Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2113 พวกเขาจะไม่ถูกปิ ดกั้นอีกต่อไป...
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2113 พวกเขาจะไม่ถูกปิ ดกั้นอีกต่อไป...
ตอนที่ 2023 พวกเขาจะไม่ถูกปิดกั้นอีกต่อไป…
หากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ ต่อให้พวกเขาทั้งสามผนึกกำลังกันก็ไม่มีทางรับมือกับอีกฝ่ายได้
“เจ้าสำนักจาง…”
ผู้อาวุโสหงอู่หันไปมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ เกรงว่าผู้เป็นความหวังของ 4 สำนักใหญ่จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นภาพที่เขาไม่มีวันลืม
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าชักดาบเล่มหนึ่งออกมา จากนั้นก็แทงพรวดเข้าที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
ฉึก! ฉึก!
ด้วยการสำแดง 2 กระบวนท่าติดต่อกัน อัจฉริยะของสำนักป้อมปราการกระจกดำก็หมดสภาพ นัยน์ตาของเขายังเหลือกลานแม้ช่วงเวลาของลมหายใจเฮือกสุดท้าย ราวกับไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริง
“การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสวยงามไม่ใช่หรือ? ผมล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณดิ้นรนหาที่ตายเหลือเกิน…” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนใจ
ตัวเขาเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นเทียบชั้นได้กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่
เขาอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้หากต้องรับมือกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า แต่สำหรับมือใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!
“คุณ…”
อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตจะได้เห็นภาพแบบนี้ เขาหวาดผวาอย่างหนัก จึงหันหลังกลับและบินหนี
เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งกว่าสหายของเขามากนัก และการที่จางเซวียนสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ก็หมายความว่าย่อมสังหารเขาได้เช่นกัน!
เขาได้รับคำสั่งว่าหากจางเซวียนเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าได้ ให้สังหารชายหนุ่มเสีย เขาคิดว่าเป็นงานง่ายๆ ใครจะรู้ว่าชายที่เขาต้องรับมือด้วยจะเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงแบบนี้!
นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งสังหารนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย…
ไม่ใช่เรื่องตลกเลยถ้าจะพูดว่าชายหนุ่มทรงพลังพอๆกับเจ้าสำนักของพวกเขา!
เจอกับคู่ต่อสู้แบบนี้ เขาจะทำอะไรอื่นได้นอกจากเผ่น?
“เหตุผลที่ผมยอมเสียเวลาถามคำถามคุณมากมายก็เพื่อให้แน่ใจว่าคุณตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว?” จางเซวียนพึมพำ
แต่เพราะบริเวณนั้นเงียบกริบ เสียงของเขาจึงดังชัดเจน
ฉึก!
ในชั่วพริบตา ดาบเล่มหนึ่งก็แทงเข้าที่หัวใจของอัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหาย
พลั่ก!
ชายวัยกลางคนพบจุดจบ ร่างของเขาโงนเงนและทรุดฮวบลงกระแทกสะพานเบื้องบนอย่างแรง
นับจากวินาทีที่พวกเขาฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จจนถึงวินาทีที่พบจุดจบ ผ่านไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น…
ทั้งคู่น่าจะเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีชีวิตสั้นที่สุดในทวีปที่ถูกลืม!
จางเซวียนโยนร่างของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งคู่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา ก่อนจะเรียกสามผู้เข้าท้าทายที่ยังคงจังงังให้เดินหน้าต่อไป
ขณะยังเดินไปได้ไม่ไกล นักรบอีกคนหนึ่งจากหอเทพเจ้าซึ่งมีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา หลังจากเล่นงานนักรบผู้นั้นแล้ว แท่นรูปวงกลมอีกแท่นหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
จางเซวียนหันไปพูดกับผู้อาวุโสหงอู่ “นี่คือโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คุณใช้มันเถอะ”
“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง!” ผู้อาวุโสหงอู่พยักหน้าด้วยความสำนึกในบุญคุณขณะก้าวขึ้นไปบนแท่นนั้น
เขาทรุดตัวลงนั่ง จากนั้นก็เริ่มสำแดงวรยุทธอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่ทำให้พลังงานในร่างกายพลุ่งพล่าน ผลักดันเขาให้เข้าใกล้การฝ่าด่านวรยุทธมากขึ้น
ระหว่างนั้น สมาชิกที่เหลือก็รุดหน้าต่อไป ไม่ช้าก็พบแท่นรูปวงกลมอีก 2 อัน
แท่นเหล่านั้นมีนักรบจากหอเทพเจ้าอารักขาอยู่แท่นละคน ถ้าเป็นคนอื่น คงไปต่อไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มของจางเซวียน
หลังจากสังหารนักรบจากหอเทพเจ้าแล้ว จางเซวียนเรียกอัจฉริยะจากสำนักดาบเมฆเหินและหอนานาอสูรให้เข้าใช้งานแท่นนั้นก่อนจะเดินหน้าต่อไปตามลำพัง
ไม่ช้าเขาก็พบแท่นรูปวงกลมอีกแท่นหนึ่ง จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งที่ใจกลางแท่นนั้น
เขาหลับตาและเพ่งสมาธิกับการฝึกฝนวรยุทธ รู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่อบอวลอยู่โดยรอบ มันแตกต่างกันมากกับพลังจิตวิญญาณในทวีปที่ถูกลืมที่เขาเคยซึมซับ วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ของเขาทำปฏิกิริยากับรังสีนั้น ดูเหมือนแสดงความปรารถนาที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้น
“น่าเสียดายที่เรายังประมวลเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหมาะสมไม่สำเร็จ…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้า
เขาใช้เวลาหลายวันดำดิ่งเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง พยายามจะประมวลเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ แต่ก็ไม่พบอะไรที่เหมาะสมกับตัวเขา
จางเซวียนอาจเลือกเดินต่อก็ได้ และมีโอกาสสูงที่เขาจะทำสำเร็จ แต่หากทำแบบนี้กับอุปสรรคใหญ่ๆ ต่อไปก็อาจเกิดความซับซ้อนอีกมากมายที่จะสกัดกั้นเขาไว้ไม่ให้พัฒนาตัวเองได้ในอนาคต
ฟึ่บ!
จางเซวียนยกมือขึ้นและเก็บรังสีที่แผ่ออกมาจากแท่นรูปวงกลมไว้ในขวดหยก ก่อนจะใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
หลังจากได้เข้าสู่แท่นรูปวงกลมแล้ว เขาแน่ใจว่ารังสีพิเศษนี้คือกุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เหมือนกันกับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่มีไว้สำหรับผู้ที่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ
เมื่อมีรังสีนี้ เขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทันทีที่ได้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสมมา จางเซวียนลงจากแท่นนั้นและเดินหน้าต่อไป
ดูเหมือนมีแท่นรูปวงกลมมากมายตลอดเส้นทางของสะพานเบื้องบน ไม่ช้าเขาก็พบอีกแท่นหนึ่ง หลังจากเล่นงานนักรบจากหอเทพเจ้าที่อารักขาแท่นแล้ว จางเซวียนก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนำตัวโคลนของเขาออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น ตัวโคลนของเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ
ขณะที่จางเซวียนรุดหน้าต่อไป ทั้งมังกรสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว และอสูรตัวอื่นๆก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเช่นกัน
สำหรับแท่นรูปวงกลมที่เหลือ จางเซวียนวางดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ลงไปบนนั้นเพื่อทำการบ่มเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้พวกมันมีโอกาสแปรสภาพเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้
“ว่าแต่หอเทพเจ้าอยู่ไหน? ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ วันนี้ก็คงไปไม่ถึง…”
ไม่ว่าจะเดินมาไกลแค่ไหน เส้นทางตรงหน้าก็ยังถูกความมืดมิดปกคลุม เขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
สะพานเบื้องบนจะเปิดเพียงวันเดียวเท่านั้น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงไม่อาจฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ได้แน่
นักรบจะเข้าถึงแท่นรูปวงกลมนี้ได้โดยผ่านสะพานเบื้องบนเท่านั้น ซึ่งสะพานจะปรากฏขึ้นทุก 100 ปี แต่ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ คือสิ่งที่เขานำกลับไปยังทวีปที่ถูกลืมได้ ถ้าเขาได้มันมา บรรดานักรบในทวีปที่ถูกลืมจะสามารถเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่มีข้อบังคับ และอาจทำได้แม้แต่หลอมของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ไม่ต่างกับหอนิรันดร์!
พวกเขาจะไม่ถูกปิดกั้นอีกต่อไป…
เพียงแต่เขายังมีข้อกังวลใจอยู่
หอเทพเจ้ากระเหี้ยนกระหือรือจะจับตัวเขา ถึงกับลอบสังหารเขาก็หลายครั้งหลายหน หากเขาเดินหน้าต่อไป จะเท่ากับเดินเข้าสู่กับดักของพวกนั้นหรือเปล่า?
“สะพานเบื้องบนจะปรากฏเพียงครั้งเดียวในรอบ 100 ปี และหอเทพเจ้าก็ดูเหมือนจะเป็นกุญแจที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน เราก็ต้องเสี่ยง!”
พริบตาต่อมา จางเซวียนก็หายวับไป
เขาแปรสภาพเป็นสายฟ้าสีเขียวที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ต่อให้เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็ไม่มั่นใจว่าจะเข้าถึงหอเทพเจ้าได้หากปราศจากสะพานเบื้องบน จึงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองพลาดโอกาส
ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงจุดที่ไม่มีแท่นรูปวงกลมให้เห็นอีก ดูเหมือนจำนวนของมันจะหมดลงแค่นี้
เฉพาะแท่นรูปวงกลม 2 อันแรกเท่านั้นที่ไม่มีนักรบจากหอเทพเจ้าคอยอารักขา ซึ่งนั่นหมายความว่าหอเทพเจ้าอนุญาตให้ผู้เข้าท้าทายจาก 6 สำนักสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้เพียง 2 คน หากมากกว่านั้นล่ะก็ เว้นเสียแต่นักรบคนดังกล่าวจะเก่งกาจระดับเดียวกับผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินหรือปรมาจารย์ขง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมาได้ไกลขนาดนี้
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา บ่อยครั้งที่มีผู้เข้าท้าทายเพียงคนเดียวจาก 6 สำนักที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จึงมีแท่นรูปวงกลมไม่กี่อันที่ถูกใช้
แน่นอนว่าจางเซวียนกอบโกยรังสีพิเศษที่อยู่ในแท่นเหล่านั้นไว้หมดก่อนจะรุดหน้าต่อไป
โดยรวมๆแล้ว ขณะที่จางเซวียนช่วยอสูรของเขาฝ่าด่านวรยุทธและกักเก็บรังสีพิเศษในแท่นอื่นๆไปด้วย เวลาก็ผ่านไป 6 ชั่วโมง ถ้าเขาไม่เร่งฝีเท้า คงไม่มีทางได้เข้าสู่หอเทพเจ้าแน่
จางเซวียนขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจนถึงขีดสุด เขาเดินทางได้รวดเร็วยิ่งกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้น สะพานเบื้องบนก็ยาวไกลมาก
เขาใช้เวลาต่ออีก 6 ชั่วโมง แต่ทัศนียภาพโดยรอบก็ยังไม่เปลี่ยน
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าหอเทพเจ้าอยู่ไกลขนาดนั้น จะมีใครเข้าไปและกลับออกมาจากหอเทพเจ้า ภายในวันเดียวได้อย่างไร?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเดินทางมา 12 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาไม่มีทางเข้าสู่หอเทพเจ้าได้จริงๆหรือ?
ตามข้อมูลที่มีบันทึกไว้ หากนักรบคนหนึ่งไม่อาจกลับสู่โขดหินสมอสวรรค์ได้ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะหายไป เขาจะร่วงลงสู่รอยแยกแห่งมิติ ซึ่งแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจเอาชีวิตรอด
“เราจะใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมงก็แล้วกัน…” จางเซวียนกัดฟัน
เขาไม่ได้ใช้ความเร็วเต็มพิกัดใน 6 ชั่วโมงแรก เพราะฉะนั้น ถ้าเขาหันหลังกลับตอนนี้ จะต้องใช้เวลาราว 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงโขดหินสมอสวรรค์ ซึ่งนั่นหมายความว่าเหลือเวลาอีกแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น หากเขายังหาหอเทพเจ้าไม่เจอในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า ก็จะต้องหันหลังกลับ
จางเซวียนจึงขับเคลื่อนพลังปราณจนถึงขีดสุดและเดินทางต่อไป
1 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ปลายอีกด้านของสะพานเบื้องบน ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิด เขาเห็นปราสาทหลังมหึมาอย่างเลือนราง
จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาอดพึมพำไม่ได้ “ไกลเหลือเกิน…การที่ผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินกับปรมาจารย์ขงมาถึงหอเทพเจ้าได้ก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอกว่าเราเลยตอนที่เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน…”
นักรบที่มีวรยุทธเหนือชั้นและทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จต้องบินนานกว่า 12 ชั่วโมงกว่าจะถึงหอเทพเจ้า…ความยาวของสะพานเบื้องบนช่างน่าสะพรึงจริงๆ!
ในเมื่อปรมาจารย์ขงกับผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้ามาได้สำเร็จ พวกเขาก็ต้องใช้เส้นทางนี้ ทั้งคู่จะต้องเป็นนักรบที่ทรงพลังมาก