หัวหน้าตู้ ผมคือหลิวหยาง, เจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง ผมไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับหอเทพเจ้าหรือหอนิรันดร์ ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านล่างนี่ และอยากวิงวอนให้คุณปรากฏตัวเพื่อที่ผมจะได้ช่วยเยียวยาบาดแผลให้ ไม่อย่างนั้น คุณคงมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งก้านธูปเพราะถูกบรรยากาศของการเสื่อมถอยกัดกร่อน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด อวัยวะภายในและทางเดินพลังปราณของคุณใกล้หมดสภาพเต็มทีแล้วเพราะการกัดกร่อนนั้น ในเวลานี้ แค่จะหายใจก็ยังลำบาก!”
ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของสุภาพสตรีหน้ากากทองแดง แค่จะใช้ชีวิตอยู่ภายนอกก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว นับประสาอะไรกับในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ทันทีที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยซึมซาบเข้าสู่บาดแผลของเธอ มันจะค่อยๆกัดกร่อนอวัยวะภายในและทำลายจุดสำคัญของร่างกายอย่างช้าๆ
ต่อให้เธอทนไหว ก็คงอยู่ได้ไม่นาน แม้จะเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ตาม
บึ้มมมม!
เถาวัลย์ที่ก่ายพันกันระเบิดออกทันที สุภาพสตรีหน้ากากทองแดงพุ่งออกมา เธอตัวสั่นไม่หยุดเพราะอาการเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงตั้งตัวตรงอยู่ได้ เธอจับจ้องจางเซวียนด้วยสายตาหวาดระแวง ยังไม่พร้อมจะไว้ใจเขา
เธอกลัวว่าชายหนุ่มคนนี้อาจเป็นไพ่อีกใบหนึ่งที่หอเทพเจ้าใช้ล่อเธอออกมา มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าแท่นบูชาที่เธอทิ้งไว้เป็นของปลอม!
เหล่านักรบจากหอเทพเจ้าล้วนแต่เย็นชาไร้ความรู้สึก สำหรับพวกเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
เธอรู้ดีว่าแท่นบูชาเป็นของล้ำค่าขนาดไหน และไม่ได้แปลกใจที่หอเทพเจ้าพร้อมสละชีวิตของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากมายหลายคนเพื่อให้ได้มันมา อีกอย่าง ถึงชายหนุ่มคนนี้จะสังหารนักรบของหอเทพเจ้าไปถึง 2 คน แต่ใครจะแน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่อีกกลยุทธหนึ่งที่มีไว้ล่อลวงเธอ?
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่พร้อมจะไว้ใจเขา สุภาพสตรีหน้ากากทองแดงไม่อาจปล่อยให้ตำหนักคว้าดาว ต้องล่มสลายเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของเธอ!
“ฉันซ่อนแท่นบูชาไว้ในส่วนลึกของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย พวกคุณน่ะไม่มีทางหาเจอหรอก ไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าอยากฆ่าฉันล่ะก็ ขอแนะนำว่าให้ทำเสียเลย แต่คุณจะไม่ได้อะไรจากฉันแม้แต่อย่างเดียว!” สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงคำราม
“คุณเข้าใจเจตนาของผมผิดแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจ เขายื่นขวดหยกใบหนึ่งออกไปแล้วปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงหน้าเธอ “ดื่มยาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่อยู่ภายในขวดหยกใบนี้เสีย ไม่อย่างนั้น ต่อให้ผมไม่ทำอะไร คุณก็ไม่มีทางเอาชีวิตรอดออกจากที่นี่ได้หรอก”
สุภาพสตรีหน้ากากทองแดงเหลียวมองโดยรอบ และเห็นทันทีว่าไม่มีทางที่เธอจะพรวดพราดหนีออกไปได้ เมื่อรู้ว่าหมดหนทาง จึงรับขวดหยกมาและดื่มของเหลวในนั้นลงไปอย่างไม่เต็มใจ
ชายหนุ่มพูดถูก อวัยวะภายในของเธอถูกบรรยากาศของการเสื่อมถอยกัดกร่อน พลังงานของเธอก็เหือดแห้งเกือบหมด อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่ผู้อาวุโสไป๋เย่ได้รับในครั้งนั้นเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว
ในเมื่อเส้นทางหลบหนีทั้งหมดถูกค่ายกลที่ชายหนุ่มติดตั้งขึ้นสกัดกั้นไว้ ไม่ว่าสิ่งที่อยู่ในขวดหยกจะเป็นยาพิษหรือยาถอนพิษ ก็ไม่แตกต่างอะไรสำหรับเธอ อย่างมากที่สุดเธอก็แค่ระเบิดวรยุทธและลากชายหนุ่มลงนรกไปพร้อมกัน!
หลังจากดื่มน้ำในขวดหยกจนหมด สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
ครู่ต่อมา สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงกระอักเลือดออกมากองใหญ่ เลือดนั้นไม่ได้เป็นสีแดงก่ำ แต่กลับเป็นสีดำสนิท เมื่อกระเซ็นลงพื้น ควันดำก็ลอยคลุ้งและสลายตัวไปในบรรยากาศ
“ฮะ…”
สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
เธอรู้ดีว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเป็นอย่างไร และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอติดตั้งค่ายกลที่เชื่อมโยงกับดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกไว้ล่วงหน้าเพื่อกำจัดกำลังคนของหอเทพเจ้า
เนิ่นนานหลายปีมาแล้วที่ทุกคนคิดว่าชีวิตจะต้องจบสิ้นทันทีที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย แต่อาการบาดเจ็บของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่ดื่มน้ำขวดหนึ่ง
“คุณเป็นใคร?” สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงตั้งคำถามพร้อมกับหรี่ตา
เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มคนจากหอเทพเจ้าจะมีน้ำใจถึงขนาดรักษาเธอจนหาย อีกอย่าง เธอก็ไม่เคยได้ยินว่าหอเทพเจ้ามีวิธีขจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกจากร่างกายอย่างได้ผลแบบนี้ การที่นักรบมากมายของหอเทพเจ้าต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงไม่น่าจะสมรู้ร่วมคิดกับฟู่เฉิงสื่อและคนอื่นๆ
“ผมบอกคุณแล้ว ผมคือหลิวหยาง, เจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนใหม่ ผมมาที่นี่เพื่อตามหาคุณ ไม่ใช่เพราะแท่นบูชา แต่เพราะอยากสอบถามข้อมูลบางอย่าง” จางเซวียนประสานมือ
“คุณอยากสอบถามข้อมูลบางอย่าง?”
“ใช่ ผมได้ยินว่าหัวหน้าตู้เคยประกอบพิธีกรรมเหนือทะเลว่างเปล่าเพื่อเรียกเทพเจ้ามา ไม่ทราบว่าเทพเจ้าผู้นั้นคือหลัวลั่วชิงหรือเปล่า?” จางเซวียนถามอย่างกระวนกระวาย
แต่สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงกลับมองเขาโดยไม่ตอบอะไร เธอขมวดคิ้ว
เห็นความระแวงของอีกฝ่าย จางเซวียนนำจี้สีแดงก่ำออกมาและพูดว่า “คุณคงรู้จักของล้ำค่าชิ้นนี้นะ ใช่ไหม?”
ในเมื่อฉลามสามพี่น้องจำจี้อันนี้ได้แม้จะได้เห็นเพียงครั้งเดียว ในฐานะผู้ที่ทำพิธีกรรมเรียกหลัวลั่วชิงลงมายังมิติเบื้องบน ตู้ชิงหย่วนน่าจะคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
“นี่คือ…สมบัติของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงตาโตขณะร่างโงนเงนเล็กน้อย เธอตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ “หรือว่าคุณคือ…เจ้าสำนักจางเซวียน?”
“ใช่” จางเซวียนพยักหน้าขณะรีบกำจัดอานุภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัวเพื่อกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม