Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2161 ผมจะทำเต็มที่
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2161 ผมจะทำเต็มที่
ตอนที่ 2161 ผมจะทำเต็มที่
อาจารย์ใหญ่ของพวกเขาเข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว ทำให้เป็นนักรบที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันรอน แล้วชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่จริงๆหรือ? นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายเข้าถึงวรยุทธระดับเดียวกันกับอาจารย์ใหญ่หรือเปล่า?
นั่นอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่อาจหยั่งถึงวรยุทธของชายหนุ่ม ถ้าอีกฝ่ายจงใจเล่นงานพวกเขาล่ะก็ คงถูกสังหารเพราะต้านทานไม่ไหวแม้เพียงอึดใจ
ส่วนจางเซวียน หลังจากใช้บทสนทนาหาเครดิตให้ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็กำลังจะถามว่าสถาบันตะวันรอนตั้งอยู่ที่ไหน ก็พอดีกับที่เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ “อาจารย์ใหญ่ของเราเข้าสู่การปลีกวิเวกมาเนิ่นนานแล้ว ผมรู้จักมักคุ้นกับมิตรสหายของเขาทุกคน และไม่คิดว่าเขามีมิตรสหายที่ไหนอีก ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?”
จากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีอายุราว 40 ปีก็บินออกจากหมู่ไม้และมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาว
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สะกดรอยตามวัยรุ่นทั้งกลุ่มมาเงียบๆเพื่อคอยปกป้อง
“ท่านอาจารย์! คุณมาทำอะไรที่นี่?”
วัยรุ่นกลุ่มนั้นถึงกับผงะที่เห็นชายวัยกลางคนปรากฏตัวอย่างปุบปับ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายสะกดรอยตามพวกเขามาตลอด
“ในฐานะอาจารย์ของพวกคุณ ผมจะปล่อยให้พวกคุณออกปฏิบัติภารกิจครั้งแรกโดยไม่เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆก่อนจะหันไปมองจางเซวียนอีกครั้ง
เขาเป็นอาจารย์ของสถาบันตะวันรอนมา 20 ปีแล้ว เคยพบมิตรสหายเกือบทุกคนของท่านอาจารย์ใหญ่ แต่นึกไม่ออกเลยว่าอาจารย์ใหญ่มีสหายคนไหนที่อายุน้อยพอๆกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชายหนุ่มอายุเพียง 30 ต้นๆ แต่เขาก็พบว่าไม่อาจมองเห็นระดับวรยุทธของอีกฝ่ายได้ ทำให้เกิดความอัศจรรย์ใจเล็กน้อย
ในแง่พละกำลัง อีกฝ่ายคงแข็งแกร่งพอๆกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา
“ผมรู้สึกได้ว่าจุดชีพจรไท่หยางของคุณกำลังบอบช้ำ ขณะที่จุดชีพจรสือไป๋ก็ออกจะดำคล้ำไปเล็กน้อยตอนที่คุณสำแดงเทคนิคการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก่อน สิ่งนี้บอกชัดว่าคุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธ 2 เทคนิคพร้อมกันในคราวเดียว จริงอยู่ว่าทั้งสองเทคนิคช่วยเติมเต็มกระบวนท่าของคุณ ทำให้คุณเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ด้วยความซับซ้อนของมัน ลงท้ายจึงเกิดข้อผิดพลาดในวรยุทธ ส่งผลให้คุณไม่อาจสร้างความกลมกลืนระหว่างเทคนิควรยุทธทั้งสองได้ คุณจึงต้องเผชิญกับแรงตีกลับของพลังงานอยู่ตลอด…” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตอย่างสุขุม
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณคืออาจารย์โม่หย่วนจากสถาบันตะวันรอน…ผมพูดถูกไหม?”
“คะ-คุณรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนตาโตด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้ตกใจกับการที่อีกฝ่ายรู้ชื่อ เพราะตัวเขาคือผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสถาบันตะวันรอน จึงไม่แปลกอะไรที่ใครๆจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง แต่สิ่งที่เขาตกใจก็คืออีกฝ่ายล่วงรู้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะค้นพบกันได้ง่ายๆ!
การที่ชายผู้นี้มองตัวเขาออกอย่างง่ายดายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมีสายตาที่หยั่งรู้ได้อย่างเฉียบแหลมจนน่าทึ่ง
“นั่นยังไม่หมดนะ ผมรู้ว่าคุณประสบปัญหาเมื่อพยายามถ่ายทอดพลังงานของคุณเข้าสู่จุดชีพจรฮุ่ยไห่ ส่งผลให้ไม่อาจก้าวข้ามด่านคอขวดไปได้ และถ้าคุณฝึกฝนวรยุทธนานเกินไป เลือดจะเริ่มไหลซึมออกจากปากและจมูก ตามมาด้วยอาการแน่นหน้าอก”
“คือ…” โม่หย่วนตัวสั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ
เป็นเรื่องพอเข้าใจได้ที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงสักคนจะมองเห็นความไม่สัมพันธ์กันระหว่างเทคนิควรยุทธกับเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขา แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเรื่องที่เป็นความลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้!
มีความเป็นไปได้ 2 ข้อสำหรับสถานการณ์นี้ ข้อ 1 คือชายผู้นี้รู้จักมักคุ้นกับเขาเป็นอย่างดี หรือไม่…
ก็หมายความได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขามาก บางทีอาจเหนือชั้นกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยซ้ำ!
มีแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้เท่านั้นที่จะมองทะลุปัญหาในเทคนิควรยุทธและเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รวมถึงสิ่งที่เขาต้องเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธด้วย!
เรื่องนี้ทำให้คำกล่าวอ้างของอีกฝ่ายที่บอกว่ารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้จะมาอวดอ้างลอยๆว่ารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา
“ผมดูออกว่าคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธมาก แต่น่าเสียดายที่คุณตัดสินใจพลาด เคล็ดวิชาทะเลบาดาลต้องการพลังงานจากจิตวิญญาณที่อยู่ในระดับขั้นสูง แต่เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของคุณยังไม่ได้พัฒนาจนถึงระดับขั้นที่จะฝึกฝนเทคนิคนี้ได้ คุณควรจะโล่งอกนะที่ไม่ต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงทั้งที่พยายามฝืนและบีบบังคับตัวเองให้ฝึกฝนเทคนิคนั้น!” จางเซวียนตำหนิโม่หย่วน
ขณะที่ชายวัยกลางคนสำแดงเทคนิคการเคลื่อนไหวดังกล่าวจนมาถึงที่นี่ จางเซวียนก็ใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือเกี่ยวกับตัวเขา
เท่าที่ฟังจากตัวโคลนของปรมาจารย์ขง เมื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์ แรงตีกลับจากหอสมุดเทียบฟ้าก็มีแต่จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนจึงรู้สึกว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้มันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการสำหรับการออกจากบริเวณนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้มัน
นักรบส่วนใหญ่ปกปิดข้อบกพร่องในการฝึกฝนวรยุทธของพวกเขาเป็นความลับสุดยอด เก็บงำไว้ในหัวใจโดยไม่ยอมบอกใคร การชี้ข้อบกพร่องของพวกเขาออกมาตรงๆจึงทำให้อีกฝ่ายแทบจะประสาทเสีย
อีกอย่าง เครื่องรางแห่งการปลอมตัวก็ทำให้จางเซวียนดูล้ำลึกเกินหยั่งในสายตาของนักรบคนอื่นๆ การล่อลวงอีกฝ่ายจึงไม่ยากเกินไป
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!” ศีรษะของโม่หย่วนเย็นเฉียบและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ถ้าก่อนหน้านี้เขายังแคลงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ความคิดเหล่านั้นก็หายวับไปหมด
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด เขาบีบบังคับตัวเองให้ฝึกฝนเคล็ดวิชาทะเลบาดาลแม้จิตวิญญาณจะยังพัฒนาได้ไม่เท่าเงื่อนไขที่วางไว้ ทำให้เขาสะสมความบอบช้ำไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มันกลายเป็นบาดแผลภายในที่ไม่น่าจะเยียวยาให้ฟื้นคืนสภาพเดิมได้
“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?” โม่หย่วนลดท่าทีลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะตั้งคำถามอย่างจริงใจ
“ผมคือ…” จางเซวียนเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจขณะให้คำตอบ “หยางชวน!”
“อ้อ ผู้อาวุโสหยางชวนนี่เอง ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว” โม่หย่วนรีบประสานมือ
“ได้ยินมานานแล้ว? ได้ยินอะไร? คุณรู้หรือว่าผมเป็นใคร?” จางเซวียนถามห้วนๆ
เขาแค่นำชื่อปลอมที่เคยใช้บ่อยครั้งเมื่ออยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์กลับมาใช้อีกรอบ แต่อีกฝ่ายก็ช่างพูดแบบนั้นออกมาได้ ดูเหมือนผู้คนในสรวงสวรรค์จะไม่ค่อยซื่อสัตย์เท่าไหร่
“คือ…” โม่หย่วนหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยิน
คำพูดพวกนั้นเป็นแค่การปฏิสันถารเพื่อกระชับความสัมพันธ์เท่านั้น จะดูแย่แค่ไหนหากเขาพูดออกไปว่าไม่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายเลย?
แต่ผู้อาวุโสก็กลับย้อนถามแบบนี้ ทำให้เขาไปต่อไม่ถูก
“เอาเถอะ เรื่องพิธีการน่ะไม่ต้องนำมาใช้กับผมหรอก ในเมื่อผมรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรือมีพิธีรีตองอะไร ผมไม่ชอบทำให้รุ่นน้องต้องลำบาก แต่บังเอิญว่ามีบางอย่างที่ผมอยากขอความช่วยเหลือ” จางเซวียนพูด
“ผู้อาวุโส บอกมาเลย ถ้าผมทำได้ ผมจะทำให้ดีที่สุด” โม่หย่วนตอบอย่างสุภาพ
“ขณะนี้บรรดาลูกศิษย์ของผมอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่นี่ แต่พวกเขาไม่คุ้นชินกับพื้นที่ จึงหลงทาง” จางเซวียนตอบ “ผมเกรงว่าพวกนั้นจะหวังพึ่งพาแต่ผมหากผมปรากฏตัวและช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาอย่างง่ายๆ และบังเอิญผมก็มีธุระด่วนเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ จึงหวังว่าคุณจะช่วยผมชี้แนะพวกเขา และหากเป็นไปได้ ช่วยส่งพวกนั้นกลับสู่เมืองตะวันรอนโดยสวัสดิภาพด้วย”
“แน่นอนว่าผมไม่ขอความช่วยเหลือคุณเปล่าๆ ผมจะวิเคราะห์ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธของคุณอย่างละเอียดและถ่ายทอดให้ ส่วนคุณจะแก้ไขหรือเสาะหาเส้นทางที่เหมาะสมได้หรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง อยู่ที่สติปัญญาและความสามารถของคุณแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโส!” โม่หย่วนประสานมือด้วยความตื่นเต้น
เหตุผลหลักที่เกิดด่านคอขวดในวรยุทธของเขาก็เพราะความอ่อนด้อยในการตรวจสอบสภาวะของตัวเอง
ขอแค่มีใครสักคนให้คำชี้แนะ แม้จะไม่ได้มอบคำตอบที่ถูกต้องให้ เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะปัญหาที่รุมเร้าอยู่ได้
ด้วยเหตุนี้ โม่หย่วนจึงรู้สึกยินดีปรีดาที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ส่วนการพาลูกศิษย์ของอีกฝ่ายกลับเมืองตะวันรอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาต้องพาลูกศิษย์ของเขากลับไปที่นั่นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอยู่แล้ว จึงไม่ลำบากอะไร
อีกอย่าง ถ้าเขาได้สนิทสนมกับลูกศิษย์ของชายหนุ่ม ก็น่าจะเชื่อมความสัมพันธ์กับนักรบผู้ทรงพลังคนนี้ได้
“ผมดีใจที่คุณเต็มใจช่วยเหลือ สำหรับตอนนี้ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน จากการคาดการณ์ของผม พวกนั้นคงมาถึงเร็วๆนี้แหละ” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ขณะที่กำลังจะจากไป ก็ปล่อยรังสีอันทรงพลังที่พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ เกิดแรงกดดันมหาศาลราวกับมังกรผงาด
“ผู้อาวุโส…”
โม่หย่วนชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเขม้นมองอย่างกังวล
“ในเมื่อคุณสัญญาแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขาอย่างดีที่สุด ถ้าเส้นผมของลูกศิษย์ของผมหายไปสักเส้นล่ะก็…คุณคงเข้าใจใช่ไหม?”
จางเซวียนยืนหันหลังให้ น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่เมื่อประกอบกับแรงกดดันมหาศาลที่เขาแผ่ออกมา น้ำเสียงราบเรียบนั้นก็น่าสะพรึงจนสุดจะบรรยาย
“ผู้อาวุโส วางใจเถอะ! ผมจะทำเต็มที่ ไม่ให้คุณผิดหวัง” โม่หย่วนตอบอย่างเคร่งขรึม
“ผมจะสั่งการลูกศิษย์คนหนึ่งให้มอบรายละเอียดของการวิเคราะห์ของผมให้คุณ” จางเซวียนเสริมก่อนจะเดินทอดน่องจากไป
แม้ทีท่าของเขาจะดูผ่อนคลาย แต่การเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้เชื่องช้า เพียง 2-3 อึดใจ จางเซวียนก็หายวับไปท่ามกลางหมู่ไม้
เมื่อร่างนั้นลับสายตาแล้ว โม่หย่วนปาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางอาบใบหน้า
รังสีที่จางเซวียนแผ่ออกมาน่าสะพรึงเสียจนต่อให้ตัวเขา 10 คนก็ต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหว
โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่อย่างนั้นทั้งตัวเขาและบรรดาลูกศิษย์อาจต้องจบชีวิต
“ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสหยางชวนคนนั้น…ไร้เทียมทานขนาดนั้นจริงๆหรือ?” สาวน้อยที่ก้าวออกมาเมื่อครู่ถามโม่หย่วนด้วยความสงสัย